the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 68 คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นปรมาจารย์

คนอื่นๆ ที่หลับพลันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงต่อสู้ เสียงปืนดังลั่นสนั่นทั้งโพรงถ้ำ ราวกับมีระเบิดดังข้างหูก็มิปาน

ขณะที่พวกเขากำลังตื่นมาแบบสะลึมสะลือ เงาสีเทาของสูเสี่ยนฉู่ก็โผล่มาอยู่ข้างกายเขาแล้ว

ปากกระบอกปืนของหยางเสียวจิ่นเย็นลง เช่นเดียวกับร่างของคู่ต่อสู้ที่ความอบอุ่นจางหาย นี่เป็นครั้งแรกในการเดินทางนี้ที่หยางเสียวจิ่นลั่นไกปืน ทุกคนไม่ทันคาดคิดเลยว่าเธอจะลงมือได้อย่างเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดได้เช่นนี้

อีกทั้งลงมือสังหารอย่างเย็นใจเกินหยั่ง ราวกับเป็นเพียงการยกน้ำขึ้นดื่มธรรมดา

ทว่าในความเป็นจริง สิ่งที่ทำให้ทุกคนสะเทือนเลื่อนลั่นใจที่สุดมิใช่การลงมือของหยางเสียวจิ่น หากแต่เป็นของเริ่นเสี่ยวซู่

กระสุนแล่นออกจากกระบอกใส่ร่างคนในชั่วพริบตา พลังงานจลน์จากกระสุนที่หมุนควงสว่านเจาะทะลวงกล้ามเนื้อและอวัยวะไป เมื่อพลังงานจลน์หมดสิ้น กระสุนก็จะหยุดลง ทว่าบุคคลภายนอกหรือกระทั่งผู้ถูกยิงเองไม่อาจมองเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายใน

แต่ด้านของเริ่นเสี่ยวซู่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ภาพชายร่างโตโดนยกขึ้นด้วยกำลังของมือข้างเดียวช่างดุร้ายนัก

เริ่นเสี่ยวซู่สูงเพียงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตรเท่านั้น อายุแค่สิบเจ็ด ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นสูเสี่ยนฉู่ หลิวปู้ หรือหยางเสียวจิ่นเองก็ไม่ทันได้คิดถึง ‘พลังรบ’ ของเริ่นเสี่ยวซู่มาก่อนเลย

พวกเขาล้วนมีความคิดที่ว่า หนุ่มผู้อพยพยากไร้ผู้หนึ่งจากในเมืองจะมีพละกำลังมากได้ขนาดไหนกันเชียว อย่างมากก็คงมีวิชาเอาตัวรอดในแดนรกร้างอยู่บ้างจากการท่องไปมาในนั้น

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยเผยพลังที่แท้จริงของตน หยางเสียวจิ่นก็ไม่เคยลั่นไกปืน ทุกคนจึงได้แต่คาดเดากันไปเอง เพราะอย่างนี้ด้วยพวกทหารถึงกล้าลอบจู่โจม

ไม่คิดเลยว่าการคิดเดาไปเองนั้นจะผิดไปจากที่คาดอย่างสิ้นเชิง

ห้านิ้วของเริ่นเสี่ยวซู่กุมคอผู้ลอบจู่โจมแน่นราวคีมเหล็ก ผู้ลอบจู่โจมรู้สึกได้ถึงเลือดที่ไหลเวียนไม่ถึงศีรษะ จริงๆ แล้วเขาสามารถยกเท้าขึ้นเตะใส่จุดอ่อนของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ ทว่าพอร่างกระแทกเข้ากำลังผนังถ้ำ สมองก็เลอะเลือน มือเท้าอ่อนแรงไป

หยางเสียวจิ่นไม่ใส่ใจจะเหลือบแลร่างทหารที่หล่นตุบลงหน้าเธอ แต่ลอบชำเลืองมองเริ่นเสี่ยวซู่ สองมือยกสองปืนขึ้นชี้ไปที่ฝูงชนในโพรงถ้ำ

ตัวเธอเองก็งุนงงอยู่บ้างไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่หลับลงไปแล้วจริงๆ เสียงกรนอาจจะปลอมได้ แต่การขยับของเปลือกตานั้นปิดบังเธอไม่ได้แน่นอน

เธอถึงกับเคยผ่านการฝึกฝนในการดูว่าผู้ใดหลับจริง ผู้ใดหลับหลอกมาแล้ว คนเราอาจจะแสร้งหลับได้ แต่ยังไงลูกตาก็ยังแสดงการเคลื่อนไหวเองตามจิตใต้สำนึก คนที่หลับได้ไม่เร็วนัก อย่างไรเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง ก็ต้องมีการขยับลูกตากันบ้าง

เธอจึงทราบได้ทันทีว่าเริ่นเสี่ยวซู่หลับลงไปแล้วจริงๆ แต่ว่าพอพวกทหารลุกขึ้นยืน เสียงกรนของเริ่นเสี่ยวซู่ก็หายวับไป แสดงว่าตอนนั้นคือเขาตื่นแล้วนั่นเอง

แต่คนที่หลับลึกไปแล้วแบบเขา ไฉนจึงตื่นตัวได้ทันควันเช่นนี้ได้ ผู้อพยพอย่างเริ่นเสี่ยวซู่ไม่น่าผ่านการฝึกแบบเธอนี่หน่า!

ย้อนกลับไปตอนอยู่ที่เมือง เหยียนลิ่วหยวนจะมีความสุขมากถ้าได้ฝ้ายามตอนกลางคืนให้พี่ชาย มันทำให้เขารู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่จำเป็นต้องพึ่งพาเขา และในที่สุดเขาก็สามารถทำอะไรให้เริ่นเสี่ยวซู่ได้บ้าง

แม้จะไม่ได้ออกไปล่ากับเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยต้องคอยเฝ้ายามตอนกลางคืน เขาก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่า การเป็น ‘คนเฝ้ายามกะกลางคืน’ นั้นมีความหมายอย่างมาก

ทว่าเหยียนลิ่วหยวนไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เริ่นเสี่ยวซู่เปิดการใช้งานพระราชวัง เขาก็ไม่ต้องการให้ใครมาเฝ้าระวังภัยให้ตอนกลางคืนแล้ว

ทหารที่นอนจมกองเลือดอยู่ พยายามกระเสือกกระสนพูด “ซุนจวินเจิ้ง ลงมือสิวะ!”

ทว่าทหารนามซุนจวินเจิ้งกำลังขดตัวอยู่ในส่วนลึกของโพรงถ้ำ หวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียงแม้เพียงคำเดียว

สูเสี่ยนฉู่หน้างิ้วคิ้วขมวด ถาม “เกิดอะไรขึ้น”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนใจเขา จ้องเขม็งไปที่ผู้ลอบจู่โจม เขาอุตส่าห์หาลูกสนใบสนให้ แหล่งน้ำในโพรงถ้ำก็บอกให้ ถึงใจจริงอยากจะได้เหรียญขอบคุณก็เถอะ แต่ผลลัพธ์ออกมาไม่เลว

เริ่นเสี่ยวซู่สังเกตเห็นนานแล้วว่าคนพวกนี้วางแผนอะไรบางอย่างอยู่ เดิมคิดว่าพวกเขามีเส้นขีดจำกัดอยู่ หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีมโนธรรมอยู่บ้าง

เขาไม่คิดจะถามผู้ลอบจู่โจมด้วยซ้ำว่าต้องการอะไร น้ำ ปืน หรือลั่วซินอวี่? เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าถ้าถามตนเหมือนน้อยใจที่ถูกทรยศหักหลังไปก็เท่านั้น อย่างไรเขาก็ไม่ต้องการคำตอบอยู่แล้ว

ไม่เชื่อใจแต่แรก ย่อมไม่รู้สึกเจ็บปวดที่โดนทรยศ เพื่อนร่วมคณะหรือสัตว์ป่า ในสายตาของเริ่นเสี่ยวซู่แล้วไม่ต่างกัน

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่หักคอเขาทิ้งในทันที กะจะดูว่าสูเสี่ยนฉู่มีปฏิกิริยาอะไรไหม

ทว่าตอนนั้นเอง เสียงจากพระราชวังก็ดังขึ้น [ภารกิจ ให้ความตายที่รวบรัดแก่ศัตรู]

คราวนี้เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงไปจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าพระราชวังอยากให้เขาทำแต่ความดีหรอกเหรอ จู่ๆ ก็ให้เขาลงมือแบบเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดเฉยเลย…

ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่ต้องหาช่องว่างทำภารกิจ แต่รอบนี้ให้ทำภารกิจแบบไม่ต้องอ้อมค้อมจนเขาไม่ชินเลย

หรือพระราชวังมองว่า การไม่ทรมานคู่ต่อสู้ นับว่าเป็นเรื่องดีกัน เชี่ย หลักกงหลักการจะเปลี่ยนไวไปเปล่า? แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้ดีว่าพระราชวังไม่ได้มีจิตใจอะไรเป็นของตนเอง มันคงมีกลไกการตัดสินการให้ภารกิจเป็นของตนเอง ถึงได้ให้ภารกิจแบบนี้มา

เกิดเสียงดังกร๊อบ เริ่นเสี่ยวซู่หักคอทหารที่ลอบจู่โจมเขาทิ้งทันที พอซุนจวินเจิ้งที่อยู่ในโพรงได้ยินเช่นนี้ ก็ตัวสั่นสะท้าน “ฉันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขานะ…ฉันไม่ได้บอกพวกเขาด้วยซ้ำว่านายมีพละกำลังมหาศาลน่ะ[1]! ”

ปัง!

พูดไม่ทันจบ ซุนจวินเจิ้งก็โดนหยางเสียวจิ่นยิงแสกกลางหว่างคิ้ว

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหยางเสียวจิ่น ก่อนเธอจะเอ่ยอย่างไม่อนาทรว่า “ไม่พูดก็เท่ากับลงมือกระทำผิด”

เริ่นเสี่ยวซู่สูดลมหายใจยะเยือก หยางเสียวจิ่นต้องการสื่อว่า ถึงแม้ซุนจวินเจิ้งจะไม่ได้ปากสว่างเรื่องพละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่ แต่เขาก็ไม่มาบอกกล่าวแจ้งเตือนพวกตน ดังนั้นแล้ว เพื่อจัดการรากเหง้าภัยคุกคาม ซุนจวินเจิ้งต้องตายเช่นกัน

ตอนนี้แม้เริ่นเสี่ยวซู่จะเข้าใจหยางเสียวจิ่นได้ใหม่แล้ว ความดุร้ายและเฉียบขาดของเธอก็ยังเหนือความคาดหมายไปอยู่ดี

แต่ที่เธอพูด เขาว่าไม่ผิดเลย

สมาชิกกลุ่มสิบเอ็ดคน เพียงข้ามคืนเหลือเพียงหก ได้แก่สูเสี่ยนฉู่ เริ่นเสี่ยวซู่ ลั่วซินอวี่ หลิวปู้ หวังเหลย และหยางเสียวจิ่น

[ภารกิจสำเร็จ รางวัล คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นปรมาจารย์]

ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นปรมาจารย์ใส่สูเสี่ยนฉู่ในทันใด ถ้าเทียบกับการไปใช้งานคัมภีร์กับทักษะการใช้ปืนของหยางเสียวจิ่นแล้ว ให้พัฒนาทักษะจากระดับสูงเป็นระดับปรมาจารย์ไม่น่าจะช่วยอะไรได้มากนัก ตอนนี้เขาต้องการพลังพิเศษของสูเสี่ยนฉู่มากกว่า!

[กำลังดำเนินคัดลอกทักษะระดับปรมาจารย์จากเป้าหมาย หลังจากคัดลอกทักษะระดับปรมาจารย์มาแล้ว แต่ท่านไม่มีทักษะระดับสูงของทักษะนั้น ท่านจะไม่สามารถเรียนรู้ได้]

[เป้าหมายไม่มีทักษะระดับปรมาจารย์ สุ่มคัดลอกพลังพิเศษ ‘ร่างแยกเงา’ จากเป้าหมาย ต้องการเรียนรู้เลยหรือไม่]

เริ่นเสี่ยวซู่ยินดีสุดขีด ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่มีทักษะระดับปรมาจารย์ เขาจะสามารถคัดลอกทักษะพิเศษได้โดยตรงเลยสินะ

นึกว่าโอกาสจะริบหรี่มากเสียอีก

“เรียนเลย!”

[ท่านได้เรียนรู้ ‘ร่างแยกเงา’]

เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ถึงพลังใหม่ที่เพิ่งเรียนรู้มาแล่นสู่ร่าง เขาต้องประหลาดใจไปที่เห็นร่างแยกเงาของเขากำลังยืนอยู่อย่างเงียบงันในพระราชวัง

ที่เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกตะลึงอยู่หน่อยๆ ก็คือเงาของสูเสี่ยนฉู่นั้นเป็นสีเทา แต่ของเขาเป็นสีดำ ทำไมหว่า เงาดำกว่าเพราะเขาไม่ค่อยได้ล้างหน้าเหรอ

……….

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset