บทที่ 26 ทำลายสถิติอีกครา
ในตอนนี้ได้มีอีกเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาพร้อมๆกับศิษย์พี่กัว นั่นก็คือเฉินเฉียง
อย่างไรก็ตาม การหัวเราะนี้ไม่เหมือนกับศิษย์พี่กัวที่ต้องแอบหลบซ่อน เขาหัวเราะออกมาโดยไม่สนใจที่จะปิดสวิสกำไรสื่อสาร
“ข้าว่าศิษย์พี่กัวตอนนี้ต้องหัวเราะอยู่แหงๆ”
“แต่เสียงที่หัวเราะอยู่นี้น่าจะเป็นเสียงหัวเราะของเด็กใหม่นะ ไม่ใช่ว่าหมอนั่นคิดว่าตัวเองจะชนะได้หรอกเหรอ เป็นไปได้ด้วยเหรอนั่น”
“….มีความรู้สึกอยากลงข้างเด็กใหม่ขึ้นมาเลยแฮะ”
“แต่ศิษย์พี่กัวปิดกำไรสื่อสารไปแล้วนะ พวกเราลงพนันไม่ได้แล้วนา”
“ข้าว่าไอ้เด็กใหม่นั่นคงสติแตกไปแล้วมากกว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นจระเข้ปากยาวที่อยู่ใต้ผานั่น ใครบ้างจะไม่กลัว ข้าว่าเขาน่าจะกลัวจนบ้าไปแล้ว ”
หลังจากหัวเราะอยู่พักใหญ่ เฉินเฉียงได้ตั้งสติและจ้องมองไปยังพื้นของภูเขาฝั่งตรงกันข้าม หลังจากนั้นเขาก็ได้เริ่มย่างก้าวแรกแห่งก้าวย่างสวรรค์
สองร้อยเมตร
ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าระยะทางของแต่ละย่างก้าวของเขาจะเพิ่มขึ้น แต่เพียงย่างก้าวนี้ทำให้เฉินเฉียงต้องตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้ย่างก้าวแรกแห่งก้าวย่างสวรรค์ของเขานั้นมีระยะเพียงร้อยเมตรเท่านั้น แต่ในตอนนี้กลับไปได้ไกลถึงสองร้อยเมตร
หากคำนวณจากย่างก้าวแรกนี้ ย่างก้าวที่สามควรจะอยู่ที่เก้าร้อยเมตร
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก หลังจากย่างก้าวแรกไปแล้วตอนนี้เขาก็ได้ลอยอยู่กลางอากาศ เขาได้ทำการเหยียบอากาศอย่างรวดเร็วจนอากาศที่ปลายนิ้วเท้าต้องเกิดการสั่นไหวจากการที่เคลื่อนไหวหลบเลี่ยงปลายเท้านี้ไม่ทัน และนี่ทำให้บังเกิดย่างก้าวที่สองขึ้น
ดังคาด เขาไปได้ไกลกว่าสามร้อยเมตร
โดยไม่หยุดยั้ง เฉินเฉียงได้ใช้ย่างก้าวที่สามในทันที
หลังจากย่างก้าวที่สาม เฉิงเฉียงก็ได้ไปปรากฏอยู่ที่กลางเขาของอีกฟากฝั่งเขาเรียบร้อยแล้ว
“แต้งงงงงง”
เสียงโลหะดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วภูเขาบังเกิดขึ้น
“กระดิ่งงงง? ห้ะ กระดิ่งเตือนของสำนักเต่าดำเหรอ”
เหล่าลูกศิษย์แห่งสำนักเต่าดำในตอนนี้ยืนขึ้นมาในทันทีพลางจ้องมองไปยังทางด้านภูเขาด้วยท่าทีอันหลากหลาย
ไม่นานนัก สุ้มเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมาจากกำไลสื่อสาร
“ผู้เข้าสอบเฉินเฉียงได้ผ่านการทดสอบข้ามผ่านอันตราย ค่าคะแนนการหยิบยืมพลังงานจากสภาพแวดล้อม…. ศูนย์”
กำไรสื่อสารได้เงียบงันไปพักใหญ่ หลังจากนั้นก็ได้บังเกิดเสียงโกลาหลขึ้นในทันที
“ยังไงข้าว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในแน่ๆ”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าแค่นักรบสายเลือดทหารขั้นกลางจะข้ามเหวนั่นได้โดยไม่ใช้ตัวช่วยอะไรเลยน่ะ”
“ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”
“ข้าว่าต้องคนประเภทกินองุ่นแต่ไม่รู้จักองุ่นแบบเจ้าเยอะแหงๆ”
“ลืมไปแล้วรึเปล่าว่ากำไรมีระบบสัญญาณภาพน่ะ”
“ข้าเห็นแล้วนะ น้องชายคนนั้นมีสมรรถนะร่างกายที่สูงล้ำมากเลย ไม่สิ ต้องเรียกว่าศิษย์น้องแล้วสินะ”
“เพียงการกระโดดครั้งเดียวของเขาก็เกินกว่าแปดร้อยเมตรไปไกลเลยนะนั่น”
“หวา… ไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำไมกระดิ่งถึงได้ดัง แถมนี่เขายังทำลายสถิติของที่นี่อีกแล้ว”
“เด็กนั่นเป็นสัตว์ประหลาดแฝงตัวมารึไงกัน”
“หวังว่าจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นงานพวกเราหรอกนะ”
“ถ้าเทียบกับเขาแล้ว ข้ารู้ได้ว่าตัวเองเปรียบได้ดั่งหญ้าข้างทางที่ทำได้เพียงรับรู้ว่ามีคนก้าวข้ามไปได้เพียงอย่างเดียวแบบนี้”
“ลูกศิษย์ที่เหนือล้ำแบบนี้ข้าว่าสำนักคงต้องทุ่มทุกอย่างที่มีให้เขาแน่ๆ พวกเราต้องหาโอกาสสนิทเข้าไว้ ศิษย์พี่กัวนี่โชคดี(?)จริงๆที่ได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์อันดี(?)กับศิษย์น้องเฉินเฉียงก่อนใคร น่าอิจฉานัก”
ในขณะที่เหล่าศิษย์สำนักเต่าดำกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างออกรสออกชาตินั้น นี่เป็นตอนที่ศิษย์พี่กัวพึ่งจะเปิดกำไรสื่อสารมาได้ยิน
เขามีสีหน้าโง่งมในทันทีที่เริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ใบน้าของเขาซีดเผือด ปากของเขากระตุกไม่หยุด พร้อมร่างกายที่แผ่หลาลงไปบนเก้าอี้หินอย่างไร้เรี่ยวแรง
ห้าพันแต้ม
ต่อให้ไม่กินไม่ดื่มไปสิบปีเขาก็ยังเก็บคะแนนไม่ได้ขนาดนั้น
รุ่นน้องที่ยังไม่เป็นทางการผู้นี้ทำให้บังเกิดผลลัพธ์ที่แม้แต่กระดิ่งแจ้งเตือนสำนักก็ยังต้องดังลั่น เรื่องแบบนี้ต่อให้คิดให้ตายยังไงก็คิดไม่ถึง และนี่เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาต้องถูกดึงตัวเข้ามาเรียนที่นี่ต่อให้เปลี่ยนใจไม่เข้าแล้วก็ตาม
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขา กัวเหลียง มีแต่เสียกับเสีย
ใบหน้าที่ซีดเผือดของเขาเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันที
เขาเองก็อยู่สงบๆมาตั้งยี่สิบปี ทำไมเขาถึงต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ได้กัน
ในบ้านไม้ไผ่ที่เรียบง่ายหลังหนึ่งกลางภูเขา คนสิบกว่าคนได้นั่งอยู่ด้วยกันพลางดูวิดีโอที่เฉินเฉียงทะยานตัวพลุ่งพล่านช่องผาด้วยการทะยานเพียงครั้งเดียว
“รอง ผอ. เจ้าได้สังเกตท่าเท้าของเขานั่นรึเปล่า ท่าเท้านั่นข้าว่าคุ้นตามากเลยนะ”
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็ได้หลับตาลงราวกับนิ่งคิดไปพักใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมสายตาที่ทอประกายระยิบระยับราวกับไข่มุก
“จริงด้วย ผอ.ลี ท่าเท้านี่เป็นของพวกเราเองนี่นา”
ถึงแม้ว่าท่าเท้านั้นจะเป็นหนึ่งในวิชาที่ถูกลืมเลือนไปของสำนักเต่าดำก็ตาม ความจริงแล้วมีศิษย์เก่ามากมายของสำนักที่บรรลุก้าวย่างสวรรค์นี้ในระดับขึ้นสูงสุดได้ก็จริง
แต่คนที่บรรลุได้เหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ไม่อยู่แล้ว หากจะมีคนที่ยังอยู่ก็คงเป็นคนที่กำลังเร่งก้าวข้ามไปยังระดับราชาอยู่ในตอนนี้
และในช่วงสิบห้าปีมานี้ ไม่มีใครอีกเลยที่จะสำเร็จท่าเท้านี้ได้แม้แต่ในระดับเรียนรู้ก็ตาม
“ก้าวย่างสวรรค์เหรอ รองผอ. อย่าบอกว่าเจ้าจะหมายถึงเฉินเทียนเว่ยจะอยู่เบื้องหลัง…”
ชายหัวล้านเคราแดงที่ยังพูดไม่ทันจบดีก็ได้ยืนขึ้นมาพูดด้วยเสียงอันดังลั่นด้วยความตกใจและไม่อาจจะพูดออกมาได้จบประโยค
รองผอ.เองก็ได้พยักหน้ารับแนวคิดนี้ “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าอาจารย์ของไอ้เด็กนี่เป็นใคร แต่พวกเราเองก็ได้บันทึกศิษย์ที่สำเร็จการฝึกท่าเท้านี้เอาไว้ เอาไว้ค่อยหาโอกาสถามจากเด็กนี่ก็แล้วกัน”
“รองผอ. ที่ท่านบอกว่าจะไปหาโอกาสถามนี่….อย่าบอกว่าท่านจะฉกเมล็ดพันธุ์ดีๆแบบนี้ไปจากข้าน่ะ”
“ผู้อาวุโสฮู่ ข้าเองก็ไม่ได้ลูกศิษย์ดีๆมานานหลายปีแล้วนะ ในครั้งนี้ข้าต้องได้ไอ้เด็กนี่เป็นศิษย์ให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม”
“ทำไมล่ะ ฮู่ดาไฮ่ สำนักเราเองก็มีกฎอยู่ไม่ใช่เหรอว่าไม่ใช่แค่เพียงอาจารย์เท่านั้นที่จะได้เลือกศิษย์ แต่ศิษย์เองก็ต้องยอมรับในตัวอาจารย์ด้วยน่ะ”
“แล้วนี่เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้กล้ามากั๊กกันไว้แบบนี้”
“ไอ้หนูนี่เร็วมาก ไม่ว่ายังไงเมื่อเด็กนี่เข้ามาก็ต้องเป็นลูกศิษย์ของข้า”
ฮู่ดาไฮ่พูดออกมาด้วยตาที่ถลึงโตและหนวดกระดิกไม่หยุด
“พอได้แล้ว แก่ๆกันหมดแล้วยังทำตัวเป็นเด็กไปได้ อย่าไปทำแบบนี้ให้คนนอกเห็นล่ะ ระวังสำนักของเราจะเสียหน้าเอา”
ฮู่ดาไฮ่และหลูกังเฟิงได้นั่งลงอย่างไม่อยากเลิกทะเลาะหลังจากโดนลองผอ.ดุ
อย่างไรก็ตาม สายตาของทั้งคู่ยังประสานกันไปมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเถือหนังกันแต่ไกล
รองผอ.ได้ทำการนวดขมับอย่างหนักก่อนจะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ ท่านอย่าพึ่งลืมไปว่าเด็กที่ชื่อเฉินเฉียงนี่พึ่งจะผ่านไปสองด่านเท่านั้น ยังเหลืออีกด่านหนึ่งซึ่งเขาอาจจะไม่ผ่านก็ได้”
“หรือจะให้พูดออกอย่างคือเขานั้นยังไม่ใช่ศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักเราอยู่ดี”
“เมื่อลองคิดว่าเขานั้นพึ่งจะเป็นเพียงแค่นักรบสายเลือดระดับทหารขั้นกลางแล้ว ด่านที่สามที่ต้องอาศัยการบ่มเพาะเป็นหลักนี้ถือว่ายากเลยทีเดียว”
“ถ้าจะว่ามาอย่างนั้นแต่ข้าเองก็ยอมรับว่าเด็กนี่น่าสนใจ แต่ถ้าท่านอาจารย์ก็ยื่นมือเข้าไปช่วยล่ะก็ อย่าหาข้าโหดร้ายกับท่านเลยแล้วกัน”
ทันทีที่รองผอ.พูดจบลง บรรยากาศในบ้านป่าไผ่แห่งนี้ก็เปลี่ยนเป็นเงียบงัน แม้แต่อาจารย์ทั้งสองเองก็ยังต้องนิ่งเงียบไป
รองผอ.ได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นบรรยากาศของคนทั้งสองที่ได้สงบสติลงได้ และพูดออกมาต่อว่า “ผอ. ข้าว่านี่มันก็นานแล้วนะ ไหนคนที่จะพาเขาไปสอบด่านที่สามล่ะ ทำไมเขายังไม่ยอมไปทำหน้าที่อีก”
Related