ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 28 มีเรื่อง

บทที่ 28 มีเรื่อง

เพียงไม่นาน เวลาที่กำหนดก็ได้มาถึงอย่างรวดเร็ว ฮู่ดาไฮ่และหลู่กังเฟิงได้รีบเร่งเข้าไปในพื้นที่การสอบด่านที่สาม

แม้ตอนนี้จะผ่านไปห้านาทีแล้ว เฉินเฉียงก็ยังไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวเองแต่อย่างใด

นั่นก็เพราะต่อหน้าเขาในตอนนี้นั้นยังคงสัตว์ประหลาดมากกว่าร้อยตัวอยู่ตรงหน้า

อย่างไรก็ตาม การที่อยู่ๆฮู่ดาไฮ่และหลู่กังเฟิงได้ปรากฏตัวขึ้นทำให้เกิดเสียงดังอย่างมากตอนที่ทะลวงเข้าไป นี่ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง พร้อมๆกับประตูที่กลายเป็นผุยผงลอยฟุ้งกระจายไปทั่วห้องสอบด่านที่สาม

เฉินเฉียงได้เห็นสัตว์ประหลาดที่เริ่มพุ่งเข้ามา มันคือหมูป่าที่มีเขี้ยวยาวโง้งกว่าครึ่งเมตรตรงมาที่เขา เฉินเฉียงไม่ได้คิดที่จะอยู่เฉยอีกต่อไป เขารีบหลบไปด้านข้างภายในทันที

อย่างไรก็ตามจากจุดที่เฉินเฉียงอยู่นั้น เขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด นี่ทำให้เขานั้นรู้สึกได้ถึงความตายที่ยากจะหลีกเลี่ยงกำลังพุ่งตรงเข้ามาหา

ไม่เพียงเขา แม้แต่คนที่กระหายลูกศิษย์สองคนก็ยังรับรู้ได้ถึงอันตรายนี้

“กวางขายาว รีบหยุดเจ้านี่เดี๋ยวนี้…”

ฮูดาไฮ่ได้พูดด้วยเสียงอันดังลั่น แต่ท่าทีของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อได้เห็นแรดสามขาอีกตัวที่กำลังวิ่งไปหาเฉินเฉียง

ก่อนที่หลู่กังเฟิงจะได้ทันเข้าไปช่วย เฉินเฉียงก็ได้ใช้ย่างก้าวแรกแห่งก้าวย่างสวรรค์พุ่งมาหาฮู่ดาไฮ่แล้ว

ฮู่ดาไฮ่ในตอนนี้ที่กำลังกำผมตัวเองด้วยมือทั้งสองข้างเพราะความเครียดก็ได้ปลดปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจนดังลั่น พร้อมกับจับจ้องไปยังเฉินเฉียงที่เข้ามาหาเขา

เฉินเฉียงที่ในตอนนี้กำลังตื่นตระหนกนั้น เขาได้ใช้ย่างก้าวแรกหลบหนีหมูป่ามาได้นั้นก็พบหมีสีดำที่ตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกลิ่นปากอันเหม็นเน่าของมันที่ติดตามมาด้วยนี่ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกพะอืดพะอมอย่างมาก

เมื่อเห็นดังนี้ ฮู่ดาไฮ่ได้จับไปยังไหล่ของเฉินเฉียงให้มาหลบอยู่ข้างหลังพร้อมทั้งคำรามใส่หมีดำใหญ่ในทันที “โฮกกกกกกกกกกกกก”

เฉินเฉียงที่เห็นฉากนี้ก็ถึงกับต้องประหลาดใจ นั่นก็เพราะหมีสีดำตัวใหญ่ที่ได้ฟาดกรงเล็บมาเมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ ความบ้าเลือดของมันราวกับถูกเสียงตะโกนสาดซัดใส่อารมณ์เหล่านั้นให้มลายหายไปจนหมด

“ฮ่าฮ่าฮ่า กวางขายาวเอ๋ยยยย เด็กนี้เป็นของข้า”

เมื่อฮู่ดาไฮ่พูดจบ เขาก็ได้จับไหล่ของเฉินเฉียงอีกครั้งก่อนที่จะทะยานออกไปและเพียงพริบตาเดียวก็ได้หายไปจากพื้นที่สอบนี้

ที่ด้านหน้าประตูเหล็ก เมื่อฮู่ดาไฮ่ได้เฉินเฉียงออกมา ตามออกมาด้วยหลู่กังเฟิงที่ตามออกมาติดๆ ทั้งสามก็ได้เผชิญหน้ากับ ผอ.หลี่ที่ในตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆกัวเหลียงที่อยู่ด้านนอก ด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย

“ทั้งสองคน เปิดกำไรสื่อสารดูเดี๋ยวนี้”

คำพูดของผอ.หลี่ทำให้ทั้งสามคนที่เพิ่งจะออกมานั้นก็ได้เปิดดูกำไรสื่อสารของตนในทันที

“แล้วเอาไงต่อล่ะ ถ้าพวกเราตัดสินว่าให้เด็กนี่ผ่านการทดสอบแล้วเกียรติยศของสำนักเต่าดำจะเอาไปไว้ไหน”

“ไม่มีปัญหานี่ ตอนที่ทั้งสองคนเข้าไปนั่นก็เป็นตอนที่เด็กใหม่ผ่านด่านไปแล้ว ข้าเองก็ได้ดูวิดีโอการสอบของเด็กใหม่แล้ว เด็กใหม่นั่นตอนที่ได้ยินเสียงร้องของสัตว์ประหลาดก็ได้ยืนนิ่งไม่ไหวติงจนทำให้สัตว์ประหลาดพวกนั้นไม่สนใจเขาเลยสักนิด”

“มันก็จริงที่ต่อให้อาจารย์ทั้งสองไม่ปรากฏตัวเด็กนั่นก็ไม่น่าจะถูกกิน แต่เด็กนั่นก็อาจจะกลัวสัตว์ประหลาดพวกนั้นจนตายก็ได้”

“แต่เขาเองทำทลายสถิติสอบเข้าของเราไปสองด่านแล้วนะ ใครจะรู้ ทางสำนักอาจต้องการแหกกฎเพื่อตั้งใจรับเขาเข้าสำนักจริงๆก็ได้”

“ไร้สาระ ต่อให้เขาผ่านด่านมาสองด่านได้ง่ายๆก็จริง แต่เด็กนี่ก็ยังไม่สมควรเข้าสำนักได้อยู่ดี ด่านที่สามนั้นต้องการทดสอบความสามารถด้านการต่อสู้ของผู้สอบ แต่เจ้าเด็กนี่เป็นเพียงแค่นักรบสายเลือดระดับทหารขั้นกลางเท่านั้น แถมยังออกมาโดยไม่ได้สู้เลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้มันไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ หากว่าทุกคนทำแบบเขาแล้วจะมีด่านสามไว้ทำไม”

เมื่อได้ยินเสียงเหล่าศิษย์ในสำนักออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่ทำให้ทั้งสามคนนั้นแสดงท่าทางออกมาที่แตกต่างกันไป

สำหรับเฉินเฉียงแล้ว ถ้าผลการสอบด่านสามนี้ถูกปฏิเสธไปล่ะก็ ตัวเขาคงต้องกลับเขาหมางไป และหากในครั้งนี้ต้องกลับเขาหมางไปล่ะก็ เขาคงจะยากที่จะไขว่คว้าตราของนายพลเทียนเว่ยให้มาอยู่ในมือได้ในห้าปีเป็นแน่

“ทั้งสองคนเห็นหรือเปล่าว่าในตอนนี้ศิษย์สำนักของเรานั้นตั้งแง่กับการสอบผ่านของเฉินเฉียงขนาดไหน”

“หากทั้งสองคนไม่แทรกแซง ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย”

“อาจารย์ฮู่ ปล่อยเฉินเฉียงให้ไปกับกัวเหลียงซะ แล้วอาจารย์ทั้งสองตามข้ากลับไปที่อยู่ของรองผอ.เดี๋ยวนี้ เราจะพูดเรื่องนี้กันในภายหลัง”

“ผอ.ลี พวกเราต้องคุยอะไรกันอีกเล่า เจ้าหนูนี่ก็ผ่านด่านสามมาได้แล้วนี่ หากพูดกันตามหลักแล้ว เขาเองก็ถือได้ว่าเป็นศิษย์สำนักเต่าดำแล้วไม่ใช่….”

ก่อนที่ฮู่ดาไฮ่จะได้ทันพูดจบประโยค เขาก็ต้องผงะไปกับท่าทีที่เหี้ยมเกรียมของผอ.หลี่ นี่ทำให้เขาไม่มีทางเลือกและทำได้เพียงเหวี่ยงเฉินเฉียงไปหากัวเหลียงแล้วตามผอ.หลี่บอก และกลับไปพร้อมหลู่กังเฟิง

“ศิษย์พี่กัวนี่ดูเหมือนจะดีใจที่ข้าจะถูกเตะออกจากที่นี่จริงๆสินะเนี่ย”

เฉินเฉียงในตอนนี้นำมือข้างหนึ่งไปขยี้หัวตัวเองอย่างเหลืออด เพราะตอนนี้ไม่ว่าเขาจะมองกัวเหลียงยังไงก็รู้สึกว่าเขานั้นกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ

“จะเป็นไปได้ยังไง” กัวเหลียงที่ในตอนนี้มองเฉินเฉียงไม่ต่างไปจากหมูในอวย เขาได้ทำการตบอกของตัวเองและพูดออกมาอย่างมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ “น้องชาย อย่าบอกว่าน้องชายยังคิดกังวลเรื่องคะแนนห้าพันแต้มนั่นอยู่”

กับเรื่องนั้นก็ไม่เห็นจะยากนี่นา ปีหน้า น้องชายเพียงกลับมาสอบใหม่และผ่านให้ได้ พี่ชายคนนี้ยินดีที่จะมอบคะแนนให้ในทันทีที่เจ้าสอบผ่าน

เฉินเฉียงพยักหน้ารับ

เพราะเขานั้นเชื่อว่ากัวเหลียงนั้นมีสิ่งเดียวที่พอจะเชื่อถือได้ก็คือคำพูดนี่เอง

“จะว่าไปแล้ววว… ศิษย์พี่กัว ข้าขอถามหน่อยได้รึเปล่าว่าแต้มคะแนนนั่นเอาไว้ทำอะไรกันแน่ แล้วจางหยวนคนนั้นเองก็เป็นศิษย์ของที่นี่มาก่อนเหรอ”

ในตอนนี้เมื่อเฉินเฉียงต้องรอผลการตัดสินอยู่นั้น ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนนี้เขาอยากจะหาข้อมูลเอาไว้สักหน่อยก็ยังดี

“แต้มคะแนนที่ว่าจะเรียกอีกอย่างว่าค่าผลงานก็ได้”

“ในสำนักเต่าดำนี้ ค่าคะแนนนี้มีค่าเอาไว้ใช้แลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของหรือทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะ”

“การได้รับแต้มคะแนนนี้มีการรับได้หลายรูปแบบ นอกจากการที่จะได้รับจากสำนักจำนวนยี่สิบคะแนนในทุกๆเดือนแล้ว เราเหล่าลูกศิษย์สามารถรับแต้มคะแนนเพิ่มเติมได้จากการทำภารกิจ พนัน และลงแข่งในเวทีเป็นตาย ที่เป็นเวทีประลองยุทธของสำนัก และได้รับค่าคะแนนนี้มาหากชนะได้ตามเกณฑ์ของสำนัก”

“ส่วนจางหยวนที่เจ้าพูดถึงนั้นเขาเคยเป็นศิษย์ของที่นี่จริง แต่เขาออกไปกลางคันเพื่อเข้าร่วมกับตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทรา”

“ในตอนนั้น อาจารย์ของเขาหรือก็คือหลู่กังเฟิงนั้นโกรธมากเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา แต่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เพราะจางหยวนนั้นได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปแล้ว หลู่กังเฟิงแม้ว่าเห็นค่าในตัวจางหยวนมากแต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้เขาไป”

“ศิษย์พี่กัว…ศิษย์พี่เองก็เป็นลูกศิษย์ของหลู่กังเฟิงใช่รึเปล่า”

กัวเหลียงได้มองไปรอบๆก่อนที่จะแตะไหล่ของเฉินเฉียงก่อนที่จะกระซิบออกมา “ข้าคือศิษย์ของอาจารย์ฮู่”

“ข้าเองก็รู้จักอาจารย์มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่ก็โดนเขาหลอกมาให้เป็นศิษย์ของเขาเนี่ยแหละ”

“ถึงแม้จะน่าอายไปหน่อย แต่สำหรับข้าแล้ว นั่นเป็นโชคชะตาที่ทำให้ได้รู้จักกับศิษย์น้องหนี่เฟิง”

ถึงแม้ว่าทางสำนักจะยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องของเฉินเฉียงว่าจะได้เข้ามาเรียนในสำนักเต่าดำหรือไม่ แต่เฉินเฉียงเองก็ยังต้องการข้อมูลอยู่ดี

“ศิษย์พี่กัว เท่าที่ข้าฟังดูแล้วเหมือนว่าศิษย์เองก็สามารถเลือกอาจารย์ได้ใช่รึเปล่า”

“แน่นอน เพราะการเลือกอาจารย์ที่ถูกใจก็เป็นส่วนที่สำคัญในการบ่มเพาะของตัวเจ้าเองเช่นเดียวกัน”

“ข้าเอง ในตอนแรกนั้นที่เข้ามาที่นี่เพราะหลงใหลไปกับทักษะระดับวิญญาณของอาจารย์เหลียง แต่สุดท้าย ข้านั้นก็โดนอาจารย์ฮู่หลอกล่อจนต้องกลายเป็นศิษย์ของเขา นี่เป็นเรื่องเดียวที่ข้านั้นเสียดายที่สุด”

“ดังนั้น น้องชายเอ๋ย ถ้าเจ้าได้เข้าสำนักนี้ในภายภาคหน้า เจ้าต้องไม่เลือกอาจารย์ฮู่เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องเสียใจไปจนวันตาย”

“กัวเหลียง เบื่อที่จะมีชีวิตแล้วใช่ไหม”

เสียงคำรามที่ดังลั่นประดุจฟ้าผ่าได้ทำให้กัวเหลียงที่แตะบ่าและกระซิบกระซาบกับเฉินเฉียงนั้นเขาทรุดลงไปเล็กน้อยในทันที

Related

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset