เหยาเฟิ่งเกอย่อมไม่รู้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ในใจ และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าผิดปกติของนาง ราวกับว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ควรจะต้องแปลกใจที่เห็นตนเอง เดิมทีเหยาเฟิ่งเกอมาเยี่ยม ก็แค่อยากจะทำให้นางรู้สึกตกใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“วันนี้ไปเที่ยวเล่นที่จวนเจิ้นกั๋วกงเพลิดเพลินดีหรือไม่” พี่สาวผู้เป็นบุตรีภรรยาเอกเข้าไปกุมมือน้องสาวผู้เป็นบุตรีอนุภรรยาไว้ นางดูอ่อนโยนและน่าเข้าใกล้ยิ่งนัก
“ก็ดีเจ้าค่ะ คุณหนูรองแห่งจวนกั๋วกงมีนิสัยใจคอที่ดียิ่งนักเหมือนอย่างที่พี่สาวบอก นางเป็นคนที่โอบอ้อมอารีและร่าเริงแจ่มใส ไม่คิดเล็กคิดน้อย แล้วยังดีกับข้าอีกด้วย” เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูดขึ้น
เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้าอย่างสบายใจ “เช่นนั้นก็ดี พวกเจ้าไปเล่นหมากล้อมด้วยกัน สนุกสนานหรือไม่? เจ้าไปแพ้หรือชนะมา?”
“ฝีมือการเล่นหมากล้อมของข้าแสนธรรมดา คงไม่อยากสร้างเรื่องอับอายให้ตนเองหรอกเจ้าค่ะ ทว่ากลับกัน ข้าติดตามน้องเหิงกลับเรียนรู้อะไรมาได้ไม่น้อย”
“วันข้างหน้าก็ออกไปฝึกเล่นบ่อยๆ ค่อยๆ ฝึกไปก็จะคุ้นเคยกับมันเอง ท้ายที่สุดแล้ว กู่ฉิน หมากล้อม เขียนอักษร วาดภาพ สิ่งเหล่านี้อย่างไรก็ไม่ถือว่าเป็นการงานหลัก หากชื่นชอบอะไรก็ลองดู แต่ถ้าไม่ชื่นชอบก็ช่างปะไรไป อย่างไรเสียการสานความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าคุณหนูจากแต่ละจวนถึงจะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า”
เหยาเยี่ยนอวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง คำพูดนี้หมายความว่าอะไร อะไรที่เรียกว่าวันข้างหน้าก็ออกไปฝึกเล่นบ่อยๆ! ข้าไม่ใช่ว่าจะได้ออกไปอยู่บ้านสวนและไปใช้ชีวิตอันสงบสุขตามลำพังแล้วหรือ ใครอยากจะไปเล่นอะไรพวกนั้นที่จวนกั๋วกงโหวเล่า เพื่อไปเป็นเพื่อนเล่นกับคุณหนูพวกนั้น?
เหยาเฟิ่งเกอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นางจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนกว่าเดิม “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะ เรือนที่นี่ของข้าคับแคบเกินไป อีกทั้งยังมีคุณชายสามที่คอยเข้าออกอยู่บ่อยครั้ง เจ้าเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว อย่างไรหากอาศัยอยู่ด้วยกันกับผู้อื่นก็คงจะไม่สะดวก ข้าจึงคิดว่าจะไปเก็บกวาดเรือนที่อื่นของจวนโหวให้เจ้าได้พักอาศัย ทว่าพี่รองก็บอกว่าไหนๆ เจ้าก็ไม่อยากจะอาศัยอยู่ที่นี่แล้ว ก็ออกไปพักอาศัยข้างนอกก็ได้”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที ตราบใดที่สามารถออกจากจวนโหว นางก็เต็มใจยิ่งแล้ว เพราะแค่นางออกจากที่นี่ นางก็จะไม่ข้องเกี่ยวใดๆ กับซูอวี้เสียงและจวนโหวอีก มากสุดนางก็เป็นแค่น้องสาวที่เป็นบุตรีอนุภรรยาของฮูหยินน้อยสามในจวนโหวเท่านั้น
ขณะที่เหยาเฟิ่งเกอพูด ก็สังเกตสีหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่อย่างละเอียด และรู้ว่าน้องสาวคนนี้ไม่อยากอยู่ในจวนโหวจริงๆ ไม่ว่าจะเนื่องด้วยนางไม่อยากจะเป็นอนุภรรยาของซูอวี้เสียงก็ดี หรือว่านางไม่อยากอยู่ให้พี่สาวคอยจับตามองตลอดเวลาก็ดี ไหนๆ นางก็ไม่ยินยอม เช่นนั้นเหยาเฟิ่งเกอเองก็ยินดีที่จะทำให้นางสมดั่งปรารถนา
“ดังนั้น ข้ากับพี่รองได้ปรึกษาหารือกันแล้ว ความหมายของพี่รองก็คือจะให้ซ่อมแซมและตกแต่งเรือนของตระกูลเหยาในเมืองหลวงใหม่ และจะซื้อบ่าวไพร่ที่มีภูมิหลังทางครอบครัวที่สะอาดและบริสุทธิ์มาสองครอบครัว เพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้เจ้า แล้วจะให้เจ้าย้ายไปอาศัยอยู่ที่นั่น เช่นนี้น้องสาวจะได้อยู่อย่างอิสระ และข้าก็สามารถปกป้องดูแลเจ้าในขณะเดียวกัน”
ในใจของเหยาเยี่ยนอวี่แอบร้องอุทาน และกำลังครุ่นคิดถึงว่า หากอยากจะย้ายไปอยู่บ้านสวน เกรงว่าจะต้องเปลืองมันสมองในการไปครุ่นคิดเรื่องนั้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้เหยาเฟิ่งเกอก็ได้บอกให้เหยาเหยียนอี้รับรู้ถึงเรื่องนี้แล้ว ต่อให้นางอยากพูดมากกว่านี้เพียงใด เกรงว่าก็คงไม่มีประโยชน์ บิดามารดาไม่อยู่ คำพูดของพี่สาวและพี่ชายคนรองซึ่งเป็นบุตรภรรยาเอกทั้งคู่เอ่ยขึ้น ตนที่เป็นบุตรีอนุภรรยาจะบังอาจไม่เชื่อฟังได้อย่างไร
“ขอบคุณพี่สาวอย่างยิ่ง ลำบากพี่สาวที่ต้องจัดเตรียมทุกอย่างเพื่อข้าแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้นแล้วค้อมตัวน้อมคำนับ
“เจ้ายังจะพูดเยี่ยงนี้กับพี่อีก?” เหยาเฟิ่งเกอยิ้มอย่างแจ่มใสแล้วดึงนางไปนั่งเคียงข้าง จากนั้นก็ครุ่นคิดถึงจวนที่เอ่ยถึง ที่ผ่านมาก็ได้จ้างคนไปเฝ้าและทำความสะอาดเรือนอยู่ตลอดมา แค่ว่าพวกเราไม่ได้ไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นมาเนิ่นนาน เกรงว่าบรรดาบ่าวไพร่พวกนั้นคงจะแอบปล่อยเช่าไปแล้ว วันรุ่งขึ้นจะสั่งคนไปดู และจะขับไล่พวกคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่นั่นออก จากนั้นก็จะซื้อของใช้ส่วนตัวเข้าไปจัดวางและตกแต่งใหม่ อีกทั้งยังจะเลือกบ่าวไพร่ที่ได้การได้งาน คัดเลือกทหารรักษาการณ์ในจวนโหวอีกไม่กี่นายไปเฝ้าที่นั่น
อย่างไรนางก็จัดเตรียมทุกอย่างได้อย่างครบครันและครุ่นคิดอย่างรอบคอบอยู่แล้ว นางพูดจนเหยาเยี่ยนอวี่จำต้องกล่าวคำว่า ‘ลำบากพี่สาวมากแล้ว ขอบคุณพี่สาวที่คิดเผื่อข้าอย่างถี่ถ้วน พี่สาวเหน็ดเหนื่อยแล้ว น้องรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก’ อย่างย้ำไปย้ำมา
เหยาเหยียนอี้ตั้งใจเข้าเมืองก่อนที่จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ภายนอกอาจจะบอกว่ามาทำธุระ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาตั้งใจจะมาเดินป้วนเปี้ยนในบริเวณที่ตั้งของจวนอ๋อง จวนกง จวนโหวและจวนปั๋วต่างหาก บรรดาศักดิ์ของเหยาหย่วนคือข้าหลวงใหญ่ที่ปกครองสองเมืองก็ย่อมจะต้องประจบประแจงฮ่องเต้และวังหลวงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางนอกราชสำนักและขุนนางในเน่ยเก๋อ[1]นั้นไม่ควรสนิทสนมกันมาก เหยาเหยียนอี้จึงแอบอ้างว่ามาเยี่ยมเยียนน้องสาวและมาจัดการธุระส่วนตัวของตน ซึ่งจะเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุด
หลังจากเข้าเมืองหลวงมาจัดการธุระสำคัญไปหลายวัน ก็เห็นว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้ากลับไปเฉลิมฉลองที่เจียงหนานคงไม่ทัน อีกทั้งติ้งโหวเองก็ได้รั้งเขาไว้ เหยาเหยียนอี้ก็อยากจะอยู่กับน้องสาวของตนให้นานกว่านี้ จึงได้อยู่เฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่จวนติ้งโหว
ถึงแม้ช่วงเวลาแห่งการไว้อาลัยของแคว้นยังไม่อนุญาตให้มีการจัดพิธีสมรส และจัดงานเลี้ยงใดๆ ด้วยเหตุที่เหล่าขุนนางในราชสำนักได้ออกรบและได้รับชัยชนะกลับมา ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงปิติยินดี ตั้งแต่วัดหรือศาลเจ้า วังใน จวบจนขุนนางและสามัญชนธรรมดา ต่างก็รู้สึกรื่นเริงยินดี ทุกคนจึงสามารถปิดประตูเฉลิมฉลองกันภายในครอบครัวได้ นี่ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลที่ค่อนข้างสำคัญ จวนติ้งโหวก็ได้ไปมาหาสู่กับเครือญาติที่กลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน ลู่ฮูหยินจึงต้องจัดการรายชื่อของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ในแต่ละวัน ทำให้นางลำบากยิ่งนัก และอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ก็ดันมาป่วยเอาในเวลานี้ เฟิงฮูหยินน้อยจำต้องคอยดูแลนาง จึงไม่อาจมาแบ่งเบาภาระหน้าที่ในส่วนนี้ได้ ส่วนเหยาเฟิ่งเกอเองก็เพิ่งหายป่วย และกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ เวลานี้จึงรู้สึกว่า หากมีสะใภ้มากกว่านี้ก็คงจะดี
ซุนฮูหยินน้อยจึงต้องอยู่กับลู่ฮูหยินทุกวัน และคอยช่วยลู่ฮูหยินสะสางงานภายในเรือนที่แสนจะวุ่นวายเหล่านี้ อีกทั้งยังต้องคอยต้อนรับและส่งแขกเหรื่อ ธุระทุกอย่างก็ถูกจัดการอย่างราบรื่นเสมือนปลาได้น้ำ
ทีแรกลู่ฮูหยินเองก็ไม่ได้ใส่ใจสะใภ้รองคนนี้อยู่แล้ว อย่างไรอนาคตทุกอย่างในจวนโหวก็ต้องตกเป็นของท่านซื่อจื่ออยู่ดี ไม่ช้าก็เร็วครอบครัวสองและครอบครัวสามก็จะแยกย้ายไปดูแลกิจการงานในส่วนของพวกเขาเอง บุตรชายคนรองเป็นคนดูแลทหารรักษาการณ์ ถือเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ หากอนาคตสะใภ้รองไม่ได้กระทำการใดที่มีโทษร้ายแรง ครอบครัวสองก็ถือว่ามีอนาคตที่ไม่เลว
พอมาดูวันนี้ ซุนฮูหยินน้อยกลับมีความสามารถมากมาย นางสามารถสะสางทุกอย่างได้อย่างขะมักเขม้นและชำนาญ ถือว่าสามารถเทียบเทียมกับเฟิงฮูหยินน้อยได้เลยทีเดียว
ลู่ฮูหยินจึงนึกถึงแม่นมคนนั้นที่ดูแลอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์มาโดยตลอด แต่กลับถูกเฟิงฮูหยินน้อยไล่ออกไปได้ไม่นาน อวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ก็ป่วยขึ้นมาทันที แต่กลับไม่มีใครกล้ายกประเด็นนี้มาพูดถึงเลย
ซุนฮูหยินน้อยเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบ นางไม่เคยมากความเกี่ยวกับเรื่องของครอบครัวบุตรคนโตและบุตรคนที่สามเลย แค่มักจะกล่าวว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นสตรีที่มีความกระตือรือร้นในการทำงานเท่านั้น
ช่วงเวลาที่ไม่มีคนอยู่ในตอนกลางคืน ลู่ฮูหยินก็พึมพำกับเหลียนหมัวมัวที่เป็นบ่าวคนสนิทของนาง บอกว่าเฟิงฮูหยินน้อยเป็นคนที่มีจิตใจคับแคบ ไม่สามารถควบคุมดูแลการใหญ่ได้ อีกทั้งเป็นคนที่มักหวาดระแวง นางเกรงว่าวันข้างหน้าจะไม่สามารถช่วยเหลือบุตรชายคนโตได้ และด้วยเหตุนี้นางจะไม่อาจเป็นเส้นสายของซื่อจื่อได้
เหลียนหมัวมัวจึงปลอบโยน “ฮูหยินซื่อจื่ออายุยังน้อย นายหญิงค่อยๆ สอนงานนางเพียงไม่กี่ปี ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองเจ้าค่ะ”
ลู่ฮูหยินจึงเอ่ยขึ้นต่อ “เรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ แค่ว่าจนทุกวันนี้นางยังไม่สามารถมีบุตรชาย นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจมากกว่า”
คำๆ นี้เหลียนหมัวมัวเองก็ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมนางอย่างไร ตามหลักความเป็นจริงแล้วอายุของเฟิงฮูหยินน้อยก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว นางแต่งเข้าจวนโหวมาแปดปีกว่า จนถึงตอนนี้อายุของนางก็ยี่สิบเจ็ดแล้ว แต่ยังมีบุตรีอายุห้าขวบเพียงคนเดียว เรื่องทายาทที่จะมาสืบทอดต้นสกุลยังไม่มีหวังเลยสักนิด
หลานชายคนโตของครอบครัวบุตรชายคนโตเลยเชียว! เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ของการสืบทอดตระกูลของโหวเจวี๋ยเชียวนะ แม้แต่ผู้ที่รอยังไม่กล้าที่จะกล่าวมากความเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ณ เรือนนอนของเฟิงฮูหยินน้อยในเรือนชิงผิง คุณหนูใหญ่ซูจิ่นอวิ๋นดื่มยาต้มที่ผสมน้ำผึ้งแล้วหลับอยู่บนตั่งไม้ สาวใช้คนสนิทของเฟิงฮูหยินน้อยก็ยกยาต้มหนึ่งถ้วยเข้ามา แล้วยื่นให้เฟิงฮูหยินน้อยอย่างเงียบๆ
เฟิงฮูหยินน้อยจึงได้รับถ้วยยาต้มนั้นไว้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างรู้สึกรังเกียจ
แม่นมซิ่งเอ๋อร์ที่กำลังกล่อมอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์นอนอยู่ข้างๆ ก็ได้โน้มน้าวขึ้น “นายหญิงผู้แสนดีของบ่าว บ่าวขอเตือนให้ท่านอดทนดื่มยาขมถ้วยนี้ลงไปเถอะ ถือโอกาสในช่วงที่ท่านซื่อจื่อยังอาศัยอยู่ในเรือน ท่านต้องรีบมีบุตรชายจึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้”
เฟิงฮูหยินน้อยถอนหายใจพลางพยักหน้า จากนั้นก็หลับตาดื่มยาต้มถ้วยนี้เข้าไปเพียงเฮือกเดียว ไฉ่จูที่อยู่ด้านข้าง ก็รีบเอาน้ำอุ่นหนึ่งถ้วยมาให้เฟิงฮูหยินน้อยบ้วนปาก และยกบ๊วยเค็มหนึ่งจานมาให้นาง เฟิงฮูหยินน้อยจึงจับบ๊วยเค็มหนึ่งเม็ดแล้วใส่เข้าปาก ผ่านไปสักพักจึงค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น แล้วเปรยขึ้น “ทรมานปางตายจริงๆ”
[1] เน่ยเก๋อ องค์กรสูงสุดในการปกครอง มีสถานะเหนือหกกระทรวง
Related