ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 213 คำนวณตัวเลข

เฉิงฉือกับซ่งหมิ่นกำลังยืนอยู่ที่หัวเรืออูเผิงลำหนึ่งอย่างมั่นคง มองดูฉินจื่อผิงและคนอื่นๆ ที่อยู่บนเรือข้างๆ ปล่อยไม้กระดานลงบนพื้นผิวแม่น้ำตามคำสั่งของพวกเขาซ้ำไปซ้ำมา แล้วใช้นาฬิกาพกจับเวลาเพื่อเปรียบเทียบความเร็วและระยะทางที่ไม้กระดานไหลจากต้นทางไปตามสายน้ำ

หวงอี๋จวินที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาบ่นมุบมิบ “ทำเช่นนี้จะวัดความเร็วของกระแสน้ำได้หรือ แต่วัดความเร็วของกระแสน้ำไปแล้วจะได้ผลอะไรเล่า อย่างไรก็ตาม วันที่สิบแปดเดือนแปดของทุกปีเป็นช่วงที่ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถังยิ่งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยคลาดเคลื่อน ต่อให้คำนวณแล้วว่าจะเกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงก่อนสองสามวันแต่วันที่สิบแปดเดือนแปดนี้ก็ยังเกิดน้ำขึ้นน้ำลงอยู่ดี เพียงแต่มีขนาดที่แตกต่างกัน จะมีใครมาสนใจเรื่องเหล่านี้กันเล่า…”

เมื่อคืนกำลังร่ำสุรากันอยู่ดีๆ จู่ๆ ผู้เฒ่าซ่งกับเฉิงจื่อชวนก็ตัดสินใจไปดูแม่น้ำเฉียนถังที่อ่าวหังโจว พี่เขยได้ฝากฝังเขาไว้ว่าให้ ‘เชิญ’ ซ่งหมิ่นไปให้ถึงจิงเฉิงโดยสวัสดิภาพ เขาจึงได้แต่วางตะเกียบลง แล้วตามพวกเขาไปที่อ่าวหังโจวด้วย

ผู้เฒ่าซ่งกับเฉิงจื่อชวนเดินวนรอบอ่าวหังโจวกว่าครึ่งค่อนคืน เขานั่งดูอยู่ที่ริมแม่น้ำจนเปลือกตาบนต่อสู้ดิ้นรนกับเปลือกตาล่างไม่ไหว ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปเมื่อใด กระทั่งยามที่ผู้ติดตามของเฉิงจื่อชวนมาสะกิดปลุก ท้องฟ้าก็สว่างเสียแล้ว ผู้เฒ่าซ่งกับเฉิงจื่อชวนรีบรุดกลับไปที่หมู่บ้านไป๋หยางทันที พ่อบ้านฉินผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่ไม่รู้ว่าไปหาเรืออูเผิงสองสามลำมาจากที่ใด พวกเขารับประทานมื้อเช้าอย่างเร่งรีบแล้วก็มานั่งคุดคู้อยู่บนเรืออูเผิงลำนี้ต่อ จากนั้นก็มองดูพ่อบ้านฉินผู้นั้นทำตามคำสั่งของผู้เฒ่าซ่งกับเฉิงจื่อชวน ประเดี๋ยวก็ปล่อยไม้กระดานแผ่นนั้นลอยจากเรือลำนี้ไปเรือลำนั้น ประเดี๋ยวก็ปล่อยให้ลอยจากเรือลำนั้นมาเรือลำนี้ พ่อบ้านฉินใช้นาฬิกาพกของเฉิงจื่อชวนจับเวลาอยู่ที่นั่น

ผู้เฒ่าซ่งไม่มีกิริยาท่าทางของบิดาขุนนางใหญ่ยศผิ่นขั้นหนึ่งเลยแม้แต่น้อย ราวกับเป็นตาสีตาสาจากบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกก็ไม่ปาน นับตั้งแต่ที่เฉิงจื่อชวนหยิบนาฬิกาพกฉลุลายเคลือบสีเรือนนั้นออกมาจากแขนเสื้อ สองตาของเขาก็ประหนึ่งติดหนึบอยู่บนนาฬิกาพกเรือนนั้น ยังเอ่ยถามเฉิงจื่อชวนอย่างหน้าไม่อายว่า “นาฬิกาพกเรือนนี้ได้มาจากที่ใดหรือ” โดยไม่รู้เลยว่าแม้นาฬิกาพกเช่นนี้จะหายากยิ่ง แต่ที่นอกประตูตงจื๋อเหมินที่จิงเฉิงก็มีขาย นอกจากนี้พี่เขยก็มีอยู่เรือนหนึ่ง ปกติแล้วจะเก็บเอาไว้ในห้องเก็บสมบัติ ท่าทางพี่เขยจะชื่นชอบมันมาก แต่ผู้เฒ่าซ่งเป็นบิดาของพี่เขย หากว่าเขาเอ่ยปากขอ พี่เขยจะไม่ยกให้เขาได้อย่างไรเล่า

จ้องนาฬิกาพกของผู้อื่นตาเป็นมันเช่นนี้…ช่างน่าขายหน้าเกินไปแล้ว!

ไม่ต้องกล่าวถึงว่า พอเฉิงจื่อชวนบอกว่านาฬิกาพกเรือนนี้ได้มาจากชาวตะวันตก หนำซ้ำยังสัญญาว่าจะหามาให้เขาด้วยเรือนหนึ่ง สีหน้าของผู้เฒ่าซ่ง จะกล่าวว่าซาบซึ้งใจเหลือคณาก็ไม่ถือว่าเกินจริงนัก กระทั่งเรียกเฉิงจื่อชวนว่า “ท่านเฉิง” อย่างพินอบพิเทา หากว่าเรื่องนี้เข้าถึงหูของพี่เขยล่ะก็ คงไม่รู้จะเอาหน้าไปวางที่ไหนเสียแล้ว!

ไม่แปลกเลยที่ไม่ว่าอย่างไรพี่เขยก็ต้องการ ‘เชิญ’ ผู้เฒ่าซ่งมาอยู่ข้างตนให้ได้

นอกจากนี้พวกเขาก็ดูไม้กระดานชิ้นนั้นลอยไปมาอยู่อย่างนี้นานหนึ่งชั่วยามแล้ว เมื่อไรจะวัดเสร็จเสียที

ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ อากาศร้อนแผดเผาเป็นพิเศษ เขารู้สึกหน้ามืดตามัว แทบอยากจะลงจากเรือประเดี๋ยวนี้เลย

แต่ผู้เฒ่าซ่งกับเฉิงจื่อชวนกำลัง ‘เล่น’ กันอย่างสนุกสนาน เขาจะว่าอะไรได้

หวงอี๋จวินมองดูใบหน้าอ่อนเยาว์ของเฉิงฉือที่กำลังพูดสองสามประโยคด้วยเสียงบางเบา เนื่องจากเสียงเบาเกินไป ทุกคนจึงได้ยินไม่ชัดว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่

หลั่งเย่ว์ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ กลอกลูกตา

หวงอี๋จวินผู้นี้ ในตอนแรกยังแสดงท่าทีที่สุภาพนอบน้อม แต่ภายหลังเมื่อค้นพบว่านายท่านสี่อายุมากกว่าเขาเพียงห้าปี หนำซ้ำเขายังเป็นเพียงซิ่วไฉแต่นายท่านสี่กลับเป็นถึงจิ้นซื่อแล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จวบจวนกระทั่งยามผู้เฒ่าซ่งต้องการคบหานายท่านสี่ประหนึ่งเป็นสหายวัยเดียวกัน เขาก็เริ่มรู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย ราวกับว่าการที่ผู้เฒ่าซ่งคบหานายท่านสี่เสมือนเป็นสหายวัยเดียวกันเป็นเรื่องที่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติเรื่องหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่อาจตำหนิหวงอี๋จวินได้

มองดูแล้วเขาคงเป็นบัณฑิตที่เถรตรงและเคร่งครัดในกฎเกณฑ์มากเกินไป ย่อมไม่อาจเข้าใจได้ว่านายท่านสี่กับผู้เฒ่าซ่งกำลังทำอะไรกันอยู่!

หลั่งเย่ว์รู้สึกเห็นใจเขาเล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายหวง ท่านอยากไปนั่งรออยู่ในเรือหรือไม่ขอรับ แสงแดดข้างนอกค่อนข้างแรงไปเสียหน่อย”

ก็ดีเหมือนกัน!

หวงอี๋จวินตรึกตรองดูแล้ว ไม่ว่าอย่างไรผู้เฒ่าซ่งก็ไม่ต้องการเขา เขาอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด

“เช่นนั้นก็รบกวนน้องชายแล้ว!” เขากล่าวอย่างนอบน้อม

มีเรือเล็กลำหนึ่งแล่นเข้ามาเต็มกำลัง

เฉิงฉือกับซ่งหมิ่นย่นหัวคิ้วพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เฉิงฉือยิ่งแล้วใหญ่สั่งผู้ติดตามข้างกายว่า “นั่นเป็นเรือจากที่ใด ให้พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือเสีย!”

ผู้เฒ่าซ่งก็กล่าวเหมือนกันว่า “พวกเขาล่องเรือมาเช่นนี้จะส่งผลต่อระดับความเร็วในการลอยของไม้กระดาน พวกเราไม่รู้ว่ายังต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด!”

เฉิงฉือสีหน้าดำดิ่งดั่งน้ำลึก

มีผู้คุ้มกันที่อ่านสถานการณ์ออกได้อย่างว่องไวตะโกนถามเรือเล็กลำนั้นออกไปว่า “พวกเจ้ามาจากที่ใด พวกข้ามีธุระที่นี่ ช่วยล่องเรือไปตามริมฝั่งแม่น้ำได้หรือไม่”

ทว่าคนบนเรือเล็กกลับยิ้มพลางกล่าว “พ่อบ้านฉินขอรับ ผู้น้อยเป็นบ่าวที่บ้านพักของตระกูลจง ได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่าให้นำน้ำชาและของว่างมาให้นายท่านเฉิงกับท่านผู้เฒ่าซ่งขอรับ”

เฉินจื่อผิงหันไปมองเฉิงฉือ

เฉิงฉือยิ้มอย่างขมขื่น

ฉินจื่อผิงรีบเก็บไม้กระดาน แล้วส่งคนไปรับของมา จากนั้นก็ส่งไปให้เฉิงฉือที่อยู่บนเรืออูเผิง

เฉิงฉือหันไปค้อมตัวท่านผู้เฒ่าซ่งน้อยๆ กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เห็นทีว่าพวกเราคงต้องดื่มน้ำชาสักจอกแล้วค่อยวัดกระแสน้ำกันใหม่แล้วขอรับ”

ซ่งหมิ่นหัวเราะร่า พลางกล่าว “ยังคงเป็นขิงแก่ที่มากไปด้วยประสบการณ์! หากว่านางไม่ให้คนนำน้ำชาและของว่างมาส่งให้ล่ะก็ เกรงว่าเจ้ากับข้าคงจะยืนอยู่ที่หัวเรือเช่นนี้ไปตลอดจนกว่าจะกลับไปเป็นแน่” เขากล่าวพลางรู้สึกทอดถอนใจ “เจ้าก็อย่ารำคาญที่ฮูหยินผู้เฒ่ามารบกวนเลย ตอนที่ตาแก่ผู้นี้อายุเท่าเจ้า วันๆ หมายแต่จะไปท่องแม่น้ำลำคลองใหญ่ทั่วแผ่นดิน ในบ้านจะมีเรื่องอะไรก็ไม่เคยอดทนอดกลั้น รู้สึกว่าพวกเขาเป็นภาระ จวบจวนภรรยาผู้นั้นจากไป ข้างกายก็ไม่มีผู้ใดมาบ่นจุกจิกอีก และก็ไม่มีผู้ใดมาคอยกำกับดูแลข้าอีกแล้ว แต่ในทางกลับกันข้ากลับรู้สึกโหวงเหวงอยู่ในใจ ราวกับไม่มีที่ให้พักพิงเสียแล้ว กล่าวไปกล่าวมา ไม่ว่าคนเราจะเดินทางไปถึงแห่งหนใด ต่างก็ต้องการมีบ้านสักหลัง หากมีคนรอคอยเจ้าอยู่ที่บ้าน มีคนเฝ้าคะนึงหาเจ้า ผู้นั้นถึงจะมีชีวิตอยู่โดยไม่รู้สึกเดียวดาย อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่ข้าพูดพล่ามเหล่านี้ในเวลานี้ ต่อให้เจ้าฟังเข้าหูบ้างก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเข้าใจ ต้องรอให้เจ้ามีอายุมากขึ้นอีกสักหน่อย ผ่านประสบการณ์ต่างๆ แล้วก็จะเข้าใจเอง”

เฉิงฉือไร้เสียงเอื้อนเอ่ย

เขาหลุบตาลงมองขนมปุยเมฆแผ่น ขนมถั่วมันฮ่อ กุหลาบกวน ขนมหัวผักกาด และผลไม้แช่อิ่มนานาชนิดที่จัดเรียงเอาไว้อย่างเรียบร้อยในกล่องขนมเคลือบสีดำเลี่ยมขอบแดงประกายทองลวดลายดอกไห่ถังสีทอง…ทันใดนั้นจิตใจก็ล่องลอยไปไกล ประหนึ่งอยากจะหลีกหนีจากถ้อยคำพร่ำสอนของซ่งหมิ่น

ของว่างเหล่านี้ต้องไม่ใช่มารดาเป็นผู้ตระเตรียมให้เขาเป็นแน่

หากว่ามารดาตระเตรียมน้ำชาและของว่างให้เขา จะต้องเตรียมของที่ทำสดใหม่ ไม่จัดขนมปุยเมฆแผ่นหรือขนมถั่วมันฮ่อที่ซื้อกลับมาจากร้านข้างนอกเอาไว้ในกล่องขนมอย่างแน่นอน

ในห้วงความคิดของเฉิงฉือปรากฎดวงหน้าพริ้มเพราน้อยๆ หน้าหนึ่ง ดวงตาฉ่ำน้ำแวววาว มองเขาด้วยสายตาละห้อย เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น…ราวกับแมวน้อยตัวหนึ่งที่กระหายคำชมจากเจ้าของ ขอเพียงเขาลูบหัวของนาง นางก็จะร่าเริงยินดีไปครึ่งค่อนวัน

ภายในเรือนนอกจากมารดาแล้ว ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่สั่งการบ่าวไพร่เหล่านั้นได้

เขาจิบน้ำชา แล้วชิมขนมทุกชิ้นในกล่อง สุดท้ายก็กินขนมหัวผักกาดด้วย

***

ณ บ้านพักของตระกูลจง โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ทางด้านขวาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเรียบร้อย ยิ้มพลางฟังฮูหยินผู้เฒ่าจง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินซ่งสนทนากัน

ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลจงที่พบว่ามีฮูหยินอีกท่านหนึ่งอยู่ด้วยอย่างกะทันหันนั้น ไม่รู้ว่าตื่นเต้นดีใจมากเพียงใด ยามที่พูดตัวก็สั่นเทิ้มเล็กน้อย ถ้อยคำวาจาประจบประแจงนั้น ทำให้ฮูหยินซ่งที่ไม่ค่อยได้สมาคมกับคนอื่นเท่าใดนักถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่คุ้นชินยิ่ง โชคดีที่มีฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ข้างๆ นางจึงค่อยๆ กลับมาทำตัวตามปกติ

ฮูหยินซ่งอดส่งสายตาซาบซึ้งใจให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทีหนึ่งไม่ได้

ด้วยเหตุที่นางอยู่ที่เมืองหลวงไม่ค่อยได้ออกไปเข้าสังคมนัก สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะภรรยาร่วมผูกผมที่จากไปแล้วของซ่งจิ่งหรานมีชื่อเสียงว่าเป็นสตรีที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรมมาจากตระกูลของหูก่วงจี๋ผู้เป็นขุนนางในจิงเฉิง ยังมีสาเหตุหลักๆ อีกส่วนหนึ่งก็คือเป็นเพราะนางเข้าสังคมไม่เก่ง คนอื่นมักจะเปรียบเทียบนางกับภรรยาคนก่อนของซ่งจิ่งหรานอยู่เสมอ นางจึงยิ่งไม่กล้าออกจากเรือน

ทว่าอยู่ที่นี่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัว ไม่ต้องถูกเปรียบเทียบ นางจึงรู้สึกว่าการพบปะผู้คนก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้นางรู้สึกเครียดและขยาดอีกแล้ว อารมณ์จึงเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายขึ้นมาโดยพลัน

ฮูหยินผู้เฒ่าจงเชิญชวนฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินซ่งไปเป็นแขกที่บ้านอย่างกระตือรือร้น

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิเสธอย่างสุภาพ กล่าวเพียงว่าเฉิงฉือยังมีแผนการสำหรับพรุ่งนี้อีก แล้วเชิญชวนฮูหยินผู้เฒ่าจงไปเป็นแขกที่จินหลิงในยามที่มีเวลาว่างแทน

ฮูหยินผู้เฒ่าจงจึงตกปากรับคำ

หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงที่บ้านพักเสร็จแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจงคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังต้องดูแลรับรองฮูหยินซ่ง จึงพาบรรดาสตรีในตระกูลกล่าวอำลาไปอย่างรู้ความ

ฮูหยินซ่งรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

เฉิงฉือกับซ่งหมิ่นกลับมาแล้ว

บ้านพักยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง

พวกบ่าวเด็กยกน้ำเข้ามาให้ทั้งสองคนล้างหน้าล้างตา ในครัวตระเตรียมอาหารรับรองใหม่อีกครั้ง ฮูหยินซ่งจัดเก็บข้าวของเตรียมพร้อมจะกลับเข้าเมืองหังโจว

ส่วนโจวเสาจิ่น พอรู้ว่าเฉิงฉือกินขนมหัวผักกาด ก็ยิ้มแฉ่งจนตาหยี แล้วให้ชุนหว่านไปตกรางวัลให้ในครัว

ชุนหว่านเอ่ยถามว่า “พวกเราจดสูตรทำขนมหัวผักกาดนี้กลับไปด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”

“แน่นอน!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “วันพรุ่งนี้พวกเราก็ทำอีกสักหน่อย ดูว่าฮูหยินผู้เฒ่าชอบกินหรือไม่ ถึงเวลาจะได้ให้ในครัวของเรือนหานปี้ซานทำตามได้ด้วย”

ชุนหว่านพยักหน้าหงึกๆ แล้วช่วยฝนหมึกให้โจวเสาจิ่น

ฮูหยินซ่งมาอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว แล้วกล่าวอย่างไม่อยากแยกจากกันว่า “ไม่รู้ว่าพ่อสามีวางแผนเอาไว้อย่างไร หากว่าเดินทางร่วมกับฮูหยินผู้เฒ่าได้ เช่นนั้นก็คงจะเป็นโชคดีของข้ายิ่งเจ้าค่ะ”

แต่ไรมาไม่เคยมีใครชี้แนะนางว่าควรจะวางตัวหรือปฏิบัติตนต่อผู้อื่นอย่างไรเฉกเช่นที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกระทำ วันนี้นางได้เรียนรู้ไปไม่น้อย

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ได้มีความคิดจะเดินทางร่วมกับพวกนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ต้องดูเจตนาของนายท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้า!”

ฮูหยินซ่งพยักหน้ารัวๆ แล้วเชื้อเชิญฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปเป็นแขกในเรือนของนางที่จิงเฉิงอย่างจริงใจ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับปาก

ทั้งสองคนแยกย้ายจากกันนานสักพักแล้ว แต่ใครจะรู้ว่านานกว่าพักใหญ่แล้วแต่เฉิงฉือกับซ่งหมิ่นกลับยังไม่ปรากฏตัวออกมา

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะลึงงัน ให้คนไปสอบถาม

ปรากฏว่าพอเฉิงฉือกับซ่งหมิ่นรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้วก็เข้าไปในห้องหนังสืออีกครั้ง ผ่านไปมากกว่าครึ่งชั่วยามแล้วก็ยังไม่ออกมา

ไม่ต้องกล่าวถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัว แม้แต่โจวเสาจิ่นก็ประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับท่านน้าฉือและท่านผู้เฒ่าซ่งหรือ”

ฮูหยินซ่งงงงัน

ซ่งเซินเอ่ยเสียงแจ๋วว่า “พี่สาวโจว ข้ารู้ว่าท่านปู่ทำอะไรอยู่ เขากับท่านอาฉือต้องกำลังคำนวณตัวเลขอยู่เป็นแน่ขอรับ! ท่านปู่บอกข้าว่า หากต้องการป้องกันอุทกภัย ก็ต้องรู้ระดับความเร็วของกระแสน้ำ อยากจะรู้ระดับความเร็วของกระแสน้ำ ก็ต้องคำนวณตัวเลขให้เป็น ท่านปู่ต้องเห็นว่าปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนเกือบจะกวาดคนลงไปด้วย ฉะนั้นจึงคิดคำนวณไปมา จะได้ให้ท่านพ่อป้องกันอุทกภัยได้ ง่าย ให้แม่น้ำเฉียนถังไม่เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงทุกปีอีกต่อไปขอรับ”

ทำให้แม่น้ำเฉียนถังไม่เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงทุกปีอีกต่อไป ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย ก่อนอื่นบรรดาบัณฑิตและกวีทั้งหลายใต้หล้าจะต้องสาปแช่งด่าผู้เฒ่าซ่งจนอยากจะเอาเลือดสุนัขราดรดลงบนศีรษะเขาเลยทีเดียว

คำพูดคำจาที่ไร้เดียงสาของซ่งเซินทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นฉีกยิ้มออกมา

ฮูหยินซ่งหน้าแดงเถือกพลางยื่นมือไปปิดปากซ่งเซินเอาไว้

ทว่าซ่งเซินกลับเบือนหน้าหนีแล้วหลบไปอยู่ข้างหลังโจวเสาจิ่น

……………………………

Related

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset