ตอนที่ 968: ที่อาณาจักรฉินหวง
ท่าทางของเซียนราชา 2 คนของตระกูลคีกูมืดมน ในความคิดเห็นของพวกเขา เจี้ยนเฉินคือเซียนราชาจริงจริง เขามีพลังที่จะสามารถเปิดประตูมิติเองได้ แต่เขายังมายืมประตูมิติของตระกูลคีกู นี่เป็นการยั่วยุแบบซึ่งซึ่งหน้า
ตระกูลคีกูเป็นตระกูลโบราณที่มีเซียนราชา 2 คนที่คอยคุ้มครองอยู่ ดังนั้นพวกเขาจะทนการดูถูกแบบนี้ได้อย่างไร ? คีนันและคีเป่ยโกรธและคำรามออกมาทันที “ท่านกำลังดูถูกพวกเราอย่างนั้นหรือ มาดูกันว่าท่านมีดีอะไรถึงได้มาสามารถดูถูกพวกเราเช่นนี้ได้”
เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วทันที เมื่อเขาได้ยินแบบนั้น เขามาที่ตระกูลคีกูเพื่อที่จะยืมประตูมิติของพวกเขาจริง ๆ เขาไม่คิดว่าเรื่องธรรมดาแบบนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด
พวกเขาไม่ให้เวลาเจี้ยนเฉินในการอธิบาย เซียนราชา 2 คนลอยขึ้นและพุ่งเข้ามาที่เจี้ยนเฉินในขณะที่พวกเขาเปล่งรัศมีไปด้วยคลื่นพลังงาน ดาบใหญ่ที่กว้างเท่าฝ่ามือได้ปรากฏขึ้นที่มือของพวกเขา พวกเขาเหวี่ยงดาบไปที่เจี้ยนเฉิน
มิติของทวีปเทียนหยวนนั้นไม่แข็งแรงเท่ากับพื้นที่ของอาณาจักรทะเล ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของดาบเหล่านี้ มิติก็แตกกระจายออกและเผยให้เห็นรอยปะสีดำ อย่างไรก็ตาม คีนันและคีเป่ยยังคงไม่ได้รับผลกระทบอะไร อาวุธเซียนในมือของเขาเปล่งแสงแสบตาออกมา และแทงผ่านมิติตรงไปยังที่เจี้ยนเฉิน
คีเป่ยและคีนันเป็นเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธที่สุดยอดบนทวีป แต่พวกเขาก็เทียบกับเจี้ยนเฉินไม่ได้ แค่ความแข็งแกร่งของร่างบรรพกาลของเจี้ยนเฉินที่เป็นขั้นที่ 3 ก็เพียงพอที่จะต่อต้านการโจมตีจากเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 3 โดยไม่ได้รับอันตรายอะไรเลยได้แล้ว
เจี้ยนเฉินยังคงเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้ แขนของเขากระตุกอย่างแรงแล้วยุทธภัณฑ์จักรพรรดิที่อยู่ในมือของเขาก็แทงออกไปเหมือนแสงสีดำ
ชิ้ง ชิ้ง !
ยุทธภัณฑ์จักรพรรดิปะทะเข้ากับอาวุธเซียนทั้งสองพร้อมเกิดเสียงใสออกมา อากาศสั่นไหวอย่างไม่หยุดในขณะที่พายุพลังงานที่รุนแรงก็พัดออกไป
ในตอนที่ยุทธภัณฑ์จักรพรรดิปะทะเข้ากับอาวุธของพวกนั้น คีนันและคีเป่ยรู้สึกถึงพลังที่ต้านทานไม่ได้ขึ้นมาทันที ไม่เพียงแต่มันจะสั่นแขนของเขาอย่างรุนแรงจนชาเท่านั้น แต่พลังที่รุนแรงยังส่งผ่านไปที่แขนและร่างกายของพวกเขา มันสั่นไหวเข้าไปถึงอวัยวะภายในของพวกเขาอย่างแรง และอากาศกลายเป็นหมอกเลือด
คีเป่ยและคีนันพุ่งถอยหลังกลับไปอย่างควบคุมไม่ได้ และตั้งตัวได้หลังจากที่กระเด็นไปไกลถึง 10 กิโลเมตร พวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจทันที พวกเขาทั้งคู่เข้าใจว่าถ้าการโจมตีของเจี้ยนเฉินรุนแรงมากกว่านี้อีกสักนิดล่ะก็ พวกเขาก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินก็ทำตัวสบาย เหมือนว่าเขายังไม่โจมตีออกมาด้วยกำลังทั้งหมด
“ท่านเป็นใครกัน ? ตระกูลของข้าไปทำให้ท่านโกรธได้อย่างไร ? ทำไมท่านต้องสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับพวกเราด้วย ? ” คีนันถามด้วยเสียงแหบแห้ง เขาเริ่มเคร่งเครียด
“ข้าต้องการเพียงที่จะยืมประตูมิติของพวกเจ้า ข้าไม่มีปัญหากับตระกูลของพวกเจ้า” เจี้ยนเฉินพูด
“หืม ท่านเป็นเซียนราชาและท่านก็แข็งแกร่งกว่าพวกเรา ท่านสามารถเปิดประตูมิติเองได้ แต่ท่านยังมาสร้างปัญหาและมาใช้ประตูมิติของตระกูลพวกเรา ท่านพยายามที่จะเยาะเย้ยตระกูลของพวกเราอย่างนั้นหรือ ? ” คีเป่ยพูดอย่างมืดมน
เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะต้องอธิบาย “ถ้าเจ้าให้ข้ายืมประตูมิติ ข้าจะจากไปทันที เจ้าจะให้ข้ายืมหรือไม่ ? ถ้าพวกเจ้าไม่ให้ ข้าก็จะใช้มันอยู่ดี” เสียงของเจี้ยนเฉินเย็นชา แต่มันเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างทรงพลัง มันเหมือนว่าเขาเห็นเซียนราชาทั้งสองไม่มีอะไรเลย
เจี้ยนเฉินในตอนนี้อยู่ในโลกที่แตกต่างจากเจี้ยนเฉินเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ในตอนนั้น เขาไม่มีพลังที่จะต่อต้านได้เลยเมื่อเขาต้องเจอกับองค์กรที่เหมือนตระกูลโบราณ แต่ในตอนนี้ เขาสามารถดูถูกหรือแม้กระทั่งข่มขู่พวกนั้นได้แล้ว
ในโลกนี้ มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ มันไม่มีหลักการอะไรที่จะแย้งกับเรื่องนี้ได้ ไม่มีแนวคิด ยุติธรรม หรือความแตกต่างใดใดระหว่างความถูกต้องกับความผิด มันขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้คู่ต่อสู้กลัว
ปฏิกิริยาของเซียนราชาทั้งสองเปลี่ยนไปจากเดิมหลายเท่า เมื่อเผชิญหน้ากับคำขู่ของเจี้ยนเฉิน พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ คู่ต่อสู้นั้นแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งจนกระทั่งมองข้ามพวกเขาทั้งสองไปได้หรือแม้แต่ทำลายตระกูลคีกูได้
“เอาล่ะ เมื่อท่านต้องการที่จะใช้ประตูมิติของพวกเรา โปรดตามพวกเรามา” เซียนราชาทั้งสองคนยอมแพ้ พวกเขาทำอะไรไม่ได้แม้ว่าคู่ต่อสู้นั้นจะพยายามยั่วยุพวกเขาหรืออยากที่จะใช้ประตูมิติจริง ๆ ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้มีเพียงแค่พาเจี้ยนเฉินไปที่ซึ่งประตูมิติอยู่ตามความต้องการของเจี้ยนเฉินเท่านั้น
เจี้ยนเฉินตามหลังเซียนราชาทั้งสองคนไปอย่างปกติภายใต้สายตาของผู้คนในตระกูลนับไม่ถ้วนในขณะที่เขาเดินไปที่ประตูมิติ หลังจากนั้น ประตูมิติก็ถูกเปิดโดยคีเป่ยและคีนัน
เมื่อเห็นว่าเจี้ยนเฉินนั้นตั้งใจจะใช้ประตูมิติจริงจริงและไม่ได้ต้องการมาหาเรื่องอะไร ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ คีเป่ยถามออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ข้าขอถามได้ไหมว่าท่านต้องการที่จะให้พวกเราใช้ประตูมิติไปที่ไหน ? “
“อาณาจักรฉินหวงของอาณาจักรใหญ่ทั้งแปด” เจี้ยนเฉินพูด
ประตูมิติล็อคเป้าไปที่อาณาจักรฉินหวงอย่างรวดเร็ว และเจี้ยนเฉินก็ก้าวผ่านเข้าไปในประตูมิติภายใต้สายตาของเซียนระดับราชาทั้งสองคน
เมื่อเจี้ยนเฉินจากไป พวกเขาทั้งสองก็ปิดประตูมิอย่างรวดเร็วและถอยหายใจอย่างโล่งใจในใจ พวกเขาได้ส่งคู่ต่อสู้ที่น่ารำคาญไปได้แล้วในที่สุด
เจี้ยนเฉินมาถึงที่อาณาจักรฉินหวงผ่านประตูมิติ หลังจากที่เขารู้ว่าเขาอยู่จุดไหนแล้ว เขาก็บินไปที่พระราชวังของอาณาจักรและหายไปในพริบตา เขารวดเร็วมาก
มันสงบมากในพระราชวัง และกลุ่มยามชั้นดีที่อยู่ในชุดเกราะก็เดินตรวจตราไปรอบ ๆ อย่างเป็นระเบียบ พระราชวังที่สงบนี้มีชื่อเสียงอย่างหาใดไม่ได้
ในตอนนี้เอง พลังแห่งการมีอยู่ที่มหาศาลก็ปรากฏขึ้นรอบ ๆ มันดูเหมือนจะมีผลกระทบทั้งโลกและทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปร เมฆบนท้องฟ้าปั่นป่วนเหมือนว่ามีมังกรใหญ่กำลังว่ายอยู่ด้านใน
พลังแห่งการมีอยู่นี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่มันเข้าใกล้พระราชวัง
ผู้พิทักษ์จักรพรรดิทั้งสี่ที่กำลังทำสมาธิอยู่ในพระราชวังฉินสวรรค์ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน ความตกใจฉายอยู่ในดวงตาของพวกเขา พวกเขาไม่ลังเลและออกไปจากวังและลอยขึ้นไปสูงในอากาศ พวกเขาจ้องอย่างเคร่งเครียดไปที่ทิศทางที่พลังแห่งการมีอยู่นั้นปรากฎขึ้น
ในเวลาเดียวกัน เซียนสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่ในวังและเมืองก็รู้สึกได้ถึงพลังแห่งการมีอยู่นี้เช่นเดียวกันและมันทำให้พวกเขาสั่นไปถึงก้นบึ้งของวิญญาณ พวกเขาตกตะลึงด้วยเช่นกัน พวกเขาหยุดอะไรก็ตามที่กำลังทำและมองไปที่อากาศที่ทิศทางที่พลังแห่งการมีอยู่นี้ปรากฎขึ้นมา
“นั่นคือเซียนผู้คุมกฎ เซียนผู้คุมกฎมาที่เมืองฉินหวง ดูพลังแห่งการมีอยู่นั้นสิ คนผู้นี้อาจจะแข็งแกร่งมากก็ได้”
“ข้าเดาว่านั่นต้องเป็นอย่างน้อยชั้นสวรรค์ที่ 5 แน่ มีแค่จอมยุทธระดับนั้นถึงทำให้ข้าสั่นได้ขนาดนี้”
“เซียนผู้คุมกฎนี้มาด้วยเจตนาร้าย ข้าเดาว่าเขาต้องมาสร้างปัญหาให้อาณาจักรแน่”
“เจ้าจะกลัวอะไร ? อาณาจักรมีผู้พิทักษ์จักรพรรดิทั้งสี่คอยปกป้องอยู่อยู่ ด้วยจำนวนของพวกเราที่เยอะกว่า ใครจะกล้ามายั่วยุพวกเรากัน ? พวกนั้นต้องกลับไปแบบเจ็บหนักแน่”
..
เซียนสวรรค์หลายคนในเมืองฉินหวงเริ่มที่จะพูดคุยกัน เพราะว่าพวกเขานั้นยังอ่อนแอ พวกเขาจึงคิดว่าคนที่เป็นเจ้าของพลังแห่งการมีอยู่นี้เป็นเพียงเซียนผู้คุมกฎ สำหรับพวกเขา เซียนผู้คุมกฎก็ปรากฎขึ้นมาเป็นครั้งคราวเท่านั้นที่ทวีปเทียนหยวน พวกเขาไม่แม้แต่จะคิดถึงเซียนราชาที่ทรงพลังมากกว่านั้น
นี่เป็นเพราะเซียนราชานั้นเป็นกลุ่มคนที่เป็นตำนานสำหรับพวกเขา พวกนี้จะไม่ปรากฏขึ้นมาแม้ในรอบหลายพันปีก็ตาม
ผู้พิทักษ์จักรพรรดิทั้งสี่ลอยอยู่กลางอากาศ ฉินหยุนหลงพูดออกมาเสียงทุ้ม “ช่างเป็นพลังแห่งการมีอยู่ที่มหาศาลอะไรแบบนี้ เจ้าของพลังแห่งการมีอยู่นี้ต้องเป็นอย่างน้อยเซียนราชาเป็นแน่”
“เขาเป็นใครกันนะ ? ทำไมเขาถึงมาที่อาณาจักรฉินหวงกัน ? พวกเราก็ไม่ได้ไปมีเรื่องกับจอมยุทธคนไหนมาหลายปีมากแล้ว” ผู้พิทักษ์จักรพรรดิข้าง ๆ ฉินหยุนหลงพูด เขาเคร่งเครียดมาก
ผู้พิทักษ์จักรพรรดิอีกทั้งสองคนก็เคร่งเครียดเช่นกัน เขาเต็มไปด้วยความไม่สบายใจภายใน
ร่างพุ่งมาแต่ไกลด้วยความเร็วดุจสายฟ้าภายใต้สายตาของผู้พิทักษ์จักรพรรดิทั้งสี่ เขามาถึงตรงหน้าคนทั้งสี่อย่างรวดเร็วและหยุด เขาคือเจี้ยนเฉิน
ผู้พิทักษ์จักรพรรดิทั้งสี่ป้องมือออกไป ในตอนที่พวกเขากำลังจะคำนับและทักทายคนคนนั้น พวกเขาก็เห็นร่างของเจี้ยนเฉิน พวกเขาทั้งหมดนิ่งอึ้งทันที ก่อนที่จะเต็มไปด้วยท่าทางเหลือเชื่อที่ท่วมท้น พวกเขาอ้าปากกว้างและตกตะลึง
“จะ จะ จะ เจี้ยนเฉิน ! ” ฉินหยุนหลงตะโกนออกมา เขาจ้องไปที่เจี้ยนเฉินอย่างเหลือเชื่อในขณะที่หัวใจของเขาเริ่มปั่นป่วน เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าของพลังแห่งการมีอยู่ที่ทรงพลังนี้จะเป็นเจี้ยนเฉินที่หายตัวไปหลายปีแล้ว
“ผู้พิทักษ์จักรพรรดิเจี้ยนเฉิน ทำไมถึงเป็นเจ้า…”
“เจี้ยนเฉิน เจ้ากลายเป็นเซียนราชาในระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่ปีแล้วงั้นหรือ..”
“เจี้ยนเฉิน เจ้าเป็นเซียนราชาแล้วใช่หรือไม่ตอนนี้…”
ผู้พิทักษ์จักรพรรดิอีกสามคนทั้งหมดตะโกนออกมาด้วยกัน พวกเขาทั้งหมดจ้องไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความเหลือเชื่อ พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังแห่งการมีอยู่ที่มหาศาลจากเจี้ยนเฉิน ในขณะที่พวกเขาเผชิญหน้ากับเจี้ยนเฉิน พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นที่ทำให้พวกเขาคิดถึงความพ่ายแพ้ในใจของพวกเขา
มีแค่เซียนราชาเท่านั้นที่สามารถทำให้พวกเขารู้สึกแบบนี้ได้ พวกเขายากที่จะเชื่อว่าเจี้ยนเฉินได้ตัดผ่านจากเซียนผู้คุมกฎไปเป็นเซียนราชาอย่างรวดเร็วขนาดนี้