บทที่ 7
ตระกูลกว๋อกงจิ่งหยาง
จากนั้นขอทานน้อยทั้งสองกับเจ้าลูกชิ้นก็ได้เข้าสู่การหลบหนีครั้งใหญ่ด้วยกัน
ในตรอกหนึ่ง หลินเทียนชื่อกับขอทานน้อยคนหนึ่งคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในเวลานี้ขอทานอีกคนนั้นใบหน้าแดงฉานและสติก็ดูเหมือนจะเบลอๆด้วย
“อี้อี้ฟื้นขึ้นมาก่อน อย่าเพิ่งทิ้งเสี่ยวอู่ไปนะ” ขอทานน้อยที่เห็นว่าพี่ชายต้องตกอยู่ในสภาพนี้เพราะปกป้องนาง ก็เริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว
“เจ้าชื่อเสี่ยวอู่ ส่วนเขาชื่ออี้อี้สินะ?” หลินเทียนชื่อเอาตัวพิงกับกำแพง แล้วถามเสี่ยวอู่อย่างสงสัย แล้วเขาก็หยิบยาออกมาจากกระเป๋าใบน้อยของเขา ยาเม็ดนี้แม้จะเล็กแต่ก็มีกลิ่นของสมุนไพรที่หอมสดชื่น
“ไม่ต้องกังวลนะ นี่คือยาเห็ดโลหิตที่ท่านแม่ให้มา เสี่ยวอี้จะต้องไม่เป็นอะไรแน่” เจ้าลูกชิ้นหยิบเอายาออกมาจากขวดแล้วส่งยาให้กับเสี่ยวอี้
ถ้าหลินซีเหยียนมาเห็นเหตุการณ์นี้เข้า นางคงจะตกใจเป็นแน่แท้ ที่เจ้าตัวแสบของนางจะดูแลคนอื่นเป็นด้วย?
หลังจากที่ได้ยินที่เจ้าลูกชิ้นพูด เสี่ยวอู่ก็ผงกหัวแล้วกล่าว “ขอบคุณมากนะที่ช่วยอี้อี้กับเสี่ยวอู่” แล้วนางก็นึกขึ้นได้ว่านางยังไม่รู้จักชื่อของเจ้าลูกชิ้นจึงได้ถามขึ้นมา “ไม่ทราบว่าเจ้าชื่ออะไรเหรอ?”
เจ้าลูกชิ้นก็ได้เสยผมขึ้นมา เนื่องจากผมของเขายุ่งเหยิงเพราะการหนีเมื่อสักครู่ แล้วกล่าว “ชื่อของข้าคือหลินเทียนชื่อ ที่แปลว่าของขวัญจากสวรรค์”
หลังจากที่เสี่ยวอี้ได้ทานยาเข้าไป เจ้าตัวน้อยทั้งสองก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แล้วจู่ๆสีหน้าหลินเทียนชื่อก็เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็ได้มองไปรอบๆแล้วก็พบกองฟาง “เข้าไปซ่อนอยู่ในนี้ มีคนกำลังมา”
แล้วคนคนนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าพวกเขา แล้วจากนั้นก็ตามมาด้วยเหล่าข้ารับใช้ที่ใบหน้าดุดัน
“ข้าเห็นพวกมันวิ่งมาทางนี้เมื่อครู่ แต่พวกมันหายไปไหนแล้ว?” ใบหน้าของผู้ที่เป็นหัวหน้านั้นดูบูดเบี้ยวมาก ถ้าเกิดเขาหาไม่พบ นายน้อยจะต้องโกรธมากแน่ๆ เมื่อถึงตอนนั้นเขาคงไม่รอดแน่ “รีบมองหาดูรอบๆเร็วเข้า ถ้าหาไม่พบพวกแกโดนดีแน่”
คนอื่นๆที่ได้รับคำสั่งก็ได้พากันแยกย้ายกันหา เฮอเหวินจางนั้นคือลูกชายคนโตของกว๋อกงจิ่งหยางที่จะได้สืบทอดตำแหน่งกว๋อกงในอนาคต พวกเขาจึงไม่อาจทำให้เขาโกรธได้!
ได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไป เจ้าลูกชิ้นกับเสี่ยวอู่และอี้อี้ก็ได้โผล่หัวออกมา
“รีบไปจากที่นี่กันเถอะ!” หลินเทียนชื่อก็ได้แบกอี้อี้ ถึงเขาจะตัวเล็กแต่ก็แข็งแรง
เสี่ยวอู่เช็ดน้ำตาแล้วผงกหัว “ตามข้ามา ข้ารู้จักวัดร้างวัดหนึ่งอยู่ ซึ่งน้อยคนนักจะรู้จัก”
ภายใต้การนำทางของเสี่ยวอู่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึง ในเวลานี้พวกเขาต่างก็หมดแรง จึงได้นอนอยู่ข้างๆเสี่ยวอี้และผล็อยหลับไป
“องค์ชาย มีคนแจ้งว่าพบเด็กน้อยคนหนึ่งที่ถนน ชิงอวิ๋นขอรับ จากการสอบถามคนผ่านไปผ่านมาแถวนั้นพบว่า เด็กน้อยคนนั้นได้ช่วยขอทานสองคนจากคนของเฮอเหวินจางทายาทกว๋อกงจิ่งหยาง แล้วพวกเขาก็หลบหนีจากการตามล่าจากคนของกว๋อกงขอรับ” อันเอ้อก็ได้มองไปที่องค์ชายเย่แล้วรายงานอย่างละเอียด
เฮอเหวินจาง? ที่เป็นคู่หมั้นของแม่นางหลินน่ะเหรอ? แล้วเขาก็ได้หันไปมองที่หลินซีเหยียนที่นั่งอยู่ข้างๆเขา และปรากฏแววตาที่เย็นชาออกมาจากดวงตาของนาง แล้วจากนั้นเขาก็ได้พูดขึ้นมา “ค้นหาต่อไป จะต้องพบเขาให้ได้ก่อน เฮอเหวินจาง
“รับทราบขอรับ องค์ชาย”
เฮอเหวินจางคือลูกชายของกว๋อกงจิ่งหยาง และพี่สาวคนโตของเขาก็เป็นสนมคนโปรดในพระราชวัง จากข้อมูลที่ได้รับมาจากอันอี้ ดูเหมือนหลินซีเหยียนจะหลงรักเฮอเหวินจางมาก หรือว่าเทียนเอ๋อจะเป็นลูกของเขา?
“ที่แม่นางหลินไม่รับรักเปิ่นหวาง หรือจะเป็นเพราะว่าแม่นางจะยังรักคุณชายเฮ่ออยู่?” เจียงหวายเย่จิบชาจากในแก้วชาของเขาแล้วพูดออกมาราวกับว่าหลินซีเหยียนไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“องค์ชายก็พูดเป็นเล่นไป การหมั้นของข้ากับ เฮอเหวินจางนั้นคงจะยกเลิกเร็วๆนี้อยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี เมื่อได้ยินว่าเจียงหวายเย่จับตัวนางคู่กับเจ้าสารเลวนั่น แต่เมื่อนางนึกถึงเรื่องที่เฮอเหวินจางกำลังหาตัวเทียนเอ๋อทั่วทั้งเมืองอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็รู้สึกไม่ค่อยดี ที่มุมปากของนางก็แสยะยิ้มออกมา ก่อนที่เฮอเหวินจางจะพบเทียนเอ๋อ นางจะต้องหาเทียนเอ๋อให้พบก่อนให้ได้ ดูเหมือนว่านางจะต้องกลับบ้านเสียแล้ว
“องค์ชายเย่ ข้าจะรักษาพิษและขาของท่านให้ แต่ข้ามีข้อแม้อย่างนึง” หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ ด้วยสายตาที่แนวแน่
เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัว “แม่นางโปรดบอกมา หากเป็นสิ่งที่เปิ่นหวางทำได้ เปิ่นหวางจะทำให้แน่นอน”
“ข้าอยากให้ท่านรับเทียนเอ๋อเป็นศิษย์ และช่วยสอนเรื่องกลศาสตร์และวิทยายุทธให้แก่เขาเจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนนึกถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์ของนางกล่าวกับนางก่อนที่จะลงจากเขามา ว่าองค์ชายเย่นั้นคือเซียนอัจฉริยะที่ลงมาเกิดในโลกนี้ เชี่ยวชาญศาสตร์ฉีเหมินตุ้นเจีย, เก่งในด้านกลศาสตร์, อีกทั้งยังเชี่ยวชาญกลยุทธ์แนวตั้งแนวนอน ซึ่งเมื่ออยู่ในสนามรบแล้ว ไม่ว่าจะพบปัญหาที่ยากลำบากขนาดไหน ก็จะสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ด้วยตัวคนเดียว
ครั้งหนึ่งนางเคยถามอาจารย์ว่าคนคนนั้นคือใครกันแน่ แต่ท่านอาจารย์กลับไม่ยอมบอกอะไรจึงได้พูดแบบตัดพ้อ “ท่านอาจารย์อย่ามาโกหกข้านะ ถึงแม้ข้าจะอาศัยอยู่แต่ในภูเขาลึก แต่ข้าก็รู้มานะว่าถึงแม้องค์ชายเย่นั้นจะเป็นเหมือนกับเซียน แต่ตอนนี้เขาก็อยู่ในช่วงขาลงแล้วและยังพิการอีกด้วย เดี๋ยวนี้ก็แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากใช้การไม่ได้แล้ว”
แต่แล้วท่านอาจารย์ก็ได้พูดประโยคหนึ่งออกมา และประโยคนั้นก็ได้ทำให้นางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงความไม่ธรรมดาขององค์ชายเย่ ด้วยประโยคที่ว่า “ผู้บัญชาการหอพันกลก็คือเขา”
เมื่อ 5 ปีก่อนหอพันกลได้รับผิดชอบสามงานได้แก่การลอบสังหาร, สืบหาข่าวและปรุงยา ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์ที่โดนรุมล้อมจากหลายๆฝ่าย แต่ทว่าด้วยเครื่องกลที่ทรงพลังทำให้หอพันกลอยู่รอดปลอดภัยมาได้
จนกระทั่งวันหนึ่งพระราชวังอู๋ฮัวที่เคยมีอำนาจมากเป็นอันดับหนึ่งก็ได้ถูกทำลายลงด้วยการรุมล้อมของหอพันกลทั่วทุกหนแห่ง จนกระทั่งประตูเมืองได้ถูกทำลาย ทุกคนจึงได้รู้ซึ้งถึงความทรงพลังอันน่ากลัว
สายตาของเจียงหวายเย่เย็นชาขึ้นมา คำพูดของ หลินซีเหยียนเมื่อสักครู่นั้นทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา ราวกับว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นล่วงรู้ความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
“แม่นางหลินประเมินเปิ่นหวางสูงไป ในเวลานี้เปิ่นหวางเป็นเพียงคนพิการเท่านั้น จะไปรับเทียนเอ๋อเป็นศิษย์ได้อย่างไร ยิ่งเรื่องกลศาสตร์อะไรนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลินซีเหยียนก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาที่ใส่แจ๋วของนางก็ดูเหมือนจะมองเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้มืดดำขึ้นมา “ดูเหมือนว่าแม่นางจะรู้จักเปิ่นหวางเป็นอย่างดีสินะ”
“เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ข้าต้องการจะหาคนที่แข็งแกร่งมาคอยหนุนหลังเทียนเอ๋อ” องค์ชายเย่ผู้ที่เป็นที่โปรดปรานของท่านอาจารย์นั้นคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
“แม่นางหลินรู้ความลับของเปิ่นหวาง เจ้าไม่กลัวว่าเปิ่นหวางจะฆ่าเจ้าบ้างเหรอ?” เจียงหวายเย่ได้ยิ้มอย่างหมางเมิน และตัวเขาก็ได้ปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมา
ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงจะกลัวจนเข่าอ่อนไปแล้ว แต่ หลินซีเหยียนนั้นก็ได้บิดปากแดงของนางราวกับไม่รู้สึกถึงมัน “องค์ชายเย่ ข้าน่ะสามารถรักษาพิษและขาของท่านได้ นอกจากข้าแล้วไม่มีใครที่สามารถรักษาท่านได้อีกแล้ว”
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา นางนั้นไม่ได้ทาเครื่องสำอางใดๆแต่นางกลับโดดเด่นยิ่งนัก ริมฝีปากแดงที่แสดงถึงความมั่นใจของนาง ซึ่งทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวหลินซีเหยียนมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ท่านต้องการสมุนไพรบางอย่างเพื่อกำจัดพิษของท่าน ซึ่งบางตัวนั้นยากที่จะหา แต่ก็ไม่ยากมากนักสำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของหอพันกล” หลินซีเหยียนได้ทำรายการมาให้แล้วส่งให้กับเจียงหวายเย่
เจียงหวายเย่ก็ได้รีบอ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ผงกหัว
หลินซีเหยียนก็ได้ยื่นแขนของนางออกมา แล้วก็มีผีเสื้อที่มีสีสันตัวใหญ่จากมือที่ขาวเนียนของนาง เจียงหวายเย่ก็ได้มองดูด้วยสายตาที่ดำมืด ปีกของผีเสื้อแกะรอยนั้นมีสีสันที่งดงามมากก็จริงแต่ก็มีพิษ ผู้ใดที่แตะต้องมันก็สามารถตายได้ภายในการหายใจแค่ 3 ครั้ง เขาก็ได้มองที่ไปที่ใบหน้าที่เป็นปกติของ หลินซีเหยียน ราวกับว่าที่อยู่ในมือของนางนั้นเป็นแค่ผีเสื้อธรรมดาๆ “ดูเหมือนว่าเปิ่นหวางคงจะต้องทำความรู้จักแม่นางหลินให้มากกว่านี้เสียแล้ว”
“ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปหาเทียนเอ๋อกลับมาพบกับท่านอาจารย์ของเขา” เมื่อนางพูดจบ หลินซีเหยียนก็ได้ตามผีเสื้อแกะรอยออกไปทันที