แน่นอนมันมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งที่ราชาคนหนึ่งจะเอาชนะราชาอีกคน ซังหนานเทียนพูดต่อ แต่นั่น…หากราชาไปยังดินแดนแห่งการร่วงหล่นและเรียนรู้ทักษะระดับสูงมา จากนั้นความแข็งแกร่งของเขาก็อาจจะก้าวข้ามราชาทั่วไป
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนก็พากันมองไปที่จางหยู
ดินแดนแห่งการร่วงหล่นเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อสุสานสวรรค์
หลายคนเคยได้ยินว่าจางหยูได้เข้าไปที่นั่นมาแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจึงเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจริง
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือไม่ใช่แค่จางหยูที่เข้าไป แต่ ซุนเมิ่งเองก็เข้าไปที่นั่นมาแล้ว
ที่สำคัญที่สุดคือจางหยูไม่ได้ทักษะอะไรมา ในทางกลับกันแล้วซุนเมิ่งต่างหากที่ได้ทักษะแยกร่างมา และจางหยูก็บังเอิญได้เรียนรู้ทักษะนั้นซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเขาอย่างมากจนแม้แต่ซุนเมิ่งยังรับเขาเป็นอาจารย์
เจ้าสำนักได้เข้าไปในสุสานแต่เขาไม่ได้อะไรกลับมาเพราะข้าไปกับเจ้าสำนักด้วย จ้านเทียนเกอพูดขึ้น แม้ว่าหลังจากนั้นจะแยกจากกันแต่เขาก็ไม่คิดว่าภายในเวลาที่น้อยนิดนั้น จางหยูจะเข้าใจแก่นทักษะระดับสูงได้
ใช่ ข้ายืนยันเรื่องนี้ได้ หลินเป่ยชานพูดขึ้นมา
เกลดันเองก็พูดขึ้น ที่เจ้าสำนักแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสุสานสวรรค์
ผู้คนเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พวกเขาไม่รู้เหตุผลที่จะอธิบายว่าทำไมจางหยูถึงได้แข็งแกร่งแบบนี้ได้
ตอนนั้นซุนเมิ่งก็ได้พูดขึ้นมา อันที่จริงพลังของเจ้าสำนักก็แข็งแกร่งมาโดยตลอด ถึงไม่ได้เข้าไปในสุสานแต่เขาก็แข็งแกร่งอยู่ดี นางพูดขึ้นมาช้าๆ ก่อนที่เจ้าสำนักจะเข้าสู่โกลาหล เขาก็เหนือกว่าราชาแห่งยุคมาตั้งแต่แรก
เป็นแบบนั้นได้ยังไง… ทุกคนพากันมองซุนเมิ่งด้วยสีหน้าตกตะลึง
จางหยูหัวเราะออกมา ความแข็งแกร่งของข้านั้นพวกเจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอก ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ไปหาเรื่องสำนักคังเฉียง ข้าก็ไม่คิดทำร้ายพวกเจ้า ข้าจะแข็งแกร่งรึไม่นั้นสำคัญตรงไหนรึ ?
เขาไม่ได้สนใจมุมมองของคนอื่น ยังไงซะเขาก็ขึ้นมาถึงระดับหมื่นเท่าและกลายเป็นราชาที่แกร่งกว่าซุนเมิ่งด้วยซ้ำ ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว มุมมองของคนนอกจะส่งผลอะไรต่อเขา ?
ก่อนหน้านี้ข้าได้ประมือกับซุนเมิ่ง ต้องขออภัยด้วยที่รบกวนทุกคน แต่ตอนนี้การประมือได้จบลงแล้ว พวกเจ้าแยกย้ายกันเถอะ จางหยูพูดขึ้น หากมีอะไรพวกเจ้าก็ไปยังสำนักคังเฉียงได้ ที่นั่นจะมีคนคอยพูดคุยกับพวกเจ้า ทุกคนพากันมองหน้ากันก่อนจะเรียกสติกลับมาได้
ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งจางหยู พวกเขาไม่กล้าปฏิเสธคำพูดของคนที่อาจจะเหนือกว่าราชา !
ไม่นานทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปเหลือแค่คนจากสำนักคังเฉียง, วิหารอวี๋ฮุ่นรวมถึงคนที่รู้จักจางหยู อย่างซังหนานเทียน, ซื่อซิน, หงอีและคนอื่นๆ
พวกเจ้าก็กลับไปเถอะ จางหยูมองไปที่หยวนเทียนจี, เย่ฟานและศิษย์ของเขารวมไปถึงจ้านเทียนเกอกับคนอื่นๆ เรื่องการสำรวจสุสานสวรรค์นั้น รอให้ข้ากลับไปก่อนแล้วจะพูดคุยรายละเอียดกับพวกเจ้าอีกที ประโยคท้ายนั้นชัดแล้วว่าพูดกับจ้านเทียนเกอและคนอื่นๆ
ได้ อาจารย์ !
ได้ เจ้าสำนัก !
ไม่นานคนของสำนักคังเฉียงและพวกจ้านเทียนเกอก็ได้พากันกลับไป
ผู้อาวุโสซังยังไม่กลับอีกรึ ? มีธุระอะไรหรือเปล่า? จางหยูถามขึ้นมา
ซังหนานเทียนสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดขึ้น จางหยู เจ้าบอกข้าได้รึไม่ว่าความแข็งแกร่งของเจ้านั้นเหนือกว่าระดับหมื่นจริงๆรึ ?
พวกที่ยังอยู่ต่างก็ตั้งใจฟังและมองไปที่จางหยู
มันสำคัญด้วยรึ ? จางหยูไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้
แน่นอนว่ามันสำคัญ ซังหนานเทียนพูดขึ้น เพราะนานมาแล้วระดับหมื่นแทนถึงขีดจำกัดของโกลาหล หากขีดจำกัดนี้ถูกทลายลงไป งั้นมันก็มีความหมายอย่างมากต่อโกลาหลแห่งนี้และลูกหลานในอนาคตของเรา! แม้ว่าเราไม่อาจจะไปถึงขั้นนั้นได้แต่ไม่นานก็ต้องมีคนทำได้…
จางหยูเงียบไปก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ ความแข็งแกร่งของข้ามากกว่าระดับหมื่นเท่าจริง เขายอมรับ
ทุกคนพากันใจสั่นและตื่นเต้นไปตาม
แต่สถานการณ์ของข้านั้นพิเศษ ไม่อาจจะตัดสินได้ด้วยเกณฑ์ทั่วไป น้ำเสียงของจางหยูเปลี่ยนไป อาจจะกล่าวได้ว่าความเข้าใจในการสร้างและการใช้การสร้างของข้านั้นแทบไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ระดับหมื่นเท่า แต่… จางหยูเงียบไปชั่วครู่และเผยสีหน้ามั่นใจออกมา จิตผู้สร้างของข้านั้นแกร่งกว่าราชาทั่วไปเป็นสองเท่า ! การทะลวงผ่านของข้าทำให้จิตข้าแกร่งขึ้นไปอีก แกร่งกว่าราชาทั่วไปอย่างมาก
ตั้งแต่ที่โกลาหลกำเนิดขึ้นมา มันมีราชากำเนิดขึ้นมาจำนวนมาก แต่จางหยูอาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด !
ข้ากลัวว่าจะทำให้ท่านผิดหวัง ! จางหยูพูดขึ้น ภายใต้สถานการณ์ปกตินั้น ระดับหมื่นเท่าคือขีดจำกัดของพลัง ถ้าอยากจะทะลวงขีดจำกัดนี้ อาศัยแค่ความเข้าใจอย่างเดียวน่ะไม่อาจจะทำได้ เราต้องหาทางอื่น เส้นทางนี้ข้ามาได้แค่ครึ่งทาง ข้าไม่มั่นใจว่ามันจะได้ผลรึไม่
อันที่จริงเขาน่ะมั่นใจแต่หากบอกความจริงกับทุกคน เขากลัวว่าทุกคนจะรับไม่ไหว
เขาไม่อยากทำตัวให้โดดเด่นแต่เขาที่คิดว่าตัวเองไม่โดดเด่นนั้นกลับเป็นเป้าสายตาของทุกคนในโกลาหล ไม่มีใครโดดเด่นไปกว่าเขาได้อีก
หากข้าสำเร็จในเส้นทางนี้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะแบ่งปันกับทุกคนแต่ตอนนี้ข้าไม่อาจจะพูดอะไรได้มาก จางหยูไม่อยากพูดถึงโลกตันเถียนให้มากนัก เขาไม่คิดว่าโลกตันเถียนจะเป็นของที่เลียนแบบกันได้เพราะการกำเนิดโลกตันเถียนนั้นเกิดขึ้นเพราะเรื่องบังเอิญมากมาย
ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็ยังคาใจแต่ก็ไม่กล้าจะถามออกไป
นี่คือสิ่งที่ข้าบอกได้ พวกเจ้ากลับไปกันได้แล้ว จางหยูโบกมือ ซังหนานเทียน , ซื่อซินและคนอื่นๆต่างมองหน้ากันก่อนที่สุดท้ายจะได้แยกย้ายออกไปจากที่นั่น
ซุนเมิ่งได้ไปหาซุนวู, ฟู่เฉิงและคนของวิหาร ก่อนจะพูดขึ้น ข้ายังมีเรื่องต้องคุยกับเจ้าสำนักจาง พวกเจ้ากลับไปกันก่อน
เรื่องอะไร? ซุนวูสงสัยขึ้นมาแต่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาไม่อาจจะถามออกมาได้ เขาได้แต่ต้องกลับไปกับทุกคน
ไม่นานก็เหลือแค่ซุนเมิ่ง, จางหยู, หงอีรวมถึงเสี่ยวเสียและเสี่ยวหลิงเอ๋อร์
ซุนเมิ่งบินไปที่ข้างกายจางหยูก่อนที่จะหยุด นางมองไปที่หงอี, เสี่ยวเสียและเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ ก่อนที่สุดท้ายจะจ้องไปที่หงอีแล้วพูดขึ้น ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าสำนักจาง เจ้าออกไปก่อนได้รึไม่ ?
ต่อหน้าซุนเมิ่งแล้ว หงอีด้อยกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกด้อยกว่า นางไม่มีความกล้าพอจะปฏิเสธ นางได้แต่แสดงสายตาไม่พอใจและทำสีหน้าน่าสงสารก่อนจะหันไปหาจางหยูเมื่อเห็นว่าจางหยูพยักหน้า นางก็ยิ่งปวดใจและกระวนกระวาย แต่นางไม่คิดจะยอมแพ้ในเรื่องจางหยู แม้ว่าตัวเองจะด้อยกว่าแต่นางก็ยังพูดขึ้นมาว่า ข้าจะไปรอในโลก
นางไม่คิดจะกลับไปที่โลกนภาใต้ แม้ว่านางจะต้องเป็นคู่ปรับกับราชาแต่นางก็ยังไม่คิดจะยอมรับความพ่ายแพ้ นางยังยืนกรานว่าความแข็งแกร่งไม่ใช่ทุกอย่าง นางมั่นใจในหน้าตาของนาง ในเรื่องนี้นางเหนือกว่าซุนเมิ่ง
เราต้องไปด้วยรึไม่ ? เสี่ยวเสียถามขึ้นมา
ต่อหน้าซุนเมิ่งที่แข็งแกร่งแล้ว เสี่ยวเสียถึงกับตัวสั่น
ซุนเมิ่งส่ายหน้าและพูดขึ้น เจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงของอาจารย์ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องไป
เมื่อหงอีออกไปแล้ว จางหยูก็มองไปที่ซุนเมิ่งแล้วพูดขึ้น พูดมาว่ามีเรื่องอะไร
ซุนเมิ่งได้ไล่ทุกคนไปเหลือแต่เขา, เสี่ยวเสียและเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ ไม่แปลกเลยที่จางหยูจะสงสัย
อาจารย์เคยได้ยินเรื่องโครงการโกลาหลรึไม่ ? ซุนเมิ่งแผ่จิตผู้สร้างออกมาปิดกั้นโดยรอบและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
��