ตอนที่ 699 สมรภูมิทำลายล้าง(ตอนต้น)
เมื่อเดินผ่านทัพพฤกษาอันเงียบสงบมาได้สักพักก็เลยผ่านมาถึงที่ตั้งของหน่วยแพทย์ผู้สังกัดหอโอสถบริเวณเต็มไปด้วยเสียงจอแจความครึกครื้นมีชีวิตชีวา ผู้คนมิได้คร่ำเครียดเหมือนกองกำลังอื่นที่ผ่านตา
ทัพนี้มิได้ตั้งขบวนแปรทัพมิเรียงแถวสวยงามเหมือนกองทัพอื่น พวกมันปลูกเพิงพักสร้างฐานที่มั่น วางกระโจมไว้เรียงรายหลายสิบหลังโดยถูกจัดวางเป็นรูปแบบวงกลมเว้นช่องว่างตรงกลางเอาไว้ แต่ละหลังมีเจ้าหน้าที่ผู้ให้การรักษาประจำการอยู่อย่างน้อยสิบคนขึ้นไป
ส่วนกลางที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างหาได้ว่างเปล่าไม่ มันมีกองไฟขนาดใหญ่ถูกจุดขึ้นและล้อมรอบไปด้วยผู้คนนับพันที่สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิดสะอาดเรียบร้อย มันพวกนี้มีหน้าที่อันสำคัญยิ่ง กำลังพลนับล้านของทั้งกองทัพล้วนฝากท้องให้แก่พวกมันเป็นผู้ดูแล พวกมันคือพ่อครัวนั่นเอง พ่อครัวแม่ครัวทั้งหลายกำลังปรุงอาหารกันอย่างจ้าละหวั่นวุ่นวายอย่างยิ่ง
การจะทำอาหารเลี้ยงคนร่วมล้าน…แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
เมื่อรวมๆแล้วส่วนนี้มีเจ้าหน้าที่เพียงหมื่นคนเห็นจะได้ซึ่งจำนวนนี้มีแพทย์และพ่อครัวเพียงสองพันไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ ส่วนจำนวนที่เหลือมิได้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานนี้สักเท่าไหร่ พวกมันเป็นกองกำลังทหารที่ตั้งแนวป้องกันโอบล้อมให้การปกป้องพวกมันเอาไว้หนึ่งชั้น ซึ่งไม่นับว่าเป็นจำนวนที่มากอันใดหากเทียบกับทัพอื่นเนื่องจากบริเวณนี้อยู่ชายขอบของป่าอสูรที่ซึ่งมีสัตว์อสูรอยู่น้อยนิด หรืออาจเรียกได้ว่าแทบไม่มีเลยแม้จะเป็นช่วงเวลาสงครามในตอนนี้ก็ตาม
แต่นั่นมิใช่จำนวนทั้งหมด สาเหตุที่ทำให้บริเวณนี้มีความคึกคักเป็นพิเศษเห็นทีจะมาจากเหล่าชายฉกรรจ์และชายหญิงวัยหนุ่มที่กำลังรอรับอาหาร การรักษา รวมถึงอีกไม่น้อยที่หน่วยแพทย์กำลังให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสภาพร่างกาย บางคนร่วมด้วยช่วยเหล่าแพทย์และเป็นกำลังให้แก่พ่อครัวแม่ครัวเป็นลูกมือช่วยปรุงหุงหาอาหารล้างผักปลาอีกแรงนึ่งด้วย
คนเหล่านี้ก็คือหน่วยย่อยที่พึ่งได้รับการช่วยเหลือออกมาจากป่าอสูรหมาดๆนั่นเอง กะจากสายตาสมาชิกหน่วยย่อยที่มารวมกันอยู่ในตอนนี้มีไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นชีวิตเป็นอย่างน้อยและนั่นเท่าครึ่งนึงของกองกำลังหน่วยย่อยทั้งหมด
“อะ จากที่ข้าดูแล้วพวกเจ้าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บร้ายแรง อย่างไรก็ตามอสูรบางชนิดที่เรายังมิเคยค้นพบซึ่งเท่ากับว่าความสามารถของมันเป็นปริศนาสำหรับพวกเราเช่นกัน บางสายพันธุ์อาจเป็นพาหะนำโรคร้ายหรืออาจมีพิษแฝงอยู่ในการโจมตี เพราะงั้นพวกเจ้าต้องไปตรวจร่างกายเอาไว้ก่อน” ผู้นำทางจากหอโอสถกล่าวแก่ผู้รอดชีวิตหน้าใหม่ทั้งหนึ่งร้อยนาย
“พวกเจ้าไปจุดตรวจที่สี่ ส่วนพวกเจ้าไปจุดตรวจที่แปด” มันแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มโดยไม่เจาะจงเป็นพิเศษ เพื่อแบ่งเบากำลังคนที่จะส่งไปให้หน่วยแพทย์ที่ประจำในจุดเป้าหมาย มันบอกกล่าวถึงกฎระเบียบและสิ่งที่พวกมันต้องกระทำต่อจากนี้อีกเล็กน้อย
“ขอบคุณท่านมาก” ผู้นำหน่วยสอดแนมค่อมหัวกล่าวอย่างเคารพก่อนที่มันจะนำพรรคพวกแยกตัวไปตามคำแนะนำของชายผู้นี้
ราวสามชั่วโมงผ่านไป
หน้ากระโจมแห่งหนึ่งที่มีป้ายกำกับอยู่บนทางเข้าว่าจุดตรวจที่สี่ ผู้นำหน่วยสอดแนมและผู้นำหน่วยลาดตระเวนผู้ร่วมทางบัดนี้กำลังจับกลุ่มสนทนาเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายที่พวกมันได้รับ เนื่องจากทั้งกลุ่มได้ยืนรอคิวเรียงแถวกันมาร่วมสามชั่วโมงแล้ว เรียกได้ว่าพวกมันยืนกันจนเมื่อยขาปวดเข่าจนตั้งนั่งคุยกันเลยทีเดียว
แม้จะจัดแบ่งกลุ่มเพื่อกระจายคนไปตามแต่ละจุดตามความเหมาะสมของบุคลากรทางการแพทย์ที่พวกมันมีแต่ทว่าด้วยจำนวนของสมาชิกหน่วยย่อยนั้นมีมากเกินกว่าที่หน่วยแพทย์จะรับมือในคราวเดียวไหว การตรวจร่างกายเองก็จัดเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนใช้เวลาอยู่ไม่น้อยทำให้มีผู้รอคิวเข้ารับการตรวจตกค้างอยู่จำนวนมาก ซึ่งผู้นำหน่วยสอดแนมและพรรคพวกก็เป็นหนึ่งในนั้น
“เฮ้อ นี่มันน่าเบื่อจริงๆ” สมาชิกรายหนึ่งกล่าว
จนตอนนี้บทสนทนาก็เริ่มฝืดเป็นบางช่วง พวกมันแทบจะไม่เหลือเรื่องอะไรให้ยกมาสนทนากันอีกหลังจากผ่านไปสามชั่วโมง
“เออใช่สิ เมื่อข้านึกถึงเรื่องนั้นทีไรก็อดเสียดายไม่ได้จริง” ผู้นำหน่วยลาดตระเวนกล่าวกับผู้นำหน่วยสอดแนม ตอนนี้พวกมันแทบจะเป็นเพื่อนกันไปเสียแล้ว
“ท่านหมายถึงอะไร?” ผู้นำหน่วยสอดแนมกล่าวถาม
“ก็ฝูงสัตว์อสูรในป่านั่นน่ะสิ เจ้าพวกอสูรร้ายที่ไม่มีทางขัดขืนพวกนั้น หากก่อนจากมาพวกเราได้ปลิดชีพพวกมันไปทั้งหมดคงจะดีไม่น้อย” มันตอบขยายความ
“นั่นสิ หากเราฆ่าพวกมันได้หมดนับว่าสามารถตัดกำลังของฝั่งตรงข้ามไปจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว”
“เราเสียโอกาศอันมีค่าไปเสียแล้ว” เหล่าสมาชิกต่างเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน
ผู้นำหน่วยสอดแนมที่เลือกทำตามคำแนะนำของผู้นำ
เองก็ยังนึกผิดหวังอยู่ในใจลึกๆเช่นเดียวกัน
มีเสียงโห่ร้องแสดงถึงความยินดีดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
“พวกเขาปราบสัตว์อสูรได้อีกแล้วงั้นรี” ผู้นำหน่วยลาดตระเวนกล่าว
“ใช่แล้ว กลุ่มทางปีกขวากำจัดสัตว์อสูรไปได้อีกหนึ่งตน” ผู้นำหน่วยสอดแนมกล่าวตอบ
“พวกเขาสุดยอดจริงๆ” สมาชิกหน่วยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความชื่นชมอ่าญ
แต่เพียงไม่นานนักบริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความผิดหวัง
ฮียยะ
บางครั้งก็มีเสียงที่แฝงไปด้วยความหวั่นใจเสียวสันหลังเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
เสียงลักษณะนี้มักเกิดขึ้นมาเป็นระยะจากหน่วยย่อยผู้รอดชีวิตกว่าห้าหมื่น พ่อครัว กระทั่งหน่วยแพทย์บางคนก็ส่งเสียงในทำนองเดียวกันเป็นครั้งคราว ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงเหล่านี้ก็มาจากบนผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ ที่มีนักรบปีศาจเกราะเหลืองบินว่อนนับแสนนาย
ทุกคราที่ผู้ใช้พลังแห่งวายุสามารถกำจัดสัตว์อสูรบนท้องนภาไปได้ ทั่วบริเวณมักจะตามมาด้วยเสียงแห่งความยินดีที่เป็นไปด้วยความสึก และคราวใดที่เป็นการสูญเสียของฝั่งตนก็มักจะตามมาด้วยน้ำเสียงแห่งความผิดหวังและเสียใจ ในบางครั้งเมื่อหนอนตัวมหึมาที่ลอยละลิวมาแต่ไกลพุ่งชนสร้างคลื่นกระแทกก็สร้างความหวาดเสียวให้แก่ผู้พบเห็น พวกมันอดเสียวสันหลังแทนนักรบเกราะเหลืองที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นตายมิได้
ในตอนที่หน่วยย่อยทั้งหลายต่างรอคอยคิวเข้าตรวจร่างกายอย่างเบื่อหน่ายนั้น การมองดูเหล่านักรบเกราะเหลืองปฏิบัติหน้าที่ ดูทิศทางการต่อสู้ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่พอจะทำให้แก้เบื่อได้บ้าง ผู้นำหน่วยสอดแนมและพรรคพวกเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่สนอกสนใจสมรภูมิบนท้องฟ้า
“หืม?” ตอนนั้นเองผู้นำหน่วยสอดแนมมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อมันเห็นการเปลี่ยนแปรของขบวนรบของทัพแห่งสายลม จากการเฝ้าสังเกตุมันพอจะวิเคาะห์แผนการรบของนักรบเกราะเหลืองผู้ใช้พลังแห่งวายุได้บ้าง พวกเขาใช้วิธีการสลับสับเปลี่ยนตัวกันทุกสามสิบถึงสี่สิบนาที ย้ายคนที่เหนื่อยล้าจากการกรศึกไปอยู่แนวหลังสนับสนุนแนวหน้า ส่วนผู้ที่อยู่แนวหลังถูกย้ายมาประจำแนวหน้าเพื่อเป็นหัวหอกของภารกิจ
ทุกอย่างมันก็ดูปกติดีเมื่อแนวหน้าทั้งผู้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรและผู้ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือร่อนขึ้นลงป่าอสูรเริ่มเกาะกลุ่มเพื่อตั้งแนวป้องกันเต็มรูปสำหรับการถอยร่น แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือแนวหลังที่ควรจะรุดหน้าขึ้นมากลับไม่เป็นเช่นนั้น พวกมันกระจายกำลังตั้งขบวนทัพขนาบข้างซ้ายขวา
ไม่นานนักผู้ที่เคยปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้าก็มาเข้าร่วมขบวนรบอุดช่องว่างตรงกลางอย่างลงตัว
“นั่นพวกเขากำลังจะทำอะไร?” สมาชิกรายหนึ่งกล่าวด้วยความสงสัย
“นั่น นั่นพวกเขาถอยแล้ว” สมาชิกอีกรายกล่าวขึ้นรายงานสิ่งที่ดวงตาทั้งสองของมันเห็น
ตอนนี้ทัพแห่งวายุทั้งหมดได้ถอยทัพอย่างช้าๆระมัดระวัง ควบคุมอากาศธาตุผลักดันและปัดป้องกีดขวางการเข้าประชิดของอสูรสัตว์ปีก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หน่วยย่อยทั้งหมดถูกช่วยเหลือมาแล้วงั้นหรือ?” ผู้นำหน่วยลาดตระเวนกล่าว
“ไม่ ดูนั่น” ผู้นำหน่วยสอดแนมชี้มือไปยังตำแหน่งหนึ่งบนผืนฟ้าป่าอสูร มันมีพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือหนึ่งถูกที่ลอยค้างอยู่บนผืนนภามาได้สักระยะหนึ่งแล้วและหากดูจากวิธีให้การช่วยเหลือของทหารเกราะเหลืองที่ใช้พลังของตนทำลายพลุไฟดังกล่าวเพื่อลบจุดสังเกตุและเป็นสัญญาณว่ากลุ่มที่จุดพลุลูกนี้ได้ถูกหมายตาที่จะให้ความช่วยเหลือโดยพวกมันแล้ว ฉะนั้นในเมื่อพลุสัญญาณดังกล่าวยังลอยเคว้งคว้างอยู่บนท้องนภาก็แสดงว่าผู้ที่เป็นคนจุดพลุสัญญาณลูกนั้นยังไม่ได้รับการช่วยเหลือและยังไม่มีทหารเกราะเหลืองกลุ่มใดตอบรับงานดังกล่าว