ศพ – ตอนที่ 342 สกุลเหลียงที่ชายฝั่ง

ตอนที่ 342 สกุลเหลียงที่ชายฝั่ง
พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้นผมก็ตะลึงไปพักหนึ่ง
สำนักที่ชายฝั่งยังมีตระกูลที่ฝึกเต๋าแบบนี้ด้วยเหรอหรือเหล่าเฟิงก็คือลูกที่พลัดพรากของตระกูลนี้เหรอ
พอคิดถึงตรงนี้ผมก็รีบถามอาจารย์ทันที“อาจารย์เล่าให้ฟังหน่อยซิครับว่าไอ้ตระกูลอะไรนั้นเป็นยังไง! ”
ผมทำหน้าอยากรู้อยากเห็นตอนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องลัทธิเต๋าเท่าไหร่
สำหรับรูปแบบอำนาจในปัจจุบันมันคลุมเครือมาก
พออาจารย์ได้ยินผมถามแบบนั้นกลับส่ายหน้าเล็กน้อยหลังจากนั้นก็พูดว่า“เรื่องนี้อาจารย์เองก็พูดไม่ค่อยถูกอาจารย์ก็ไม่ค่อยแน่ใจเคยได้ยินเขาพูดมาเท่านั้น”
พอพูดถึงตรงนี้อาจารย์ก็จุดกระบอกสูบยาคู่ใจของเขาสูดเข้าไปหนึ่งครั้งจากนั้นถึงพูดต่อ“ฉันได้ยินมาว่าที่ชายฝั่งเมืองฝูเจี้ยนมีตระกูลเหลียงอยู่ตระกูลหนึ่งตระกูลนี้ฝึกเต๋าบรรพบุรุษเคยไปตั้งรกรากที่ทะเลใต้ระยะหนึ่งต่อมาก็กลับมาอยู่ในประเทศและสำนักที่ชายฝั่งนั้นก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงเลยทีเดียว”
“เพราะตระกูลนี้เลี้ยงผีเก่งและช่วงก่อนหน้านี้ในประเทศเกิดนิยมเลี้ยงกุมารขึ้นมาบุคคลสำคัญหลายคนต่างเดินทางนับพันล้ำไปที่สิงคโปร์มาเลเซียประเทศไทยและที่อื่นๆเพื่อเรื่องนี้และก็เพราะเหตุนี้
ตระกูลเหลียงที่เลี้ยงผีอยู่แล้วและยังมาจากทะเลใต้ดังนั้นในช่วงหลายปีนั้นพวกเขาเลยเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นในประเทศ…..”
อาจารย์เริ่มเล่าเรื่องที่เขารู้ให้ผมฟังอย่างละเอียด
พอผมได้ยินเรื่องพวกนี้จากปากอาจารย์ผมก็เริ่มรู้จักกับตระกูลเหลียง
อาจารย์บอกว่าในลัทธิเต๋ตระกูลเหลียงค่อนข้างมีชื่อเสียงและยังทำเงินได้มหาศาลจากการเลี้ยงผีเพียงอย่างเดียว
และภายในตระกูลนี้ยังค่อนข้างซับซ้อนวิชาของตระกูลนี้ยังสืบทอดต่อให้กับคนในตระกูลเหลียงเท่านั้น
อาจารย์สงสัยว่าเฟิงเฉิวหานอาจเป็นลูกหลานของตระกูลเหลียง
บางที่อาจเป็นเพราะตอนเด็กๆเหล่าเฟิงตามคนในครอบครัวออกทะเลแล้วเกิดเรืออับปางมา
คนในครอบครัวของเหล่าเฟิงจึงคิดว่าเขาตายแล้วก็เลยไม่ตามหาเขาอีก
แต่เหล่าเฟิงดันได้ไฮโถวเปียวช่วยเอาไว้เจ้าหมอนั้นคงเห็นเขาอายุยังน้อยเหมาะแก่การนำมาทำผีเรือพอดี
ดังนั้นเหล่าเฟิงเลยต้องใช้ชีวิตอนาถอยู่ใต้ท้องเรือกว่าหลายสิบปีจนกระทั่งในปีที่สิบเขาก็ได้โอกาสหนีจากการกุมขังของไฮโถวเปียวได้ต่อมาก็ได้มาเจอกับท่านนักพรตต์และย้ายไปที่ต่างๆแล้วสุดท้ายก็มาอยู่ที่ตำบลชิงฉือของพวกเรา
ผมเงียบไปเล็กน้อยคิดว่าการเดาของอาจารย์ดูสมเหตุสมผลไม่แน่เหล่าเฟิงอาจเป็นลูกหลานตระกูลเหลียงอะไรนั่นจริงๆก็ได้
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆงั้นเหล่าเฟิงก็แค่ต้องไปพิสูจน์ตัวตนและก็จะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวตัวเองใหม่
ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงดีสุดๆไปเลยละผมไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่เด็กผมรู้ดีว่าความรู้สึกคิดถึงพ่อแม่มันเป็นยังไง
“ถ้าเป็นแบบนั้นงั้นเดี๋ยวผมจะไปบอกเหล่าเฟิงว่าถ้ามีโอกาสเราจะพาเขาไปที่นั้นด้วยกัน! ”ผมพูด
อาจารย์กลับสูดควันจากกระบอกสูบ“เรื่องนี้เอาไปพูดวันหลังเถอะ! จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าก็พูดยาก
แต่ในเมื่อหาวิธีแยกวิญญาณเจอแล้วงั้นพวกเราก็ต้องรอดูว่าจะหาแก่นหยินแดงได้อีกไหมให้เสี่ยวเฟิงได้กลับมามีชีวิตที่อิสระไม่ต้องผูกติดกับพี่ชายของ
เขาอีก! ”
ผมพยักหน้าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตอนนี้ดูเหมือนเราจะทำได้แค่นี้แล้ว
ผมและอาจารย์ยังคุยต่ออีกสองสามประโยคหลังจากนั้นก็มีลูกค้าเข้าร้านแล้วก็ลูกค้าอีกคนเราเลยหยุดคุยกันเท่านั้นแล้วเริ่มต้อนรับลูกค้า
สองสามวันต่อจากนั้นอาการของเหล่าเฟิงและเหล่าฉันก็ฟื้นตัวได้ดีมากและเร็วมาก
ส่วนพี่เฟิงเขาไม่ได้ออกมาอีกเลย
แต่พวกเรารู้ดีตอนนี้พี่เฟิงไม่ต้องให้เหล่าเฟิงใช้ยากระตุ้นออกมาแล้วถ้าเขาจะออกมาก็ออกมาได้เอง
แล้วก็ยังมีเจ้าแมวแก่และยัยแก่องค์กรตาผีก็หายไปเช่นกัน
การปรากฏตัวของพวกเขาเป็นเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น
แต่พวกเราก็ไม่ได้ชะล่าใจไม่ดูถูกและประมาทศัตรู
โดยเฉพาะเวลาออกจากตำบลชิงฉือนั่นเป็นสิ่งที่พวกเราต้องระวังเป็นพิเศษ
เพราะตำบลชิงฉือเป็นสถานที่พิเศษตอนนี้ยังมีปู่หลิ่วคอยระวังให้พวกเรามีคนเยอะเลยไม่ต้องกลัวขนาดนั้น
แต่พอออกจากตำบลชิงฉือออกจากระยะของถนนนรก
สาวกของเจ้าองค์กรชั่วนั่นก็จะไม่สนทั้งกฎหมายและศีลธรรมใครจะไปรู้ว่ามันจะลอบโจมตีเราจากข้างหลังหรือเปล่า
ช่วงสองสามวันนี้นอกจากทำงานแล้วพอมีเวลาว่างผมก็ฝึกวิชาและเดินลมปราณ
ด้วยพลังในร่างกายผมตอนนี้หากอยากจะก้าวไปอีกขั้นจะต้องขึ้นไปถึงขั้นเต้าชื่อให้ได้เร็วที่สุด
แต่การฝึกจะต้องใช้เวลาทำทุกอย่างให้เสร็จในคราวเดียวมันเป็นไปไม่ได้ผมเลยต้องพยายามต่อไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปอีกวันหนึ่งผมเก็บของปิดร้านกำลังจะเอนตัวนั่งเล่นเกมบนโซฟา
แต่ในตอนนั้นเองจู่ๆผมก็ได้รับข้อความหยางเฉวที่เป็นคนส่งมา
มันเป็นข้อความเสียงผมเลยกดฟังทันที“มหาลัยฉันปิดเทอมแล้วพรุ่งนี้นายมาช่วยฉันขนของที่มหาลัยหน่อยนะ! ”
ขนของเรื่องนี้หยางเจ่วบอกกับผมเมื่อหลายวันก่อนแล้วและผมก็ได้ตกลงไปแล้ว
ดังนั้นผมเลยตอบกลับทันที“ได้! เธอจะเดินทางกี่โมง! ”
ข้อความเพิ่งถูกส่งไปแป็บเดียวหยางเฉวก็ตอบกลับมา“รถไฟออกบ่ายสามนายมาตอนเที่ยงก็แล้วกัน! ”
ผมไม่ได้ลังเลอะไรมากนักตอบกลับเธอตรงๆ“ได้! ”
หลังจากพูดจบหยางเฉวยังถามผมเรื่องอาการของเหล่าเฟิงและเล่นเกมกับผมอีกสองตา
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นผมบอกอาจารย์ว่าจะออกไปข้างนอก
พออาจารย์ได้ยินว่าผมจะเข้าเมืองเขาก็เตือนผมซ้ำแล้วซ้ำอีกบอกให้ผมระวังตัวดีๆ
ผมออกไปคนเดียวต้องกลับบ้านก่อนฟ้ามืดจะได้ไม่ตกเป็นเป้าของศัตรู
ในเรื่องนี้ผมรู้ดีอยู่แล้วจึงพยักหน้าตอบรับแล้วหลังจากนั้นก็นั่งรถมาที่มหาลัยศิลปะชิงชานทันที
พอมาถึงหน้ามหาลัยก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี
ผมโทรศัพท์หาหยางเฉ่วบอกว่ามาถึงแล้ว
หยางเนิ่วได้ยินว่าผมมาถึงแล้วเลยดูดีใจเป็นพิเศษบอกให้ผมรอที่หน้ามหาลัยแป๊บหนึ่งเดี่ยวเธอจะออกมา
ผมวางโทรศัพท์แล้วรอเธออยู่ที่หน้ามหาลัย
แม้มหาลัยจะปิดภาคเรียนแล้วแต่ก็ยังมีนักศึกษาจำนวนมากที่ไม่ได้รีบกลับบ้านทันทีในเวลานี้ยังมีคนเดินเข้าออกหน้ามหาลัยกันอย่างว่าเล่น
เพราะเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะจึงมีผู้หญิงค่อนข้างเยอะและยังมีสาวสวยเยอะอีกด้วยแต่น่าเสียดายที่หน้านี้ไม่ได้เป็นหน้าร้อนแต่ละคนต่างใส่ชุดมิดชิดกันทั้งนั้น
ผ่านไปแป๊บเดียวผมก็เห็นหยางเนิ่วออกมา
ข้างๆเธอยังมีเพื่อนอีกคนผมเองก็รู้จักจูจูตัวเอกในเรื่องผีเด็กทารกเมื่อครั้งก่อน
เมื่อเห็นทั้งสองคนออกมาผมก็ฉีกยิ้มทักทายทันที
ไม่รอให้ผมได้พูดทักทายจุที่อยู่ข้างๆหยางเฉวก็โบกมือทักทายผมก่อน“ท่านนักพรตติง! ”
“สวัสดี! ”ผมหัวเราะฮ่าๆ
ทั้งสองคนรีบเดินมาข้างผมอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกันผมก็ได้ยินหยางเนิ่วพูดขึ้นมาว่า“อยากกินอะไร? ฉันเลี้ยงข้าวเที่ยงเอง! ”
หยางเนิ่วใช้น้ำเสียงขี้เล่นหน่อยท่าทางดูใจกว้างมาก
ผมเองก็ไม่เกรงใจ“เมื่อกี้ฉันเห็นข้างมีร้านชาบูแกะอยู่พวกเราไปกินชาบูแกะกันเถอะ! ”
“ดีซิ ดีซิ! ฉันได้ยินเพื่อนบอกว่าร้านนั้นทำอร่อยมากเลยนะ”จะพูดต่อ
หยางเฉวก็ไม่ได้ลังเลพยักหน้ารับทันที
ต่อจากนั้นพวกเราก็เดินมาที่ร้านชาบูเดิมทีพวกเราคิดแค่จะมาหาข้าวเที่ยงกินแค่นั้นแต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ทุกครั้งที่ออกมากินข้างนอกบ้านโดยเฉพาะเวลากินข้าวกับพวกผู้หญิงผมจะต้องดวงซวยทุกที่ซิ
เรายังกินชาบูไปไม่ถึงครึ่งก็มีคนเข้ามาหาเรื่องแล้ว….

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset