ตอนที่ 15 สถาบันศาสตร์นักรบและโรงตีเหล็กไร้เวลา
รถม้าวิ่งเข้าประตูเมืองที่กายเคยเห็นก่อนหน้านี้ กายยกผ้าม่านบริเวณหน้าต่างขึ้นเล็กน้อยมองด้านนอกรถม้าด้วยความตะตะลึง สถาปัตยกรรมในเมืองมันแปลกตาเป็นเป็นอย่างมาก
มันให้ความรู้สึกที่ลึกลับแต่ก็เรียบง่ายในเวลาเดียวกัน ตามตัวอาคารที่สร้างมาจากปูนมีกระถางดอกไม้แขวนวางไว้ประดับอย่างสวยงาม ส่วนถนนที่รถม้าวิ่งอยู่นี้ถูกปูด้วยหินเรียงรายยาวไปสุดสายตาสองข้างมีรางน้ำและท่อระบายน้ำที่เป็นระเบียบ
นอกจากรถม้าของเขาแล้วยังมีรถม้าทั้งแบบที่เขานั่งอยู่ หรือจะเป็นแบบรถม้าลากที่บรรทุกของเข้าออกสัญจรอยู่เป็นจำนวนมาก เกินกว่าจะนับ
รถม้าวิ่งผ่านถนนสายหลักตรงไปจนสุดก็ข้ามสะพานและเลี้ยวอีกสองสามครั้งก็มาถึงสถานที่ที่ซึ่งดูสงบกว่าก่อนนี้มากนัก สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ปลูกไว้อย่างสวยงาม และในที่สุดรถม้าก็มาถึงแนวกำแพงขนาดใหญ่
บริเวณในกำแพงไม่มีบ้านเรือน เพราะสถานที่นี้ก็คือ สถาบันศาสตร์นักรบ แห่งนครดาราฟ้า สถานที่ซึ่งผลิตยอดนักรบให้กับนครมาหลายร้อยปี ว่ากันว่าแม้แต่ผู้อาวุโสกว่าครึ่งที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบันในสภาหกอาวุโสก็จบมาจากสถาบันศาสตร์นักรบ
ตัวอาคารสถาบันศาสตร์นักรบเป็นเหมือนปราสาทขนาดใหญ่ มีห้องเรียนหลายร้อยห้องเรียงรายกันอยู่ในทุกส่วนของตัวอาคาร อีกทั้งยังมีส่วนแยกเป็นที่พักของศิษย์ของสถาบันศาสตร์นักรบ
ตรงกลางของปราสาทมีสนามประลองขนาดใหญ่อยู่ ซึ่งมันถูกออกแบบให้ใช้งานได้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งเพราะด้วยความที่สถาบันศาสตร์นักรบเกี่ยวกับการต่อสู้ จึงต้องมีสนามประลองและสนามประลองแห่งนี้ถูกเรียกว่าสนามประลองกลาง
ซึ่งในตอนนี้หลังจากที่กายและทั้งสามลงจากรถม้าที่จอดส่งถึงหน้าประตูกลางปราสาทก็ถูกพาตัวมาที่นี่ในทันที
นอกจากพวกเขาทั้งสี่แล้วยังมีเด็กใหม่ในรุ่นนี้อยู่อีกพันคน กายมองสำรวจทุกคนเพื่อหาผู้เล่นคนอื่น ๆ แต่ดูแล้วเหมือนจะไม่มีผู้เล่นคนอื่น ๆ อีก หรือบางที่พวกเขาเหล่านั้นก็อาจจะเลือกปกปิดตัวตนแบบกายและแสดงท่าทางเหมือน NPC รอบ ๆ ก็เป็นไปได้
เขาเลิกสนเรื่องนี้ไปก่อนและหันมาใส่ใจเรื่องตรงหน้า นั้นก็คือพิธีต้อนรับศิษย์ใหม่
“พิธีไม่ได้มีอะไรมาก แค่หยิบเอกสารยืนยันตัวตนให้ทางอาจารย์สาวตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวตน จ่ายเงิน จากรับชุดของตัวเอง ไม่มีการทดสอบเข้าคนที่เข้าได้รับจากการเสนอชื่อเท่านั้น ไม่มีอะไรยุ่งยากเดี๋ยวก่อน จ่ายเงิน?” กายยืนนิ่งไปทันที เพราะไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าต้องจ่ายเงินเข้าเรียนด้วย
เขารีบหันไปหามีอาเพื่อที่จะถามเรื่องเงิน? แต่เธอก็เดินเข้าไปที่โต๊ะรายงานตัวก่อนแล้ว กายจึงได้แต่ยกมือค้างนิ่งมองเธอ
กายมองดูมีอาหยิบเหรียญทองออกมาจากถุงเทให้อาจารย์สาวตรวจสอบ
“ค่าเข้าเรียน 300 เหรียญทอง ครบถ้วนรับชุดของสถาบันศาสตร์นักรบและกุญแจห้องสำหรับศิษย์ที่ไม่มีที่พักในนครดาราฟ้าได้ทางนั้น แน่นอนว่าเป็นเพียงห้องมาตรฐานเท่านั้น ถ้าอยากได้ที่ดีกว่า เช่นห้องระดับกลางและสูงต้องเสียเหรียญทอง”
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอห้องระดับกลาง” มีอาบอกด้วยท่าทีนอบน้อม
“50 เหรียญทองต่อเดือน”
มีอาหยิบเหรียญทองออกมาเพิ่มส่งให้อาจารย์สาวจากนั้นก็รับกุญแจห้องพักและของส่วนตัวและเดินออกไปในทันที
วิลเลียมและลูคัสก็เลือกห้องระดับกลางเช่นกัน ซึ่งก็เหมือนกับลูกศิษย์คนอื่น ๆ ของสถาบันศาสตร์นักรบ เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่ได้ลำบากเรื่องเงินมากนักก็แค่เดือนละ 50 เหรียญทองเท่านั้น
กายเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะของอาจารย์สาวด้วยท่าทีนิ่ง ๆ
“เจ้าคงไม่ใช่เด็กหนุ่มจากตระกูลเจ้าพนักงานใช่ไหม” อาจารย์สาวมองกายตั้งแต่หัวจรดเท้าถามขึ้นมา
“ท่านรู้ได้ยังไง” กายมองเธออาจารย์สาวที่เต็มไปด้วยความเป็นมิตร
“ก็ดูจากการแต่งตัวของเจ้า สายตาที่มองตอนคนอื่น ๆ จ่ายเงินด้วยความกังวล และท่าทางการวางตัว ไหนรองเอาหนังสือยืนยันตัวตนมาดูหน่อยว่ากองทัพไหนใช้สิทธิ์เสนอชื่อเจ้ามาที่นี่” อาจารย์สาวสวยยื่นมือมาเป็นเชิงบอกให้กายส่งหนังสือยืนยันตัวตนมา
“เออ…นี่ครับหนังสือยืนยันตัวตน” กายส่งหนังสือยืนยันตัวตนให้อาจารย์สาวผู้ที่อ่านที่มาของเขาซะขาด
“กองพลที่ 8 กองทัพรักษานคร ดูท่าท่านโจเซฟจะเป็นผู้แนะนำเจ้ามาสินะ เอาแหละ เจ้ามาในนามของกองพลที่ 8 กองทัพรักษานครดังนั้นตอนเข้าเรียนได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน ส่วนห้องพักก็เป็นห้องมาตรฐาน เจ้าคงไม่ได้จะขอห้องระดับกลางใช่ไหม” อาจารย์สาวถามกายด้วยท่าทีเล่น ๆ
“ข้าขอได้เหรอ”
“แน่นอน 50 เหรียญทอง” เธอตอบแบบยิ้ม ๆ
“ถ้างั้นข้าขอห้องแบบมาตรฐานก็แล้วกัน”
“ได้งั้นเจ้าไปทางนั้นรับชุดของเจ้าและก็กุญแจได้เลย อ้อจริงสิ เจ้ามาในนามของกองพลที่ 8 ฐานะช่างโลหะถ้างั้นก็อย่าลืมไปที่โรงตีเหล็กด้วย ที่นั่นเจ้าต้องทำงานตามที่ระบุไว้ให้เสร็จ นี่เป็นเงื่อนไขในการได้สิทธิมาเรียนที่สถาบันศาสตร์นักรบ ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม”
“ข้าขอถามเรื่องอื่น ๆ อีกได้ไหม ค่าเรียนต้องจ่ายยังไงข้าไม่ทราบและก็เรื่องการเรียน”
“ได้ข้าจะบอกให้เจ้าฟังสักหน่อยก็แล้วกัน เพราะเห็นว่าเจ้าเป็นคนที่กองทัพแนะนำมา คงจะยังไม่มีใครบอกเจ้าเรื่องการเรียนของสถาบันศาสตร์นักรบ”
กายยกมือเกาหัวด้วยความอายเล็กน้อย เขาเหมือนพวกบ้านนอกเข้ากรุงยังไม่รู้เรื่องอะไรของที่นี่เลยแม้แต่น้อย อาจารย์สาวสวยเริ่มบอกเรื่องการเรียนของสถาบันให้กายฟัง
“ทุกสิ้นเดือนเจ้าต้องชำระเหรียญทองจำนวน 150 เหรียญเป็นค่าเทอม และในแต่ละเดือนจะมีการสอบวัดผล ใครสอบไม่ผ่านจะถูกไล่ออกจากสถาบันศาสตร์นักรบทันที ซึ่งเด็กใหม่กว่าครึ่งจะถูกไล่ออกในเดือนแรก”
“ที่สถาบันศาสตร์นักรบแบ่งออกเป็นสามชั้นปี ตอนนี้เจ้าอยู่ปี 1 เท่านั้น ต้องเรียน 3 ปีถึงจบจากที่นี่และสามารถเข้ารับตำแหน่งในกองทัพได้ หรือจะเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ได้ แต่แน่นอนว่าตำแหน่งก็ขึ้นอยู่กับผลการประเมินของทางสถาบันศาสตร์นักรบ ถ้าพวกเจ้าเก่งจริงพวกทางสถาบันศาสตร์นักรบสามารถรับรองให้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้ากองพลได้เลยก็ยังได้ แต่แน่นอนมันไม่ง่ายอย่างนั้นแน่ ๆ” อาจารย์สาวอธิบาย
“แล้วพวกศิลปะการต่อสู้ข้าจะได้เรียนใช่ไหม” กายถามเพราะนี่คือสิ่งที่เขารออยู่
“ได้สิ แต่ว่ามันไม่ฟรี ส่วนการสอนฟรีตามตารางเจ้าต้องเข้าเรียนสัปดาห์ละสามวันตามตารางสอน พอพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าได้สิทธิลงเรียนฟรี 1 ศิลปะการต่อสู้ในฐานะที่กองพลที่ 8 แนะนำมา”
……
กายเดินออกมาพร้อมกับชุดและกุญแจห้องในใจเอาแต่ด่า “สถาบันศาสตร์นักรบว่าพวกหน้าเลือด เพราะทุกอย่างในนี้ไม่ฟรีเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ศิลปะการต่อสู้ก็ต้องเสียเงินเรียนอีก ทั้งค่าเทอมก็ยังต้องจ่าย งานก็ต้องทำแล้วแบบนี้จะรอดจากที่นี่ไหมเนี่ย”
กายเอามือขยี้หัวตัวเองเพราะไม่รู้จะทำยังไง ในตัวเขาแม้แต่สักทองแดงเดียวก็ไม่มี นี่ต่อเดือนต้องมาจ่ายหลายร้อยเหรียญทองอีก
โชคดีที่เดือนแรกกองทัพจ่ายให้ก่อน พร้อมกับหนึ่งศิลปะการต่อสู้ เป็นสิทธิ์ที่กองทัพเสนอให้ ไม่อย่างนั้นกายคงเดินออกไปจากสถาบันบ้าบอแห่งนี้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
กายเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเองตามที่ระบุไวในป้ายแขวนกุญแจ ที่พักของเขาเป็นแค่แบบมาตรฐานเท่านั้น มี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ในห้องนอนมีเตียงนอนนุ่ม ๆ 1 เตียง ตู้เสื้อผ้า หีบเก็บของและโต๊ะเก้าอีก 1 ชุดอีกหนึ่ง บนโต๊ะมีตะเกียงแก๊สวางอยู่
กายวางของตัวเองลงบนพื้นนั่งลงบนเตียงนิ่ม ๆ มองไปรอบ ๆ ห้อง “ถึงจะดูเล็กไปหน่อย แต่ก็ถือว่าดูดีมาก”
พึบ!
กายเลิกผ้าม่านออกเปิดหน้าต่างกระจกรับแสงแดดยามเย็นที่สองเข้ามาภายในห้องไล่ความชื่นและกลิ่นอับออกไปจากห้องหยิบขนมปังดำที่แอบจิกมาจากรถม้าลากออกมากินประทั้งความหิวไปก่อนจากนั้นก็เก็บของที่ขนมาในห่อผ้าเก่า ๆ เข้าที่เข้าทางตามความเหมาะสม
กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยช่วงเวลาของวันนี้ก็หมดลงกอยทอดชุดนอนแช่น้ำที่ไปตักขึ้นมาจากข้างนอก จนดึงเขาจึงเข้านอน
……
เช้าวันต่อมาในเกม
กายจัดการเปลี่ยนชุดเป็นของสถาบันศาสตร์นักรบ ชุดของชั้นปี 1 เป็นสีเทาปักมีสัญญาลักษณ์ดาวหกแฉกที่แทนดวงดาวและหมู่เมฆที่แทนท้องฟ้าของนครดาราฟ้า ตอนนี้เขาเป็นนักเรียนใหม่ของที่นี่แล้ว
ตารางเรียนใน 1 สัปดาห์ มี 3 วันที่เข้าต้องเรียนปกติ ส่วนวันที่เหลือเป็นการศึกษาด้วยตัวเอง
แต่เขายังมีอีกหน้าที่หนึ่งนั้นก็คือต้องไปที่โรงตีเหล็ก เพราะเขาเข้าเรียนในฐานะเป็นช่างโลหะของกองทัพ
หลังจากไปตามสืบมาเล็กน้อยกายก็พอรู้ถึงสถานะของช่างโลหะในโลกราชันมาบ้างว่าพวกเขาเป็นที่เคารพมาก เพราะโลกนี้คือโลกของสงคราม และสิ่งที่ต้องการที่สุดในสงครามนอกจากอาหารและยาแล้วก็คืออาวุธ ว่ากันว่าช่างโลหะก็เหมือนผู้สร้าง ไม่ว่าจะอยู่ไหนก็มีแต่คนต้องการตัว
ช่างโลหะแบ่งออกเป็นหลายระดับด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ ช่างโลหะฝึกหัด ช่างโลหะทั่วไป อาจารย์ช่างโลหะ ปรมาจารย์ช่างโลหะ เท่าที่มีให้เห็นกันทั่วไป โดยจะวัดระดับได้จากอาวุธที่ช่างโลหะสร้างขึ้นมา
แต่แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ได้ตายตัวอย่างเช่นถ้ามา ถ้าบางครั้งตีอาวุธตามแบบแปลนและมีช่างในระดับเดียวกันสักสองสามคนช่วยก็จะทำอาวุธที่ทรงพลังเกิดกว่าระดับของตัวเองออกมาได้
ดังนั้นส่วนหนึ่งในการได้รับการเรียกขานก็มาจากชื่อเสียงและการยอมรับของผู้คนด้วย
ถ้านับระดับของกายตอนนี้เขาอยู่ที่ระดับ ช่างโลหะฝึกหัดหรืออาจจะต่ำกว่านั้นไม่มาก
ที่นครดาราฟ้ามีปรมาจารย์ช่างโลหะอยู่คนสามคน และหนึ่งในสามคนเป็นอาจารย์กิตติมศักดิ์ของสถาบันศาสตร์นักรบ ชื่อของปรมาจารย์ช่างโลหะผู้นี้คือ มาเทโอ ราบีคัส
แต่แน่นอนเขาไม่ได้มาพบกับคนผู้นี้ ที่เขาจะไปพบในวันนี้คืออาจารย์ช่างโลหะจอห์น คาธาเรีย
กายเดินมายังโรงตีเหล็กซึ่งส่วนที่แยกตัวออกมาจากอาคารสถาบันศาสตร์นักรบ เขายึดยืนอยู่ด้านหน้าสิ่งก่อสร้างที่เหมือนกับกระดองเต่าขนาดยักษ์ ด้านบนมีปล่องไฟอยู่นับร้อยส่งควันและความร้อนออกมาเป็นระยะอยู่ตลอดเวลา
ด้านหน้ามีป้ายโลหะขนาดใหญ่กว่า 10 เมตรสลักตัวอักษรที่เขียนว่า “โรงตีเหล็กไร้เวลา”
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตั้งชื่อนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับชื่อแปลก ๆ กายก้าวเท้าไปด้านหน้าพักประตูเดินเข้าไปด้านใน ทันใดนั้นความร้อนก็ปะทะเข้าหน้ากายอย่างรุนแรงความรู้สึกแรกที่ได้คือ เขาอยากถอยหลังเดินกลับเดินออกไปทันที แต่ก็ได้แต่คิด