ตอนที่ 46 มาจากข้างหลัง
กายเดินเข้าไปใต้ผาหินได้อย่างสบาย เขาไม่ต้องก้มหัวแม้แต่น้อย เพราะผานี่สูงประมาณ 1.9 เมตรทำให้กายที่สูง 1.85 เมตรลอดผ่านเข้าไปได้ เขาวางกระเป๋าเป้หนังด้านหลังลง ก่อนที่จะปลดดาบกระบองเพชรว่างพิงเข้าหากำแพง
หลังจากนั้นก็เอื้อมมือไปทางด้านหลังของตัวเอง ดึงอีกหนึ่งในอาวุธอีกอันที่ซื้อจากร้านต้นไม้เงินออกมา มันคือ ค้อนขวาน หรือหลายคนอาจจะเรียกขวานค้อนก็ได้วางไว้ด้านข้างกัน
“ฟู่…ค่อยยังชั่ว ไม่คิดว่าพอแบกมันมาด้วยแล้วจะหนักขนาดนี้ ข้าควรรีบยกระดับเป็นนักรบฝึกหัดขั้นสองโดยด่วน” กายนั่งพักลงขณะที่มองดูฝนที่ตกอยู่ด้านนอก อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกขนลุกเพราะความเย็นของอากาศ ตอนนี้ยังไม่ค่ำ ถ้าตามเวลาแล้วกายคิดว่าน่าจะประมาณสามถึงสี่โมงเย็น แต่เพราะเมฆฝนที่ตกลงมาและการอยู่ในป่าแบบนี้มันจึงดูมืดกว่าปกติ
“ควรจะก่อไฟก่อนแล้วกัน” กายมองหาเชื้อเพลิงรอบ ๆ โชคยังดีที่ตรงนี้เป็นผาทำให้พอมีใบไม้หรือเศษไม้แห้งลมก็จะพัดมาติดที่นี่ มันยังมีกิ่งไว้พอให้เขาก่อกองไฟสักกองได้ไปจนถึงเช้า
กายเริ่มจากเอาเศษไม้รองด้านล่างก่อน เพราะที่พื้นนั้น แม้จะไม่โดนฝนแต่มันก็ยังชื้นจากนั้นก็ตามด้วยไม้เล็ก ๆ และใบไม้แห้ง กายล้วงไปหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋า มันคือไม้ขีดเหล็ก ตัวไม้ขีดเหล็กเหมือนกับแท่งทรงกระบอกขนาดประมาณนิ้วชี้ของเขา ที่ฝาปิดมันยังมีห่วงเหล็กไว้สำหรับติดกับสร้อยหรือสายกระเป๋าได้ พอเปิดฝาออกมาก็จะมีแท่งที่เหมือนเหล็กชุบน้ำมันเชื่อมติดรวมกับฝ่าไว้
เมื่อดึงกายเอาแท่งนั้นไปขูดกับด้านข้างของแท่งกระบอกของมันจนเกิดการเสียดสีและไฟก็ติดที่ปลายเหล็ก มันช่างเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจของนครดาราฟ้าจริง ๆ กายรู้สึกชื่นชมคนที่สร้างจากใจ
หลังจากจุดไปแล้วเขาก็หาไม้ใหญ่ ๆ หน่อยมาใส่ด้านบน
เปลวไฟเริ่มลุกแรงขึ้น ควันลอยออกมามากขึ้น แต่กายไม่กลัวแม้แต่น้อย ๆ ว่าควันพวกนี้จะเป็นตัวบอกตำแหน่ง เพราะฝนที่ตกหนักทำให้ควันพอลอยออกไปจากใต้ผาก็หายไปเพราะโดนน้ำฝน
กายเอาหม้อขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าก่อน
อันที่จริงเขาเอาอาหารอย่างเนื้อแห้งและขนมปังดำที่ปาหัวหมาแตกมาด้วย มันคือตัวเลือกหลัก ๆ ในอาหารที่ใช้ในการเดินทาง แต่เพราะประสบการณ์ในช่วงเดินทางมาตอนนั้นทำให้กายเลือกเอาหม้อมาด้วย
เขายื่นหม้อใบเท่าฝ่ามือออกไปลองน้ำฝน น้ำฝนหยดลงในหม้อใช้เวลาไม่นานก็ได้น้ำฝนจนเต็ม
ก่อนจะเอามันไปวางข้างกองไฟ เขาหยิบเนื้อแห้งที่เหนี่ยวยังกับแผ่นยางออกมา จากนั้นก็ใช้ดาบกระบองเพชรหันชิ้นเล็ก ๆ ก่อนจะใส่ลงไปในหม้อน้ำที่กำลังเดือด
กายไม่ปรุงอะไรเพิ่ม ด้วยเพราะตัวเนื้อแห้งมีรสชาติอยู่แล้ว
หลังจากรอน้ำซุปเดือดส่งกลิ่นหอม กายก็ฉีกขนมปังดำจุ่มลงไปและกินอย่างสบายอารมณ์
“การทดสอบดูเหมือนจะไม่ได้ยากอย่างที่คิด” กายกินไปก็พึมพำออกมา ถ้ามีนักเรียนคนอื่นมาได้ยินเข้ากายคงโดนคนพวกนั้นแทงด้วยดาบสักร้อยครั้งไปแล้ว
ผ่านไปสองชั่วโมง เนื่องจากกายไม่มีอะไรทำ เขาจึงคิดจะฝึกใช้ค้อนขวานให้คล่อง แต่มันก็แค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนนั้นก็คือเขาต้องการใช้ความสามารถทุบในการยกระดับตัวเองไปที่นักรบฝึกหัดขั้น 2 ซึ่งต้องมีหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ที่ตัวเองฝึกไปจนถึงขั้น 2
“ศิลปะการต่อสู้ รูปแบบศาสตราวุธ ทุบ 1/2 (35%) ”
กายฝึกใช้ค้อนขวานไปด้วยขณะ ที่ทุบไปที่ผาหิน อย่างน้อยพอได้ทุบอะไรไปด้วยในตอนฝึก ค่าประสบการณ์ที่ได้รับนั้นก็จะมากกว่าปกติครึ่งหนึ่ง นี่คือสิ่งที่เขาค้นพบ
“ตรวจสอบสถานะอาวุธ”
“ค้อนขวานเงิน”
“ระดับ 3”
“ความสัมพันธ์กับอาวุธ 25%”
“ผู้สร้าง เฟซิ”
กายมองไปที่ตัวเลขความสัมพันธ์กับอาวุธ มันแค่ 25% เท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่าดาบในตอนแรกที่กายเคยซื้อจากร้าน บางทีตัวเขาอาจจะเหมาะกับอะไรทุบ ๆ มากมากกว่าพวกดาบก็ได้
แบบนี้มันอาจจะทำให้เส้นทางนักรบผู้ใช้ดาบสุดเท่ไม่มีหวังก็ได้ กายได้แต่คิดในใจ
หลังจากฝึกทุบเหล่าก้อนหินและผนังใต้ผาไปจนหมดมันก็มืดแล้ว กายจึงหยุดและนั่งพักผ่อนขณะที่หยิบหนังสือบันทึกช่างโลหะออกมาอ่านดูในส่วนของชุดเกราะเกล็ดทมิฬ
พิมพ์เขียวชุดเกราะเกล็ดทมิฬนั้นมีมากกว่า 95% ที่กายไม่เข้าใจมันแม้แต่น้อย ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะความสามารถของกายไม่ถึง อีกส่วนเพราะระดับของมันสูงเกินไป ที่ว่าระดับสูงไม่ใช่เรื่องระดับของชุดเกราะที่สมบูรณ์ แต่คือเรื่องของความซับซ้อนของเกราะและความประณีต
เพราะชุดเกราะเกล็ดทมิฬสร้างจากชิ้นส่วนเล็ก ๆ จาดนั้นรวมเป็นชิ้นใหญ่ ๆ และนำไปติดกับชุดอีกที
แต่แม้กายจะไม่เข้าใจพิมพ์เขียวแต่ความสามารถของเกราะนั้นก็มีเขียนไว้อยู่บ้าง
นั้นก็คือการไม่สะท้อนแสง เรื่องนี้กายรู้แล้ว เพราะชุดเกราะเลียนแบบชิ้นนี้ทำได้ดี มันลดการสะท้อนแสงได้เกือบ 20%
ส่วนที่สองที่เขียนไว้นั้นคือการซับเสียงกระทบ ซึ่งกายก็เห็นทราบแล้วเช่นกัน แต่มีอีกหนึ่งคุณสมบัติของชุดเกราะเกล็ดทมิฬนั้นก็คือความสามารถในการสะท้อน
“การสะท้อน” กายมองไปยังชุดเกราะที่ตัวเองใส่อยู่อย่างสงสัย เขายังไม่เคยลองโจมตีใส่ชุดเกราะมาก่อน แต่จะให้คิดลองตอนนี้กายก็คิดว่าไม่ดีกว่า ยังไงอีกไม่นานเขาก็คงจะได้ทดลองมันอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที
แต่กายจะไม่ตั้งความหวังไว้มากเกินไป เขาว่าคุณภาพมักจะสบกับราคา แม้เกราะนี่จะเป็นเกราะเกล็ดทมิฬแต่ต้องไม่ลืมว่ามันคือของเลือนแบบ มันอาจจะไม่ได้มีคุณสมบัติของเกราะเกล็ดทมิฬที่แท้จริงก็ได้
ตกกลางคืนดวงอาทิตย์หายไปนานแล้ว แต่ฝนก็ยังตกอยู่
“ฝนเริ่มเบาลงแล้ว อาจจะเช้าถึงจะหยุดตก คงไม่มีใครบ้ามาโจมตีกลางคืนที่หนาวๆ แบบนี้หรอกนะ” กายโยนไม้ใส่ไปในกองไฟพอประมาณจากนั้นก็จัดการหาที่นอนเอากระเป๋ามาหนุนหัวนอนลงฟังเสียงฝนอย่างสบายใจ
“วันนี้ถือซะว่านอนเอาแรง หาววว…” กายยกมือปิดปากหาวก่อนหลับตาลงอย่างช้า ๆ เขานอนไปทั้งชุดเกราะ มันอึดอัดนิดหน่อย แต่กายไม่ยอมถอดเกราะในสถานที่แบบนี้อย่างแน่นอน
…..
เสียงฝนยังดังต่อเนื่อง ใบป่ายามกลางคืนแบบนี้ยากมากที่จะแยกระหว่างเสียงเท้ากับเสียงฝน ขณะที่กองไฟค่อย ๆ เบาลง
ห่างออกไปจากใต้ผาหินมีเงาคนหนึ่งกำลังแอบซุ่มอยู่ นักเรียนชายที่มองไปยังกายที่นอนหลับอยู่อย่างสบายที่ใต้ผาหินด้วยความอิจฉา
“ข้าไมก้า ต้องตากฝนทั้งวัน ทนความหิวและความหนาวเย็น เพื่อตามล่าเหรียญตรา แต่เจ้านี่กลับมานอนสบายใจ” ไมก้ากัดฟันด้วยความโกรธ เขาหยิบธนูออกจากมาจากด้านหลัง หยิบศรที่อยู่ข้างหลังออกมาก่อนจะเล็งไปที่กาย
“อาจารย์อิกลินบอกห้ามฆ่า ดังนั้นข้าจะยิงที่ขาพอให้เจ้าเดินไม่ได้ก็แล้วกัน” ด้วยระยะแค่นี้ไมก้ารู้สึกมั่นใจเป็นอย่างมากด้วยความแม่นยำของเขามันไม่ต่างจากการจับวาง
ฟริ้ววว!
ลูกธนูถูกยิงตัดผ่านม่านน้ำฝน เข้าไปที่ช่วงขาของกายอย่างรุนแรงจน กายยังนอนแน่นิ่งไม่ขยับ ไมก้ารู้สึกมันแปลก ๆ จึงเดินเข้าไปดูว่ากายเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเห็นกายไม่ขยับ
“บางทีมันอาจจะเจ็บจนสลบไป”
ไมก้าสร้างเหตุผลให้กับตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างระวัง ใต้ผาหินตอนนี้มืดเล็กน้อย เพราะแสงไฟจากกองไฟเริ่มดับลง
“เฮ้ย! เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า อย่ามาแกล้งตาย รีบเอาเหรียญตรามาแล้วถอนตัวออกไปซะ ข้าไม่อยากจะฆ่าเจ้า” ไมก้าถามออกมา เพราะต้องการยืนยันว่ากายยังมีสติอยู่หรือไม่ แต่พอไมก้ามองกายอีกครั้งก็ต้องตกใจ เพราะมันกลับเป็นเพียงกองใบไม้และกิ่งไม้
ไมก้าหันกลับไปด้านหลัง แต่มันสายไปแล้ว ค้อนขวานทุบเข้าไปที่กลางหน้าอกของไมก้าอย่างแรง ในช่วงที่เขาไม่ทันระวังตัว เกราะอกที่ไมก้าสวมใส่อยู่ยุบลง พร้อมกับแรงที่ผลักให้ตัวไมก้าลอยไปกระแทกกับกำแพงหิน
“อัก!” ไมก้าถึงกับจุกหน้าอกจนอ้วกออกมาเป็นเลือด
กายกำลังใช้ศิลปะการต่อสู้ทุบลงไปอีกครั้ง แต่พอเขาก้มลงไปดูปรากฏว่านักเรียนคนนั้นนอนหมดสติไปแล้ว
“เออ…” กายไม่รู้จะทำยังไง จึงลองเอาค้อนเขี่ย ๆ ดู ตัวของไมก้าล้มลงนอนฟุบกับพื้นไม่ขยับ กายรีบเข้าไปดูเพราะกลัวจะฆ่าไมก้าตายไป แต่พอเห็นว่ายังหายใจอยู่เขาก็รู้สึกโล่งอก
“ดูเหมือนข้าต้องระวังการใช้ศิลปะการต่อสู้ เพราะมันเกือบจะฆ่านักเรียนคนนี้ซะแล้ว ถ้าไม่ได้ชุดเกราะป้องกันไว้ คงตายไปจริง ๆ”
กายมองไปที่ไมก้าอย่างยิ้ม ๆ จากนั้นเขาก็เข้าไปค้นตัว ในที่สุดก็เจอเหรียญตรา เขารีบเก็บมันและลองค้นตามตัวอีกสองสามรอบที่ต้องทำแบบนั้นเพราะกายไม่เจอเงินในตัวของไมก้าแม้แต่น้อย
“ทำไมถึงจนแบบนี้ ไม่สิหรือเจ้าไม่คิดจะพกเงินมากัน” กายคิดว่าเขาขาดทุนซะแล้ว เขาอุตส่าห์ออกไปต่างฝนรอไมก้ามาติดกับอยู่ตั้งนาน พอค้นตัวไม่เจอเงินสักเหรียญทองเดียว
แต่พอคิดดูมันก็ไม่แปลกพวกเขามาทดสอบกันในป่าจะเอาเงินมาทำไมให้หนักเปล่า ๆ เพราะในป่ามันซื้ออะไรไม่ได้อยู่
เขารู้สึกเซ็งเล็กน้อย เขาลากตัวไมก้าไปถูกไว้ข้าง ๆ ก่อนที่ไมก้าจะฟื้นขึ้นมา แต่ดูแล้วมันคงยาก บางทีเช้าแล้วไมก้าอาจจะยังไม่ฟื้นเลยด้วยซ้ำ
กายยืนมองไมก้าอยู่ เขารู้สึกโชคดีที่ไมก้าเป็นเพียงนักรบฝึกหัดขั้น 1 ซึ่งในบรรดานักเรียนปี 1 มีน้อยคนที่จะอยู่ระดับนี้ แน่นอนว่านับกายไปด้วยคนหนึ่ง
หลังจากหมดเรื่องน่าตื่นเต้นแล้วกายจึงกลับไปนอนตามเดิม พอเวลาเที่ยงคืนมาถึงกายก็ออกจากเกมตามปกติ
ล็อกเอาท์
…….
เพิ่มเติม : ค้อนขวาน หรือ ขวานค้อน เป็นอุปกรณ์ที่รวมทั้งใบมีดขวานกับหัวค้อนไว้บนด้ามจับอันเดียว ขวานและค้อนอยู่ที่ด้านบนของที่จับโดยมีใบมีดขวานที่ปลายด้านหนึ่งของหัวและค้อนที่อีกด้านหนึ่ง