ในท้ายที่สุด คนของตระกูลหลีก็ไม่ได้เคลื่อนย้ายปู่หลีอีก และไม่ได้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างเช่นย้ายปู่หลีไปที่ในอำเภอด้วยเช่นกัน
ซุนต้าหูข้ามภูเขาเพื่อขอให้เสี่ยวเจิ้งลากรถล่อมาที่นี่ สรุปคือเขาไปอย่างเสียเปล่า เสี่ยวเจิ้งจึงลากรถล่อกลับไปด้วยความโมโห ถึงแม้ว่าซุนต้าหูจะให้ค่ารถไปกลับจากเขื่อนจี๋เสียงถึงชีหลี่โวกับเสี่ยวเจิ้ง แต่ระยะทางที่สั้นเช่นนี้ จะเทียบเท่ากับระยะทางไกลในการทำเงินอย่างเช่นไปในอำเภอได้อย่างไร
ตอนนี้ตระกูลหลีกลับยุ่งอยู่กับการแก้ต่างให้เพื่อนบ้านฟังด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “ไม่ใช่ว่าคนรุ่นหลังอย่างเราไม่อยากให้ปู่หลีไปสถานที่ให้บริการรักษาโรคในอำเภอหรอกนะ แต่เป็นเพราะเจียงป่าวชิงคุยโวโอ้อวดว่าปู่หลีอาจจะหายดีก็ได้ด้วยการรักษาของนาง แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้น เราค่อยโทษนางก็แล้วกัน”
“เหตุใดบ้านพวกเจ้าถึงได้จริงใจขนาดนี้ ? เจียงป่าวชิงนั่นปัญญาอ่อนมาตั้งหลายปี จะไปรักษามครเขาได้ที่ไหน ? แล้วพวกเจ้าก็เชื่อนางรึ ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ?!” อาหญิงหลีตบขาดังฉาด จากนั้นนางก็พูดขึ้นอย่างเคียดแค้น “ก็พ่อสามีข้าถูกไอ้เด็กนั่นขู่ขวัญเอาน่ะซี่ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่ยอมไปอำเภอ ซ้ำร้ายยังด่าข้าที่เป็นห่วงเขาด้วยนะ… ไอ้โย! เป็นลูกสะใภ้นี่ช่างเป็นการทำดีกลับไม่ได้รับผลดีตอบจริง ๆ แต่คนรุ่นหลังอย่างเรา ๆ จะพูดอะไรได้อีกล่ะ ? ไม่ใช่ว่าทำได้เพียงรับฟังเท่านั้นหรอกหรือ ?”
อาหญิงหลีบ่นกับเพื่อนบ้านอยู่สักพัก จนแม่เฒ่ากัวกลับมาจากไปตรวจโรค นางก็รีบเชิญแม่เฒ่ากัวให้กลับไปที่บ้านด้วยกันทันที
ถึงแม้ว่าแม่เฒ่ากัวจะไม่ชำนาญเรื่องกระดูกหัก แต่ถึงอย่างไรนางก็ตรวจโรคให้คน วัว และหมูมาตั้งหลายปี และถือได้ว่านางมีประสบการณ์มากมายเลยก็ว่าได้ เมื่อนางมองและลูบคลำ นางก็รู้แล้วว่าการจัดการขาของปู่หลีนั้น ไม่เพียงแต่เหมาะสม แต่ยังมีบางจุดที่ทำให้นางรู้สึกว่าได้เรียนรู้อีกด้วย
และแน่นอนว่า แม่เฒ่ากัวพูดสิ่งนี้ออกไปตรง ๆ ไม่ได้
เมื่ออาหญิงหลีเห็นแม่เฒ่ากัวครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น การคาดเดาที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นในใจของนาง “พี่กัว ขาของพ่อสามีข้ามีจุดไหนที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า ?”
แม่เฒ่ากัวไม่ตอบอะไร นางทำเพียงแค่ถามกลับเท่านั้น “ใครเป็นคนทำให้ ?”
อาหญิงหลีขายเจียงป่าวชิงทันที “พวกเราไม่ได้เชิญใครมา ตอนที่พ่อสามีข้าหกล้มลงวันนั้น พี่กัวไม่อยู่บ้านพอดี ข้ากับลูกชายของเขาจึงคิดจะพาเขาไปตรวจดูอาการในอำเภอ แต่ใครจะรู้ว่าเจียงป่าวชิงนั่นจะบอกว่าตัวเองตรวจโรคเป็น จากนั้นนางก็มาทำจนขาของพ่อสามีข้ากลายเป็นแบบนี้… ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากพาเขาไปในอำเภอ แต่เพราะ…”
แม่เฒ่ากัวรู้จักเจียงป่าวชิง เด็กคนนั้นบุญวาสนาน้อย ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ปัญญาอ่อนมาตั้งหลายปี และดูเหมือนว่านางจะได้เรียนรู้ทักษะดังกล่าวโดยบังเอิญ
แม่เฒ่ากัวพูดขัดจังหวะอาหญิงหลีโดยตรง “นางจัดการได้ดีมาก” จากนั้นแม่เฒ่ากัวก็มองอาหญิงหลีอีกครั้ง “โชคดีที่พวกเจ้าไม่ได้ส่งคุณปู่ไปที่ในอำเภอ เส้นทางโคลงเคลงขนาดนั้น อีกทั้งปู่หลียังอายุมากแล้ว ถ้าหากว่าได้รับการสั่นสะเทือนแล้วทำให้ปู่หลีทนไม่ไหว พวกเจ้าจะทำเช่นไร ?”
อาหลีกับอาหญิงหลีหน้าซีดทันที
ปู่หลีนอนถลึงตาและเป่าลมใส่เคราอย่างไม่พอใจ “เหอะ! โชคดีที่ข้าดื้อไม่ยอมไปเองต่างหาก! ไม่อย่างนั้นก็คงจะถูกพวกเจ้าทำร้ายจนตายไปแล้ว!” ปู่หลีมีชีวิตชีวามาก “ข้าว่าเด็กคนนั้นเก่งกว่าพวกเจ้าแต่ละคนเสียอีก ? แต่พวกเจ้ายังจะมีหน้าไม่ฟังนาง ข้ากินเกลือมากกว่าที่พวกเจ้ากินข้าวเสียอีกนะ คิดว่าข้าฉลาดน้อยกว่าพวกเจ้ารึ ? ไอ้พวกสมองกลวงเหลวแหลก!”
อาหลีกับอาหญิงหลีถูกปู่หลีด่าต่อหน้าแม่เฒ่ากัว ทำให้พวกเขาโงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว
เนื่องจากสองสามวันนี้ ปู่หลีนอนไม่หลับเพราะทรมานจากอาการขาหัก แม่เฒ่ากัวจึงจ่ายยาสมุนไพรที่ช่วยในการทำให้จิตใจสงบให้เขา เสร็จแล้วถึงจะกลับ
อาหลีกับอาหญิงหลีสบตากันเล็กน้อย ไม่มีใครในพวกเขากล้าสงสัยในตัวเจียงป่าวชิงอีก
หลังจากนั้นเรื่องที่เจียงป่าวชิงสามารถรักษากระดูกหักได้ก็ถูกแพร่กระจายออกไป มันแพร่กระจายจนผู้คนฮือฮาเลยทีเดียว
ว่ากันว่าถึงแม้เจียงป่าวชิงจะมีดวงที่เล่นงานคนติดตัวนาง แต่ก็ไม่สามารถทนต่อพี่ชายของนางที่เกิดมาในช่วงเวลาที่ดีได้ เจียงหยุนชานถูกนางเล่นงานจนแขนหัก แต่นางกลับสามารถเรียนรู้สูตรลับเกี่ยวกับการรักษากระดูกหักจากหมอใจดี เห็นทีว่าโชคชะตาของเจียงหยุนชานจะไม่เลวเลยจริง ๆ
ข่าวนี้ออกมาจากปากของฝูฉู เมื่อไปถึงหูเจียงหยุนชาน เขาก็โกรธจนหน้าแดงก่ำ
เจียงหยุนชานอดกลั้นอารมณ์ไว้สักพัก แต่เขากลับไม่สามารถพูดอะไรที่เป็นการดูถูกอย่างสุภาพได้จริง ๆ จึงทำเพียงก่นด่าว่า ‘โง่เขลาไร้สาระ’ ด้วยความโกรธเท่านั้น
ทว่าฝูฉูกลับไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “ความสามารถของแม่นางเจียงยอดเยี่ยมมาก เจ้ากับข้าต่างก็เคยเห็นแล้ว รักษากระดูกหักเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น การฝังเข็มต่างหากที่เป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแม่นางเจียง ว่ากันว่าหมอมีใจที่จะช่วยคนบนโลก เหตุใดแม่นางเจียงถึงไม่ทำให้พวกคนโง่รู้ถึงความมหัศจรรย์ของการฝังเข็มไปเสียเลยล่ะ พวกเขาจะได้ไม่สร้างเรื่องให้แม่นางเจียงในแต่ละวันเช่นนี้”
เมื่อเจียงหยุนชานได้ยินที่ฝูฉูพูด เขาก็ส่ายหน้า เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีคนหัวเราะและพูดขึ้นมาจากทางด้านหลังเสียก่อน “ขอบคุณมากนะเจ้าคะที่พี่ฝูฉูเป็นห่วงข้า”
เจียงป่าวชิงถือปลากลับมาหนึ่งตัว นางอยู่ในชุดเรียบง่ายและกำลังยืนอยู่ตรงนั้น แต่กลับเหมือนดอกไม้ที่งอกออกมาจากในดินอย่างไรอย่างนั้น
สมาธิของฝูฉูสั่นไหวเล็กน้อย
เมื่อก่อน ตอนที่ฝูฉูพูดอะไรที่เจียงป่าวชิงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เจียงป่าวชิงก็จะใช้คำพูดตอกหน้านางกลับไปโดยตรง แต่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างฝูฉูกับเจียงหยุนชาน ช่วงนี้เจียงป่าวชิงจึงเกรงใจฝูฉูมาก นางไม่ได้โกรธเมื่อได้ยินคำพูดพิจารณาแทนคนอื่นอย่างโจ่งแจ้ง แต่กลับหยิบยกคำว่า ‘ช่วยเหลือคนบนโลก’ มาข่มขู่ทางศีลธรรมอย่างลับ ๆ และนางยังคงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แต่แม่นางฝูฉูคงอาจจะลืมแล้วว่าข้าเคยสัญญากับคุณชายของพี่ว่าข้าไม่อยากให้คนนอกรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ข้าฝังเข็มเป็น ซึ่งถ้าหากว่าพี่ฝูฉูมีข้อสงสัยอะไรก็ไปถามคุณชายกงก็ได้เจ้าค่ะ”
แม่นางฝูฉูก้มหน้าและยิ้มอย่างงดงาม “แม่นางเจียงเจ้าพูดตลกแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรเลย” จากนั้นนางก็ถือตะกร้าในมือที่มีองุ่นสดวางอยู่ในตะกร้าและพูดอีกว่า “ข้าแค่ได้ยินคำนินทาจากในหมู่บ้าน เกรงว่ามันจะส่งผลไม่ดีต่อเจ้า และส่งผลกระทบถึงร่างกายของท่านชายข้า ข้าจึงมาพูดกับเจียงหยุนชานก็เท่านั้น”
พูดเสร็จ ฝูฉูก็ถอนสายบัวให้เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานอย่างจริงใจ จากนั้นก็จากไปด้วยรอยยิ้ม
เจียงป่าวชิงมองท่าทางของฝูฉูแล้วก็รู้สึกปวดหัว แต่เจียงหยุนชานกลับยังคงมีความเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย “ป่าวชิง ข่าวลือในหมู่บ้านไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเจ้าใช่ไหม ?”
เจียงป่าวชิงวางปลาลงในกะละมัง จากนั้นก็ไปหยิบมีดมาจากในห้องครัว และทำการผ่าท้องปลาเพื่อกำจัดอวัยวะภายในของมัน สุดท้ายนางก็พูดโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง “ปล่อยพวกเขาพูดไปเถอะเจ้าค่ะ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว” นางมองปลาในกะละมังยิ้ม ๆ “พี่ ปลาตัวนี้เนื้อนุ่มมาก ตอนเย็นข้าจะทำปลาน้ำแดงให้ และจะทำต้มเต้าหู้หัวปลาอีกอย่าง”
เจียงหยุนชานถึงกับไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรไปชั่วขณะ เขาทำเพียงส่ายหน้าไปมาเท่านั้น
เจียงป่าวชิงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่นางไม่คิดว่าหลังจากนั้นสองสามวัน อาหญิงหลีจะมาเยี่ยมนางตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้
ที่แท้ก็เป็นหลานชายคนเล็กของอาหญิงหลีที่ซุกซน เขากระโดดไปเล่นบนเตียงของปู่หลีและบังเอิญกระแทกขาของปู่หลี ซึ่งปู่หลีเจ็บจนส่งเสียงร้องและเกือบกลอกตาหมดสติไปอยู่รอมร่อ
อาหลีกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นอีก เขาจึงรีบให้อาหญิงหลีมาหาเจียงป่าวชิงถึงที่บ้าน
หากว่าพูดตามหลัก โดยปกติแล้วถ้าหากใครคนหนึ่งสงสัยในตัวของอีกฝ่าย ตอนนี้ก็คงจะอายที่จะต้องเชิญอีกฝ่ายให้ไปรักษาอีก แต่อาหญิงหลีกลับไม่ละอายใจเป็นอย่างยิ่ง นางพูดกับเจียงป่าวชิงอยู่ตรงนอกบ้านอย่างกระตือรือร้น “ไอ้โย! เจียงป่าวชิง แม่เฒ่ากัวบอกว่าการรักษาของเจ้าดีมาก แต่ตอนนี้แม่เฒ่ากัวไม่อยู่ เจ้าช่วยไปดูพ่อสามีข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ?”
.