การฟื้นตัวของกงจี้เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ เจียงป่าวชิงเองก็ดีใจมากเช่นกัน
ด้วยเพราะบทแทรกที่ไม่รู้ว่าเหตุใดกงจี้ถึงสร้างมันขึ้นมานั้น ทำเอาจนนางใจเต้นแรงและมีความเขินอายขึ้นมา
ความเขินอายนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งนางกลับมาที่บ้านของตัวเอง นางต้องใช้น้ำเย็นที่เพิ่งไปตักมาล้างหน้าถึงจะดีขึ้นหน่อย
เจียงป่าวชิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นนางก็ตบหน้าตัวเองเพื่อให้ตัวเองดูไม่ผิดปกติ เสร็จแล้วถึงจะเข้าไปในห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อนางเข้ามาในห้อง นางก็เห็นเจียงหยุนชานกำลังดูอะไรบางอย่างด้วยความคลั่งไคล้ เมื่อเจียงป่าวชิงยื่นมือออกไปเคาะประตูที่กางออก เจียงหยุนชานก็ตกใจตื่นและแทบจะกระโดดขึ้นมาอยู่รอมร่อ และเมื่อเขาเห็นเจียงป่าวชิงยืนอยู่ตรงทางเข้า เขาก็รีบเก็บของสิ่งนั้นอย่างลนลานโดยมีความประหม่าแฝงอยู่เล็กน้อย
ขณะนี้ เจียงหยุนชานถึงกับพูดติดอ่างเลยทีเดียว “ปะ… ป่าวชิง เจ้ากลับมาแล้ว ดะ… ดื่มน้ำสักหน่อยไหม ?” พูดเสร็จเขาก็คิดจะใช้ข้ออ้างไปรินน้ำมาให้น้องสาวเพื่อทำให้ความเก้อเขินเบาบางลง
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเจียงหยุนชานลุกขึ้น ของสิ่งนั้นจะหล่นลงมาบนพื้นทั้งอย่างนั้น ทว่าเจียงหยุนชานกลับไม่สังเกตเห็น ซึ่งตอนนี้เขาได้ไปรินน้ำให้เจียงป่าวชิงเรียบร้อยแล้ว
เจียงป่าวชิงมองบนพื้น จากนั้นก็ก้มตัวเพื่อหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมา …นางไม่คิดว่าจะเป็นถุงหอม
ดูก็รู้แล้วว่ามันคืองานปักมือ ซึ่งปักได้อย่างประณีตและงดงามมาก ภูเขาสูงที่ติดต่อกันยาวเหยียด และมีเมฆขาวลอยเป็นเกลียวอยู่บนยอดเขา อีกทั้งลายปักยังแฝงไปด้วยชื่อของเจียงหยุนชาน
เจียงป่าวชิงตะลึงงันทันที
เมื่อเจียงหยุนชานหมุนตัวกลับมาพร้อมกับน้ำในมือ เขาก็เห็นเจียงป่าวชิงถือถุงหอมนั้นไว้อยู่ในมือและกำลังมองมัน เห็นดังนั้น เขาก็ตกใจจนตัวสั่นทันที ทำให้น้ำที่อยู่ในถ้วยชาสองถ้วยหกกระเด็นออกมาจนเกือบหมด
เจียงป่าวชิงเห็นเจียงหยุนชานมีปฏิกิริยาที่รุนแรงถึงขนาดนั้น นางยังจะไม่เข้าใจอะไรได้อีกล่ะ นางส่งถุงหอมให้เจียงหยุนชานด้วยใบหน้าอมยิ้มรู้ทัน
เจียงหยุนชานรีบวางถ้วยชาลงและรับถุงหอมกลับมาอย่างรวดเร็ว หูของเขาแดงก่ำ เขาอ้ำอึ้งอยู่นิดหน่อยและไม่รู้ว่าควรพูดกับเจียงป่าวชิงอย่างไรดี
เจียงป่าวชิงจึงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “พี่หยุนชาน นี่ข้าใกล้จะมีพี่สะใภ้แล้วรึ ?” นางรู้ว่าคนสมัยก่อนแต่งงานเร็ว แต่ไม่คิดว่าพี่ชายของตัวเองจะเจ๋งได้ขนาดนี้ อายุยังน้อยแท้ ๆ แต่กลับจะสละโสดเสียแล้ว
หากว่าเป็นยุคปัจจุบัน วัยนี้ก็คงจะอยู่ช่วงมัธยมสองไม่ก็มัธยมสาม ช่างเป็นอะไรที่เป็นยุคใหม่จริง ๆ
เมื่อเจียงหยุนชานเห็นเจียงป่าวชิงถามอย่างตรงไปตรงมา เขาก็หน้าแดงเหมือนกุ้งสุกทันที และเขาก็ยังคงพูดติดอ่างเช่นเคย “ป่าวชิง ไม่… ไม่ใช่ เจ้า… เจ้าอย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าสิ มันจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของฝ่ายนั้นเอาได้”
เจียงป่าวชิงตกตะลึงไปทันที ที่แท้พี่ชายของนางกำลังแอบรักข้างเดียวอยู่หรือนี่ ? นางมองไปที่ถุงหอมนั้นอีกครั้ง ความไม่เข้าใจเป็นอย่างมากผุดขึ้นในใจ แต่ทว่าในเมื่อคนหัวโบราณและตั้งใจอย่างเจียงหยุนชานพูดขนาดนี้แล้ว เจียงป่าวชิงจึงไม่จงใจพูดอะไรที่เป็นการยุแหย่ให้พี่ชายของตัวเองต้องโกรธอีก
เจียงป่าวชิงเดินเข้าไปจูงแขนเจียงหยุนชานอย่างสนิทสนม “พี่ ข้าพลั้งปากพูดไปหน่อย ถ้าอย่างนั้นพี่บอกข้ามาว่าใครที่เป็นคนทำถุงหอมนี้ให้พี่ ข้าถามเช่นนี้คงได้อยู่ใช่ไหมเจ้าคะ ?”
เจียงหยุนชานหน้าแดงจนใกล้จะมีไอร้อนผุดออกมาอยู่แล้ว ผ่านไปสักครู่ เขาถึงจะแค่นคำพูดออกมาจากในซอกฟันของเขาด้วยเสียงที่เบามาก “แม่นางฝูฉู… หะ… ให้มา”
โอ้! เจียงป่าวชิงไม่คิดเลยว่าจะเป็นพี่ฝูฉู!
เจียงป่าวชิงตกตะลึงไปทันที แต่หลังจากที่ตะลึงงันไปชั่วคราว นางกลับเงียบลงอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อคิดดูดี ๆ ดูเหมือนจะมีเพียงฝูฉูเท่านั้นที่ตรงตามเงื่อนไข
ลองมาคิด ๆ ดูแล้ว เจียงหยุนชานเรียหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเป็นเวลานาน อย่างมากก็แค่ไปซื้อผักในหมู่บ้านกับไปตักน้ำที่ริมแม่น้ำเท่านั้น เหล่าคนที่เขารู้จักนั้นค่อนข้างมีจำนวนจำกัด พอดูวัสดุของถุงทองนั้นแล้วก็พบว่ามันพิถีพิถันมากและยังเป็นผ้าไหมชั้นดีอีกด้วย ถ้าหากว่าเป็นสาวในหมู่บ้าน เกรงว่าพวกนางอาจจะไม่สามารถสัมผัสเนื้อผ้าชั้นดีเหล่านี้ได้
คิดไปคิดมาก็ดูเหมือนจะมีเพียงฝูฉูที่อยู่บ้านข้าง ๆ เท่านั้นที่ตรงตามเงื่อนไข
ถ้าหากว่าเป็นฝูฉูจริง ๆ… สีหน้าของเจียงป่าวชิงมีความซับซ้อน นางไม่ได้มีอคติอะไรกับฝูฉู ในทางกลับกัน นางรู้สึกได้ว่าเกือบจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เพิ่งรู้จักกับฝูฉู ดูเหมือนว่าจะเป็นฝูฉูมากกว่าที่มีอคติต่อนางตั้งแต่แรกเห็น
แรกเริ่มเจียงป่าวชิงคิดว่าตัวเองจะสามารถเข้าใจได้ แต่สำหรับฝูฉู เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ในชนบทอย่างนางที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน จู่ ๆ ก็มาบอกว่าตัวเองสามารถรักษาขาของท่านชายของนางให้หายได้ สิ่งนี้ไปตกอยู่ที่ใคร เป็นใครก็ต้องสงสัยว่าฝ่ายนั้นเป็นนักต้มตุ๋นแห่งยุทธจักรอยู่แล้ว ดังนั้น แรกเริ่มฝูฉูจึงปฏิบัติต่อนางแปลก ๆ ทั้งอย่างลับ ๆ และโจ่งแจ้ง แต่ข้อนี้เจียงป่าวชิงยังสามารถเข้าใจได้
ทว่าต่อมาล่ะ ?
ขาของกงจี้ ไม่ต้องพูดถึงพัฒนาการที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย อย่างน้อยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ความคืบหน้าในทางที่ดีอย่างรวดเร็วก็สามารถเห็นได้ด้วยตา แต่ท่าทีของฝูฉูยังคงเหมือนตอนแรกเริ่ม คือไม่เชื่อใจ ไม่เป็นมิตร แม้ว่านางจะแสดงความเคารพ แต่ในใจกลับแอบหาเรื่องเจียงป่าวชิงอย่างเงียบ ๆ
เจียงป่าวชิงไม่ชอบเป็นฝ่ายหาเรื่องใครก่อนมาแต่ไหนแต่ไร ฝูฉูจะปฏิบัติต่อนางอย่างไรก็ปล่อยไป เพราะถึงอย่างไรฝูฉูก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง นางจะไปสนใจทำไม อย่างมากก็ทำแค่ไม่สนใจเท่านั้นก็พอ
แต่ทว่า… ฝูฉูอาจจะกลายเป็นพี่สะใภ้ของนาง อืมมม… เจียงป่าวชิงแค่คิดก็รู้สึกเจ็บแก้มนิดหน่อยแล้ว
ไม่ว่าเจียงป่าวชิงจะคิดอย่างไร นางก็ไม่ใช่น้องสะใภ้ใจร้ายที่ทำให้คนแตกแยกอะไรทำนองนั้น แค่พี่ชายของนางคิดว่าดีก็เพียงพอแล้ว เพราะถึงอย่างไรถ้าดูจากเงื่อนไขจากสภาพจริงเ ฝูฉูนางก็ดีมาก ถึงขั้นเรียกได้ว่าดีเด่นมากเลยก็ว่าได้
ตอนนี้มีเพียงหนึ่งปัญหาเท่านั้น นั่นก็คือหลังจากที่ขาของกงจี้หายดีแล้ว พวกเขาก็จะต้องไปจากที่นี่ เพราะในภูเขาเล็ก ๆ แห่งนี้คงจะรั้งกงจี้ไม่ได้อย่างแน่นอน
แล้วฝูฉูล่ะ ?
เมื่อเจียงป่าวชิงคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกเหมือนเจ็บที่แก้มมากกว่าเดิม ทว่าเมื่อนางมองเจียงหยุนชานที่ใบหน้าแดงก่ำพูดอะไรไม่ออก แต่ในสายตาของเขากลับฟุ้งไปด้วยราศี เจียงป่าวชิงก็รู้สึกอึดอัดใจทันที
“พี่ แต่ถึงอย่างไรพี่ฝูฉูก็ต้องกลับไปพร้อมกับคุณชายกงอยู่ดีนะเจ้าคะ” เจียงป่าวชิงพูดอย่างนิ่มนวล
เจียงหยุนชานเม้มริมฝีปาก ริ้วแดงบนใบหน้าจางหายไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างสงบ “ข้ารู้ แม่นางฝูฉูกับข้า เราแตกต่างราวฟ้ากับดิน ข้าแค่ ข้าเพียงแค่…” เจียงหยุนชานพูดไม่ออก เขาพูดติดอ่างอยู่สักพัก สุดท้ายทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปทั้งอย่างนั้น “มีเพียงความคิดถึงกันก็พอแล้ว”
“เพียงแค่มีความคิดถึงกันก็พอแล้วอย่างนั้นรึ ?” เจียงป่าวชิงพึมพำ
ชอบคนคนหนึ่ง แต่ไม่คิดจะครอบครองคนคนนั้นเนี่ยนะ พี่ชายของนางไม่อยากเห็นทั้งหัวใจและในดวงตาของคนที่ชอบมีเพียงแค่ตัวเองหรอกหรือไร ?
คิดสิ เหตุใดจะคิดไม่ได้ล่ะ ?
แต่ความเป็นจริงกลับโหดร้าย มันเหมือนมีภูเขาสูงมากั้นอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคน จู่ ๆ เจียงป่าวชิงก็กุมหน้าอกเพราะรู้สึกเจ็บที่บริเวณหน้าอกเล็กน้อย
ความรักของบางคนคงถูกลิขิตให้เป็นเพียงความคิดถึงในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเท่านั้นใช่ไหม ?
……
หลังจากที่รู้ว่าเจียงหยุนชานชอบฝูฉู เจียงป่าวชิงก็มักจะเฝ้าดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายของนางกับฝูฉูในชีวิตประจำวัน
อันที่จริงปฏิสัมพันธ์มีไม่มาก ก็แค่แสดงออกมาทางสายตา นอกจากนี้ ยังมีการสบตาและยิ้มให้กันเท่านั้น
เพียงแต่เจียงป่าวชิงเฝ้าดูอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่านางเองก็มีความอคติต่อฝูฉูเหมือนกันหรือเปล่า เพราะนางมักจะรู้สึกว่าการที่ฝูฉูปฏิบัติกับเจียงหยุนชานนั้นเป็นเพียงเพราะความเกรงใจเท่านั้น ไม่เห็นถึงความรักและความห่วงใยอะไรที่พิเศษใด ๆ เลยด้วยซ้ำ
เจียงป่าวชิงครุ่นคิด ไม่ใช่ว่าเจียงหยุนชานสมัครใจอยู่ฝ่ายเดียวหรอกใช่ไหม ?
ทว่าเมื่อนางนึกถึงถุงหอมใบนั้น ก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ …ถุงหอมนั้นทำมาจากน้ำมือของฝูฉู ถ้าหากว่าฝูฉูไม่คิดอะไรกับเจียงหยุนชาน ใครมันจะฝังชื่อของฝ่ายชายไว้ในผ้าปักล่ะ ?
นี่ไม่ใช่วิธีทั่วไปในการแสดงความรักหรอกหรือ ?
เจียงป่าวชิงคิดดังนั้น นางก็ขจัดความสงสัยออกไปได้ทันที
.