ที่ด้านนอกเส้นกั้นมีชาวบ้านมามุงดูกันมากมายหลายชั้น ตำรวจต้องกั้นเขตไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ให้คนไม่เกี่ยวข้องวิ่งเข้าไป มีตำรวจพื้นที่ถือโทรโข่งพูดอยู่เพื่อหวังจะให้คนร้ายใจเย็นลง
“รถของเขาเคยดัดแปลงมาก่อน แถมเขายังหลบอยู่ในรถ ทำให้มือสไนเปอร์ของเราทำงานลำบาก หาทางช่วยตัวประกันไม่ได้ หมอเฉินมีทางช่วยล่อเขาลงจากรถไหมครับ? ถ้าเขาลงมาพวกเราหาทางรับมือได้แน่ ต่อให้เขาไม่ลงมา คุณช่วยดึงความสนใจของเขาเอาไว้ แล้วเดี๋ยวคนของพวกเราจะเข้าทางด้านหลังเองแบบนั้นก็ได้ครับ”
คนร้ายอยู่ในรถทำให้การช่วยตัวประกันเป็นไปได้อย่างยากลำบาก
แตกต่างจากการช่วยเหลือตัวประกันที่ถูกจับไว้ในบ้าน ในรถสามารถมองเห็นได้รอบด้าน หากคนร้ายเห็นว่ามีคนเข้าไปอาจทำร้ายตัวประกันได้
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เธอกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว คนร้ายคนนี้อาจมีอาการทางประสาท แล้วโรคอะไรกันแน่ที่ทำให้เป็นแบบนี้…
รถตู้สภาพเก่าจอดอยู่กลางถนนเพียงคันเดียว ระยะสิบเมตรจากจุดนี้ถูกกั้นเอาไว้
ตำรวจท้องที่ยังคงถือโทรโข่งลองเจรจากับคนร้าย มีเสียงร้องเพลงดังลอดมาจากในรถตู้
“ฉันเห็นภูเขาลูกหนึ่ง เห็นยอดเขา ฮ้าฮา~”
เสียงสูงเพี้ยนก็ดังออกมา
“หัวหน้าหลินมาแล้วเหรอครับ” หัวหน้าตำรวจท้องที่เหงื่อแตกเต็มหน้าผาก พอเห็นหลินเจ๋อกว่างก็มีสีหน้าดีใจ
“นี่คือหมอเฉินเป็นจิตแพทย์ ผมเชิญเขามาร่วมปฏิบัติการกับพวกเรา” หลินเจ๋อกว่างแนะนำเสี่ยวเชี่ยนอย่างสั้นๆ
พวกตำรวจพอเห็นเสี่ยวเชี่ยนก็แสดงสีหน้าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
จิตแพทย์เด็กขนาดนี้เลย?
ไม่มีวงการไหนที่จะเข้มงวดเรื่องประสบการณ์การรักษาเท่ากับวงการจิตแพทย์อีกแล้ว
หากเรียกตัวเองว่าเป็นจิตแพทย์ได้ ไม่เพียงแต่การศึกษาจะต้องสูง ประสบการณ์การรักษาก็ยังต้องมีมากด้วย แล้วอายุแค่นี้จะไหวเหรอ?
เสี่ยวเชี่ยนไม่เคยแคร์เรื่องข้อสงสัยในตัวเธอของคนอื่น เธอชอบพิสูจน์ให้เห็นกับตามากกว่า
“ขอโทรโข่งด้วยค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนรับโทรโข่งมา พอเอ่ยปากพูดก็สำเนียงกวางตุ้งมาเต็ม
“คนที่อยู่ในนั้นโปรดฟังให้ดี ฉันมาคุยกับคุณแล้ว”
“โวะ คนฮ่องกง?” ตำรวจชั้นผู้น้อยที่อยู่ข้างๆพูดเสียงเบาออกมา หลินเจ๋อกว่างเหล่มอง นายจะเข้าใจอะไร นี่เขาเรียกว่าเทคนิคเฟร่ย
เมียของอวี๋หมิงหลางเก่งจริงๆ รู้จักเลียนแบบสำเนียงกวางตุ้ง สำเนียงที่ให้ความรู้สึกอีกแบบต่างจากยามปกติเวลาเธอพูดคุย
ตามคาด พอได้ยินสำเนียงคล้ายในหนัง เสียงเพลงจากในรถก็หยุดลง
“แกเป็นนักเจรจาเหรอ?”
“ใช่ค่ะ อยากคุยกับฉันไหมล่ะคะ? ตอนนี้อากาศร้อนจะตาย คุณอยู่ในรถไม่ลำบากเหรอ?”
“ฮ่าๆ เป็นนักเจรจาจริงๆด้วย ฮ่าๆ ฉันเรียกนักเจรจามาได้แล้ว ล้าลาลา ผมเป็นพ่อค้าหนังสือพิมพ์~”
เสียงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีดังลอดมาจากในรถ
พูดจาไม่มีลำดับ ความคิดโดดไปมา คล้ายกับคนเป็นโรคจิตเภท ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังเตรียมพูดโน้มน้าวต่อ ทันใดนั้นก็มีคนแก่วิ่งเข้ามาขวางรถตำรวจที่สภาพทรุดโทรมไว้ แล้วคุกเข่าขอร้องเสี่ยวเชี่ยน
“ขอร้องล่ะอย่าทำอะไรลูกผมเลย เมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นแบบนี้”
เสี่ยวเชี่ยนปิดโทรโข่ง แล้วถามเสียงเบา
“ช่วงเล่าเรื่องลูกคุณในช่วงนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ”
“เขาเปิดโรงงานเล็กๆ แต่ปรากฏว่าขาดสภาพคล่องเลยปิดกิจการไป เมียของเขาก็หนีไปกับคนอื่น ช่วงสองสามวันนี้เขามีอาการแปลกๆ พอผมเผลอเขาก็หนีออกมา…”
“ปกติเขามีอาการผิดปกติยังไงบ้างคะ แล้วอาการที่ว่าเป็นนานเท่าไร?”
“เพิ่งเริ่มสองวันมานี้นี่แหละ เขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เดี๋ยวก็บอกว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์ เดี๋ยวก็บอกว่าเป็นสไปเดอร์แมน”
“ครอบครัวคุณมีประวัติเป็นโรคประสาทไหมคะ? ก่อนที่เขาจะมีอาการนี้เคยเจอเรื่องที่สะเทือนใจมาก่อนหรือเปล่าคะ?”
“บ้านเราไม่มีประวัติเป็นโรคประสาทนะครับ ก่อนเขามีอาการ…อ้อ ผมนึกออกแล้ว เมียเก่าเขาให้ลูกสาวโทรหาเขา เหมือนว่าจะให้ลูกโทรมาด่าว่าเขาเป็นหนี้จนลูกเมียต้องมาซวยไปด้วย”
ไม่ใช่โรคจิตเภท
เสี่ยวเชี่ยนพอฟังมาถึงตรงนี้ก็พอจะเดาอาการคนข้างในได้แล้ว
ถ้าเธอวินิจฉัยไม่ผิดล่ะก็ คนๆนี้น่าจะเป็นโรคหลายบุคลิก
โรคนี้มาอาการหลายแบบ อาการบางอย่างใกล้เคียงกับโรคจิตเภท แต่มีความแตกต่างอยู่ตรงที่โรคหลายบุคลิกจินตนาการความเพ้อฝันจะไม่ค่อยแน่นอน ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนเคยเจอผู้ป่วยโรคหลงผิดในเรื่องความรัก ถูกจัดอยู่ในผู้ป่วยโรคจิตเภท อันนั้นจินตนาการของเขาจะค่อนข้างแน่นอน
พอรู้ว่าอีกฝ่ายอาการเป็นอย่างไรก็จัดการง่ายแล้ว
“นักเจรจา ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ เอาสิ ทำให้ผมยอมให้ได้ ผมเป็นพ่อค้าหนังสือพิมพ์~”
“อากาศร้อนใช่ไหมคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“ใช่ ผมเหงื่อออกแล้วเนี่ย”
“แล้วรู้สึกไหมคะว่าอุณหภูมิรอบตัวคุณสูงขึ้นเรื่อยๆ มันสูงขึ้นเรื่อยๆ?” เสี่ยวเชี่ยนเริ่มพูดชี้นำ
“ก็นิดนึงนะ”
ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังพูดชักจูงอารมณ์ผู้ป่วยอยู่นั้น อยู่ๆก็มีเสียงตะโกนออกมาจากฝูงชน
“ลูกสาวผม ลูกสาวผม”
เสียงตะโกนนี้ทำให้คนร้ายที่เริ่มคล้อยตามเสี่ยวเชี่ยนกลับอารมณ์ขึ้นอีกรอบ
“ผมเป็นยอดมนุษย์ที่ช่วยกู้โลก ผมจะปราบปีศาจให้หมด”
โว้ย
เสี่ยวเชี่ยนชูนิ้วกลางในใจ รีบส่งสายตาให้หลินเจ๋อกว่าง เขาจึงรีบพาคนมุ่งไปหาผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังคุมอารมณ์ไม่ได้คนนั้น
ผู้ชายคนนั้นเป็นพ่อของหนึ่งในตัวประกัน หลังจากที่รู้ว่าลูกตัวเองเกิดเรื่องก็คุมสติไม่อยู่รีบมายังที่เกิดเหตุ เกือบทำเสี่ยวเชี่ยนเสียเรื่องแล้ว
“นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปห้ามมีเสียงเอะอะโวยวายเสียงดัง ไม่อย่างนั้นจะเสียเรื่อง” เสี่ยวเชี่ยนสั่งหลินเจ๋อกว่าง เขารีบลากผู้ชายคนนั้นออกไป
และในเวลานี้เอง รถลายพรางของทหารก็ถูกขับเข้ามา ทหารหน่วยรบพิเศษที่เขียนหน้าพรางตัวต่างลงมาจากรถ หลังจากที่อวี๋หมิงหลางทราบข่าวก็รีบพาคนมาที่นี่ ถึงเขาจะอยู่ไกลออกไปแต่ก็ได้ยินเสียงภรรยาตัวเองที่พูดผ่านโทรโข่ง
“คนที่อยู่ข้างในคะ อากาศร้อนแบบนี้ทำไมไม่ออกมาตากลมเย็นๆข้างนอกล่ะคะ”
เอ๊ะ…แต่เมียของเขาไม่ใช่ควรไปเตรียมตัวเข้าสนามแข่งเหรอ ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ?
อวี๋หมิงหลางยังเห็นแม่ตัวเองยืนร้อนใจอยู่วงนอก เขาจึงเดินเข้าไปสะกิดที่ไหล่แม่ แม่อวี๋ที่กำลังมองลูกสะใภ้อย่างใจจดใจจ่อพอถูกสะกิดก็สะดุ้งโหยง
“ว้าย”
ใบหน้าที่เขียนพรางนี่น่าสยองเหลือเกิน
“ผมเองแม่ ทำไมลูกเชี่ยนมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ?” อวี๋หมิงหลางถาม
แม่อวี๋เล่าเหตุการณ์ให้ฟังสั้นๆ หลังจากที่หลินเจ๋อกว่างลากพ่อของตัวประกันออกไปแล้วเขาก็เห็นพวกอวี๋หมิงหลาง
“เหล่าอวี๋นายมาได้ไง?”
“เบื้องบนมอบหมายภารกิจมา ถ้าคนของพวกนายแก้ปัญหาไม่ได้ภายในสิบนาที ก็เปลี่ยนพวกเราเข้าแทน”
“ถุย มันจะดูถูกกันมากเกินไปแล้ว ทำไมพวกเราจะแก้ปัญหาไม่ได้? ไม่เห็นเหรอว่าเรามีคนนอกมาช่วย?” หลินเจ๋อกว่างไม่ยอมแพ้
“…พวกนาย ใช้เมียฉันช่วย ภูมิใจมากมะ?” ไม่ใช้พี่เฉียง แต่ใช้เมียพี่เฉียง
ประโยคเดียวสยบหลินเจ๋อกว่าง
เสี่ยวเชี่ยนในเวลานี้ยังคงพูดจูงใจคนร้าย เธอพยายามเน้นมากว่าอากาศร้อน แตกต่างจากตำรวจก่อนหน้านี้ที่พยายามถามคนร้ายว่ามีเรื่องไม่สบายใจอะไร
ตอนนี้อวี๋หมิงหลางเป็นหัวหน้าใหญ่แล้ว จุดประสงค์หลักของเขาที่มาในครั้งนี้ก็คือทดสอบความสามารถบรรดาหัวหน้าเล็กในหน่วยเขา จริงๆเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนสั่ง
แต่พอเห็นเมียตัวเองอยู่ในนั้นเขาก็ทนไม่ไหว สั่งคนไปตั้งจุดสไนเปอร์ ถึงแม้ตอนนี้คนร้ายจะยังไม่โผล่ออกมา แต่ก็มีโอกาส