“นายไร้เยื่อใยขนาดนี้ เขาคิดถึงนายมาตั้งนาน เฝ้ารอนายมาตั้งนาน ได้เจอนายอีกครั้งก็ยังติดตาตรึงใจ~”
เสี่ยวเฉียงทำสีหน้าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้พลางเหล่มองเธอ “ฮัมเป็นเพลงเลยเหรอ?”
คล้องจองอะไรเบอร์นั้น
“ฉันก็แค่แสดงความคิดเห็น”
“ล้มเลิกความคิดเถอะ ถ้าคุณไม่คิดอะไรคงไม่พูดแบบนี้ ตอนผมทำงานผมก็พยายามช่วยตัวประกันเต็มที่ นอกเหนือจากนั้นผมไม่จำเป็นต้องเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปเกี่ยว โดยเฉพาะกับผู้หญิงยิ่งไม่มีทางใหญ่ เสร็จภารกิจพวกเราก็เป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น”
เขาไม่เหมือนกับพี่รอง พี่รองเป็นคนที่ดูภายนอกเย็นชาแต่ข้างในหวั่นไหวได้ พี่รองคิดถึงเด็กผู้หญิงที่เขาเคยช่วยไว้มาตลอด แต่อวี๋หมิงหลางไม่เคยเกิดความรู้สึกใดๆกับคนที่ตัวเองเคยช่วยไว้เลย
ตอนที่ช่วยคนย่อมต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ พอผ่านไปแล้วก็ไม่มีทางที่เขาจะเอาคนพวกนี้มาข้องเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง ผ่านแล้วก็ผ่านเลย
“เรื่องนี้นายทำได้ดีมาก มันควรเป็นแบบนี้ หากมองในมุมของอาชีพ มีไม่กี่อาชีพที่คนทำงานต้องมีอารมณ์ร่วมกับอีกฝ่ายด้วย แต่อารมณ์ร่วมนี้ห้ามมีมากเกินไป”
เพราะไม่อย่างนั้นความซวยจะกลับมาอยู่ที่ตัวเองได้ง่าย
อย่างเช่นโรคซึมเศร้าของจิตแพทย์ บาดแผลในสงครามของทหารหน่วยรบพิเศษปลดประจำการ ล้วนมีแต่คนที่ออกมาไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าอวี๋หมิงหลางเป็นคนที่เดินออกมาได้
“หึ ผู้หญิงแบบคุณนี่นะ ผมไม่อยากจะพูด” อวี๋หมิงหลางทำเสียง หึ เขารู้อยู่แล้วว่าเธอคิดแบบนี้ แต่เมื่อกี้กลับลองใจเขา ถ้าเขาแสดงออกกับผู้หญิงอวบคนนั้นเหมือนที่พี่รองเคยทำกับต้าอีในตอนนั้นล่ะก็ เมียเขาได้คิดหาร้อยแปดวิธีมาเล่นงานเขาแน่
เป็นแผนทั้งนั้น
“ฉันก็แค่วิเคราะห์ปัญหาให้ฟัง เห็นแบบนี้แล้ว พี่รองกับต้าอีมีจุดที่เหมือนกัน คนเราถ้าไม่มีอะไรเหมือนกันอยู่กันไม่ได้หรอก พี่รองเกิดความรู้สึก ต้าอีเองก็เหมือนกัน ตอนนี้ฉันต้องการปลูกฝังต้าอีให้เขาแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออก เขาทำได้ดีทีเดียว”
ความรู้สึกร่วมที่มีต่อผู้ป่วย ถ้าถลำลึกในห้วงความรู้สึกมากเกินไป งานเสร็จแล้วแต่เดินออกมาไม่ได้ แต่ละเคสสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วจิตแพทย์ก็จะเป็นโรคจิตเวชที่รักษาได้ยาก
“พูดถึงต้าอีผมก็แอบสงสัยว่าคุณมีหลักการอะไรในการคบเพื่อน? คุณดูดีกับต้าอีแล้วก็สืออวี้มาก”
อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าเกณฑ์ในการคบเพื่อนของเมียเขาเป็นปริศนามาก
นิสัยของเพื่อนแต่ละคนที่เธอคบล้วนไม่เหมือนกัน อย่างต้าอีที่เป็นคนเงียบๆ สืออวี้สาวน้อยช่างฝัน ไหนจะสุ่ยเซียนสาวแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฉิวฉิวที่มีความผิดปกติในกระบวนการรับรู้เรื่องเพศ
ดูจากสถานภาพกับนิสัยเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แต่เธอกลับสนิทกับคนเหล่านี้มาก
แต่กับบางคนที่พยายามเข้าหาเธอ เสี่ยวเชี่ยนกลับทำตัวนิ่งๆใส่
“คงจะมีวาสนาต่อกันแหละมั้ง นายอาจจะเข้าใจว่าเป็นเซ้นส์ของจิตแพทย์ก็ได้ เวลาที่ฉันรู้สึกได้ว่าคนๆนี้ไม่มีทางทรยศฉัน ฉันก็จะเอาเขามาอยู่ภายในใจของฉัน แต่ถ้าฉันรู้สึกได้ว่าคนๆนี้ต่อให้ฉันทุ่มเทเท่าไรก็ไม่มีทางได้อะไรกลับมา ฉันก็จะอยู่ให้ห่างเข้าไว้”
“หืม?”
“บนโลกนี้มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ความเป็นตัวของตัวเองในโลกของพวกเขาสูงกว่าทุกสิ่ง รักตัวเองมากกว่าใครทั้งนั้น ความรู้สึกดีๆที่เขามีให้คนอื่นล้วนตั้งอยู่บนการช่วยเหลือที่เขาเคยได้รับจากคนๆนั้น อย่างเช่นผู้หญิงอวบคนเมื่อกี้ อาจารย์ที่ปรึกษาตอนมอปลายของฉัน เขาช่วยเฉินหลินเอาใบตอบรับเข้ามหาลัยของฉันไปซ่อน”
“ผมจำได้ ตอนนี้คนในครอบครัวของเขาจ้องจะล้างแค้นคุณอยู่” อวี๋หมิงหลางจำเรื่องนี้ได้แม่น
มีลูกที่เป็นโรคลักเล็กขโมยน้อยที่ต่อมาเคยถูกจับเป็นตัวประกัน เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางได้ช่วยไว้ แต่เด็กคนนั้นพูดขอบคุณสักคำก็ไม่มี กลับต่อว่าเสี่ยวเชี่ยน แถมตอนนี้ครอบครัวนั้นยังจะมาก่อกวนการแข่งขันอีก
“ในทางจิตวิทยาเรียกคนพวกนี้ว่าจิตใจเห็นแก่ตัว คนเราทุกคนเกิดมาต่างพกความเห็นแก่ตัวมาด้วย แต่แสดงออกในระดับที่ต่างกัน ผู้หญิงร่างอวบคนเมื่อกี้ก็เหมือนกับอาจารย์ที่ปรึกษาตอนมอปลายของฉัน ถลำลึกเกินไป พูดถึงตรงนี้ฉันต้องขอบ่นหน่อย สาดตาจานชีหาว่าวิธีที่ฉันใช้จัดการดูเป็นแม่พระเกินไป”
“เอ๋? คนพิลึกที่อยากได้คุณเป็นศิษย์มาตลอดนั่นอะเหรอ?”
“นั่นแหละ” เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงท่าทางของศาสตราจารย์ชีตอนที่ว่าเธอแล้วก็อดโมโหไม่ได้
“ฉันควรจะกัดนายจริง”
เสี่ยวเฉียงกระพริบตาปริบๆ
“เขายั่วโมโหคุณแล้วคุณจะมากัดผมทำไม?” ระบายอารมณ์?
“ถ้าฉันไม่รู้จักนาย เวลาจะทำอะไรยังต้องคิดให้รอบคอบ นึกถึงความเป็นสะใภ้ทหาร ห้ามทำเรื่องผิดกฎหมายไหม? ตอนนี้ฉันจะทำอะไรก็ต้องอยู่ในกฎในระเบียบ รัฐบาลควรมอบโล่พลเมืองดีเด่นให้ฉันได้แล้วนะเนี่ย”
เสี่ยวเฉียงพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ
“ต้องรักษาความคิดแบบนี้ไว้ให้คงอยู่ มีแค่การเดินในทางที่ถูกต้องเท่านั้นถึงจะเดินไปได้สุด”
“ถุย การได้มาเจอนายมันคือความซวยของฉันเอง” เสี่ยวเชี่ยนชูนิ้วกลางให้เขา แต่ถูกเขาจับเอามาจูบอย่างภูมิใจ
“ถ้าจะมอบโล่ก็ไม่ควรมอบให้คุณ ควรมอบให้ผม ถ้าไม่ได้ผมที่ค่อยขัดเกลาความคิดคุณ เมียผมจะมีเสน่ห์น่าหลงใหลได้ขนาดนี้เหรอ? จำไว้นะเมียจ๋า ความถูกต้องบนโลกมนุษย์มันเปลี่ยนไปทุกวันแหละ”
นั่นสินะ ความถูกต้องบนโลกมนุษย์มันเปลี่ยนไปทุกวัน…เธอครุ่นคิดคำพูดนี้ของเขาอย่างเงียบๆ
พฤติกรรมบางอย่างของเธอแตกต่างจากเมื่อชาติก่อน ไม่เพียงแค่เธอที่ไม่เหมือนเดิม แม้แต่เจิ้งซวี่ก็ยังเปลี่ยนไปไม่น้อย
ชาติก่อนเจิ้งซวี่ไม่ได้เป็นคนดีอะไร แต่ชาตินี้เขาทำแต่ธุรกิจที่ถูกกฎหมาย เพราะเสี่ยวเชี่ยนคอยเป็นกุนซือให้อยู่เบื้องหลัง พอคิดได้แบบนี้ การกลับมาเกิดใหม่ของเธอก็นับว่าสร้างความสุขให้คนได้ไม่น้อย
“เดี๋ยวกลับไปผมจะไปยื่นเรื่องดู เผื่อให้คุณไปบรรยายให้เจ้าหน้าที่ในหน่วยของผมได้ ยกระดับการตื่นตัวทางความคิด วิธีที่จะบรรลุเป้าหมายมีมากมาย ในเมื่อพวกเรามีความสามารถก็ใช้สองมือของเรานี่แหละเพื่อบรรลุเป้าหมาย ไม่เห็นต้องใช้แผนสกปรก”
ยังไงอวี๋หมิงหลางก็คิดว่าการใช้วิธีผิดๆลงโทษคนผิดไม่มีอะไรน่าภูมิใจ
เขาเข้มงวดเรื่องพวกนี้มาก รู้มาตลอดว่าอะไรที่ตัวเองทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ นับตั้งแต่วินาทีที่เสี่ยวเชี่ยนเลือกเขา ก็ค่อยๆเอนเอียงไปทางเขา บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตาก็ได้
เสี่ยวเชี่ยนที่เคยมีประสบการณ์การแข่งหลายครั้งไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับการแข่งขันภายในประเทศแบบนี้เท่าไร ก่อนแข่งหนึ่งวันเธอยังกินเที่ยวเล่นตามปกติ ถ้าไม่กลัวว่าจะตื่นไม่ไหวเธอยังอยากเล่นกลิ้งผ้าปูที่นอนกับเสี่ยวเฉียงด้วยซ้ำ
การทดสอบข้อเขียนในรอบแรกถูกจัดขึ้นที่สตูดิโอออกอากาศ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนใช้คอมพิวเตอร์ในการตอบปัญหา หน้าจอใหญ่ที่อยู่ด้านหลังได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ บนนั้นมีการแสดงคำถามเพื่อให้ผู้ชมได้เห็น คอมพิวเตอร์ที่ใช้ตอบเป็นแบบจอมอนิเตอร์เครื่องอ้วน แต่ก็ถือว่าทันสมัยที่สุดในประเทศแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนแรกที่กดปุ่มว่าตอบเสร็จแล้ว
หน้าจอแสดงชื่อเสี่ยวเชี่ยน เพียงพอที่จะทำให้ผู้ชมจำเธอได้
เรื่องหน้าตาเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ สามารถทำให้โดดเด่นขึ้นมาได้ โดยเฉพาะไฝที่อยู่กลางหน้าผากเสี่ยวเชี่ยน ใครเห็นก็ยากที่จะลืม
เวลานี้ภายในบ้านที่เมืองQ เจี่ยซิ่วฟางนั่งอยู่บนโซฟาตั้งใจดูลูกสาวที่กำลังแข่งขัน พอเธอได้ข่าวว่าลูกเข้าแข่งก็เรียกมาดูกันทั้งบ้าน ถึงพ่อเลี่ยวจะดูแล้วไม่เข้าใจ แต่ก็ใส่แว่นมานั่งดูเป็นเพื่อน
ฟู่กุ้ยหยิบปากกากับกระดาษมานั่งตอบไปด้วย ตอบเสร็จก็ถอนหายใจ
“เป็นอะไรไปฟู่กุ้ย ถอนหายใจทำไม?”