ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักมากมายเท่าใดที่ลอบตัดสินใจ กลับไปต้องหาทางเข้าสู้พรรคเหยากวงให้ได้ มีเหล่าตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรสำนักพรรคอื่นจำนวนหนึ่ง ล้วนคิดว่าจะนำเมล็ดพันธุ์ดีๆ ของตระกูลตนแอบส่งออกไปยังพรรคเหยากวง
ภาพพรรคที่ยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเช่นนี้ไม่ใช่ว่าสำนักพรรคใหญ่อื่นๆ อยากเห็น ดังนั้นก่อนจะเริ่มการประลอง จึงมีการแอบติดต่อกันลับอยู่หลายครั้ง
ไม่นานก็มาถึงวันท้าประลอง ในยามนี้ผู้ผ่านเข้ารอบสิบคนแรกนั่งเรียงกันอยู่บนหอสูงตรงกลาง ให้ผู้คนได้เห็นอย่างชัดเจน และผู้ท้าแข่งขัน มีเพียงสี่คน
นักพรตฉงกวนผู้มีสิทธิ์ในการท้าประลองในตอนแรกเป็นเพราะสูญเสียพลังไปจำนวนมากในการประลองกับมั่วชิงเฉินในสนามแรก จึงเป็นฝ่ายที่ขอถอนตัวออกจากการท้าประลอง
เนื่องด้วยแต่ละคนมีโอกาสท้าเพียงหนึ่งครั้ง ผู้ท้าประลองก่อน มีตัวเลือกมาก ก็จะได้เปรียบ ดังนั้นผู้ท้าประลองทั้งสี่ยังคงต้องใช้วิธีจับฉลาก เพื่อกำหนดลำดับในการขึ้นเวทีท้าประลอง
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ขึ้นสู่เวทีเป็นคนแรกมาจากนิกายอวี้กุย เขาเดินเข้าสู่หอสูงแล้วแสดงคารวะหนึ่งทีไปยังผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสิบท่านก่อน จากนั้นก็เดินไปด้านหน้าของนักพรตจินเป่าที่ได้รับผลพลอยได้ผ่านเข้ารอบโดยไร้คู่แข่งในรอบก่อนหน้าอย่างไม่ลังเล แล้วพูดขึ้นเสียงดัง “สหายจินเป่า ได้โปรดชี้แนะ”
คนที่เหลือทั้งสามต่างสีหน้าเสียใจ
ในผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสิบคนนี้ มีอยู่เจ็ดคนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ ความสามารถไม่ต้องพูดถึง
นักพรตอี๋หร่านถึงแม้จะเป็นระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย แต่ก็ย่ำผ่านผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์จนเข้าสู่รอบสิบคนได้ เห็นได้ชัดว่ารับมือยาก
สำหรับมั่วชิงเฉิน ในการต่อสู้ระหว่างนางกับนักพรตฉงกวน ความสามารถที่แสดงออกมาก็ไม่อาจมองข้าม เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว มีเพียงนักพรตจินเป่าที่ผ่านเข้ารอบโดยไร้คู่แข่งดูเหมือนจะรับมือได้ง่ายที่สุด
สหายไม่ได้โง่เขลาตามคาด!
คนที่เหลือทั้งสามครุ่นคิดอย่างแยบคาย
และไม่ผิดไปจากที่ผู้คนคาดไว้ นักพรตฟางเฝ่ยจากนิกายอวี้กุยเอาชนะนักพรตจินเป่าได้ในที่สุด ได้มีชื่ออยู่ในผู้เข้ารอบทั้งสิบ
นักพรตอี้จั่นที่ขึ้นสู่สนามลำดับสองมาจากตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเล็กๆ ตระกูลหนึ่ง ปกติวางตัวสันโดษอย่างมาก ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร ในการประลองเฟิงอวิ๋นครั้งนี้อาศัยการบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายเข้าสู่รอบสิบห้าคนแรกได้ ก็นับว่าเกินความคาดหมายของผู้คนจำนวนมากแล้ว
เห็นเขาเดินขึ้นไป ผู้คนก็เริ่มถกเถียงกันเงียบๆ ว่าเขาจะท้าผู้ใด
“ข้าว่า เขาต้องท้านักพรตอี๋หร่านแน่”
“มันก็ไม่แน่นะ นักพรตอี๋หร่านเอาชนะนักพรตหลันเหอผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์จนเข้าสู่สิบคนแรกได้ ถ้าเป็นข้า จะไม่เลือกเขาหรอก”
“ถ้าเช่นนั้น คนที่นักพรตอี้จั่นน่าจะเลือกที่สุด คืออาจารย์อามั่วพรรคเราหรือ” ลูกศิษย์พรรคเหยากวงผู้หนึ่งถามขึ้น
ผู้ที่ถูกถามติดด้วยชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของเหยากวงและผลงานของมั่วชิงเฉินก่อนหน้านี้ อ้ำอึ้งอยู่นาน ในที่สุดก็พูดออกมาตามตรง “โอกาสแปดถึงเก้าส่วนเลยละ”
กลับคิดไม่ถึงว่าลูกศิษย์จากพรรคเหยากวงที่กำลังมองหน้ากันอยู่นั้น จะพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ดีเหลือเกิน จะได้เห็นอาจารย์อามั่วต่อยตีอีกแล้ว!”
ลูกศิษย์พรรคอื่นถึงกับหมดคำจะพูด….
นักพรตอี้จั่นขึ้นสู่เวที แสดงคารวะหนึ่งทีไปยังผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสิบเช่นกัน จากนั้นก็กวาดสายตามองคนทั้งสิบอย่างช้าๆ
ผู้คนบนหอเงียบไปทันที กลั้นใจมองดูว่าเขาจะเลือกผู้ใด
นักพรตอี้จั่นละสายตากลับ นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกเท้าเดินเข้าไปด้านหน้านักพรตรั่วซี “สหายรั่วซี ได้โปรดชี้แนะ”
ผู้คนต่างฮือฮากันไปทั่ว
ใครจะไปคิดว่า นักพรตอี้จั่นจะเลือกนักพรตรั่วซี!
ต้องรู้ว่าถึงแม้นักพรตรั่วซีจะเคยถูกขับออกหนึ่งรอบ แต่คู่ประลองของนางนั้น เป็นถึงนักพรตปี้เหลยรากวิญญาณอัสนี ไม่ได้หมายความว่านางไร้ความสามารถ
“นักพรตอี้จั่นตื่นเต้นจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ” มีคนถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็เป็นไปได้นะ นี่มันเกี่ยวพันถึงว่าจะเข้าสู่แดนสวรรค์มี่หลัวตูได้หรือไม่เลยนะ เป็นใครก็ต้องตื่นเต้นกันทั้งนั้น” คนจำนวนไม่น้อยเห็นตาม
“นักพรตอี้จั่นผู้นี้ตาบอดเสียจริง คิดว่าอาจารย์อารั่วซีแห่งพรรคเหยากวงของพวกเราจะรังแกได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ” ลูกศิษย์เหยากวงสองสามคนพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
ลูกศิษย์จะพรรคอื่นที่อยู่ด้านข้างทางขึ้นว่า “พวกเจ้าอยากดูการต่อยตีไม่ใช่หรือ นักพรตรั่วซีต่อยตี ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ลูกศิษย์พรรคเหยากวงต่างกลอกตาขึ้นพร้อมกัน “นั่นจะไปเหมือนกันได้อย่างไร อาจารย์อารั่วซีไม่ได้มีก้อนอิฐสักหน่อย@”
ลูกศิษย์จากพรรคอื่นแทบกระอักเลือด ไม่พูดอะไรต่ออีก
มีเพียงสองคนที่ยืนอยู่มุม หนึ่งในนั้นพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านปู่ ท่านอารองไยจึงเลือกนักพรตรั่วซี ต่อให้นักพรตชิงเฉิงเก่งกว่านี้เพียงใด ก็เป็นเพียงระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย ถ้าเลือกนาง ยิ่งมีโอกาสมากกว่ามิใช่หรือ”
ผู้ชราตบไหล่ผู้บำเพ็ญเพียรวัยรุ่น แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอารองของเจ้าไม่ใช่คนบุ่มบ่าม พวกเราดูต่อไปเถิด”
ตระกูลของพวกเขาพูดให้ดูดีก็คือตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร ในความจริงเมื่อนับให้ดีแล้วกลับมีผู้บำเพ็ญเพียรเพียงห้าคน สองคนระดับหลอมลมปราณ สองคนระดับสร้างรากฐาน โชคดีแค่ไหนที่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายสักคน เป็นที่พึ่งพิงของทั้งตระกูล
นักพรตอี้จั่นไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงตัวเอง ยังต้องช่วยประคับประคองผู้บำเพ็ญเพียรในตระกูลด้วย เช่นนี้แล้ว ไม่ได้เป็นอิสระเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก เผชิญความยากลำบากมานักต่อนัก ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
นักพรตรั่วซีลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังลานประลองอย่างรวดเร็ว ยืนประชันกับนักพรตอี้จั่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกังวานใสว่า “สหายอี้จั่น เชิญ”
ทั้งสองคนโรมรันเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว วิชาอาคมส่องสว่างวาบไปทั่วทั้งฟ้ายิ่งทำให้ดูอัศจรรย์ขึ้นมา สมบัติวิเศษพาดผ่านไปมาเปี่ยมจิตสังหาร ต่อสู้พัวพันกันอย่างอุตลุด
ผู้คนแทบลืมหายใจ มองดูอย่างไม่ละสายตา ลูกศิษย์พรรคเหยากวงจำนวนหนึ่งตะโกนส่งเสียงร้องให้กำลังใจอย่างอดไม่ไหว แต่ผลนั้นกลับเกินคาดไปมาก หลังจากต่อสู้กันนานเกือบครึ่งวัน นักพรตอี้จั่นก็ได้รับชัยชนะอย่างฉิวเฉียด
“นักพรตรั่วซี ท่านอ่อนข้อให้ข้าแล้ว” นักพรตอี้จั่นยืนตัวตรง กุมหมัดคำนับนักพรตรั่วซี
ผู้คนที่ตอนแรกคิดว่านักพรตรั่วซีที่แพ้ให้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย จะไม่อาจมีทางลงมาจากเวที คิดไม่ถึงว่านางจะยิ้มบาง แล้วตอบกลับไปเช่นกัน “เพราะข้าน้อยไม่อาจเทียบความสามารถ ขอแสดงความยินดีกับนักพรตอี้จั่นด้วย”
พูดจบก็เหยียบลงบนสมบัติวิเศษเหาะเหิน แล้วบินไปยังแท่นชมการประลองของเหยากวง
เหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำนั้นไม่ได้รู้สึกเช่นใด แต่ในใจของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงของพรรคเหยากวง กลับรู้สึกหนักอึ้งขึ้นขั้นหนึ่ง
การได้มาและสูญเสียในชั่วพริบตาในโลกของการบำเพ็ญเพียรนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่สำคัญนั้นก็คือสภาพจิตใจและท่าทีของผู้บำเพ็ญเพียร
นักพรตรั่วซีพ่ายแพ้ให้กับผู้บำเพ็ญเพียรที่มีระดับการบำเพ็ญต่ำกว่าตนต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรนับหมื่นพัน แต่กลับกล่าวยินดีด้วยรอยยิ้ม อย่าว่าแต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรชายจำนวนมาก ที่สามารถมีท่าทีเช่นนี้ได้จะมีสักกี่คน สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ระดับแนวหน้าผู้มาจากการสั่งสอนของหรูอวี้เจินจวิน
นักพรตรั่วซีกลับไปยังที่นั่ง ลูกศิษย์เหยากวงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วมองไปยังนางอย่างระวัง แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงของพรรคยังคงสีหน้าปกติ แม้กระทั่งนักพรตจื่อซีที่สนิทกับนางเองก็ไม่ได้พูดอะไร
นักพรตรั่วซียิ้มบางหนึ่งที น้ำเสียงสดใส “มองข้าทำไมหรือ ครั่นเนื้อครั่นตัวหรือ”
บรรดาลูกศิษย์ต่างรู้สึกโล่งอก คนผู้หนึ่งซึ่งใจกล้าก็พูดขึ้นว่า “ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ว่าท่านอาจารย์อารั่วซีประมาท ไม่เช่นนั้นจะแพ้ให้กับผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลเล็กๆ คนหนึ่งได้หรือไม่”
นักพรตรั่วซีหยุดยิ้ม แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “นี่เอ่ยวาจาอันใดกัน การประลองครั้งนี้ ข้าได้ทุ่มเทสุดความสามารถแล้วจริงๆ แพ้แล้วก็ต้องยอมรับแต่โดยดี ในโลกแห่งการบำเพ็ญ ระดับการบำเพ็ญก็มิได้บ่งบอกความสามารถ แพ้ก็คือแพ้ พยายามตั้งใจให้ดีวันหลังจะได้ชนะ แต่ถ้าหากพ่ายแพ้ต่อคุณธรรม นั่นต่างหากเล่าคือการพ่ายแพ้โดยแท้จริง พวกเจ้าจำไว้ให้ดีเถิด”
“ขอรับ” เหล่าบรรดาลูกศิษย์พูดขึ้นอย่างนอกน้อม
ในสายตามั่วชิงเฉิน รู้สึกนับถือนักพรตรั่วซีมากยิ่งขึ้น เมื่อนางและต้วนชิงเกอยังไม่มีชื่อ นักพรตรั่วซีและจื่อซีทั้งสองคนคือผู้บำเพ็ญเพียรที่โดดเด่นที่สุดซึ่งมีอายุน้อยของพรรคเหยากวง ความสัมพันธ์ต่อกันดี แต่นิสัยนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “นักพรตชิงเฉิน โปรดชี้แนะ”
Related