พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 514 มั่วเฟยเยียนเล่าความลับ

มั่วเฟยเยียนนิสัยใจคอเยือกเย็น ไม่ค่อยพูดจา ต่อหน้าสายตาอันเร่าร้อนของผู้คน นางพูดออกมาตามตรงว่า “พรรคลั่วสยามีสาขาหนึ่ง  เชี่ยวชาญศาสตร์การพยากรณ์ดวงดาว ตอนข้ายังเด็กถูกอาจารย์พาไปยังพรรคลั่วสยา ต่อมาหลังจากเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณแล้วจึงได้รู้ว่าพรรคมีสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่ง มีการสร้างหอดูดาว และการทำลายล้างตระกูลมั่วของพวกเรา ก็เกี่ยวข้องกับหอดูดาวแห่งนี้”

“อะไรนะ การทำลายล้างตระกูลมั่วของพวกเรา เกี่ยวข้องกับพรรคลั่วสยาหรือ” มั่วหนิงโหรวร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ

มั่วเฟยเยียนมองนางแย่งเฉยชาปราดหนึ่ง แล้วพูดว่า “เกี่ยวข้องกับหอดูดาวพรรคลั่วสยา” พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลงชั่วขณะ มองไปยังมั่วชิงเฉินหนึ่งที แล้วจึงพูดต่อ “สาขานั้นเมื่อพันปีก่อนมีปฐมาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งไม่รู้ที่ไป มีพรสวรรค์อย่างสูงในการพยากรณ์ดวงดาว เขาทิ้งตำราเอาไว้ กลายเป็นสมบัติประจำพรรค ร้อยปีก่อน บนหอดูดาวในพื้นที่ลับของพรรคลั่วสยา จู่ๆ ก็มีเทพพยากรณ์บังเกิดขึ้น”

“เทพพยากรณ์?” มั่วชิงเฉินใจเต้นตุบ

มั่วเฟยเยียนลองไปยังมั่วชิงเฉิน “น้องสิบหกรู้จักเทพพยากรณ์หรือ”

ณ ที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นญาติพี่น้อง มั่วชิงเฉินจึงไม่คิดจะปิดบัง นางพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เพียงรู้จักคำทำนาย ยังรู้ด้วยว่าในห้าแคว้นของสิบแค้วนแห่งตะวันออกได้ปรากฏแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์ และก็เกิดมาจากเทพยากรณ์เช่นกัน”

เห็นมั่วเฟยเยียน มั่วหนิงโหรวและหัวเสือต่างมองว่ายังนาง จึงหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ยาว ฟังเรื่องที่พรรคลั่วสยาของที่เก้าก่อนเถอะ”

มั่วหนิงโหรวเห็นมั่วชิงเฉินและคนอื่นรู้จักเทพพยากรณ์ มีเพียงตนเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลย อยากทราบเลยปากถาม นางอ้าปากขึ้น สุดท้ายก็ก้มหน้าลงไม่พูดอะไร

มั่วเฟยเยียนชำเลืองมองมั่วหนิงโหรวปราดหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “ในยุคโบราณ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพที่โบยบินไป๋รื่อ เทพพยากรณ์นั้นก็คือเหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นสู่ดินแดนเทพ ใช้วิธีการบางอย่างส่งข้อมูลหรือสมบัติลับบางอย่างข้ามมิติกาละและเทศะให้กับผู้บำเพ็ญเพียรบนโลกมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับตน แต่พยากรณ์เกิดขึ้นที่หอดูดาวของพรรคลั่วสยา มาจากโลกวิญญาณ ผู้ที่ส่งเทพพยากรณ์มา ก็คือปฐมาจารย์ผู้นั้น

“เทพพยากรณ์นี้ เกี่ยวข้องกับตระกูลมั่วของเราหรือ” มั่วชิงเฉินถามน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่ในใจกลับรู้กดดันหนักอึ้ง ราวกลับความลับกำลังจะถูกเปิดเผย

มั่วเฟยเยียนมองมั่วชิงเฉินลึกๆ หนึ่งที แล้วพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบ “ไม่ผิด จะพูดให้ถูกก็คือ เกี่ยวข้องกับเทพยากรณ์ที่หนึ่ง!”

หัวเสือถลึงตาโต “พี่เก้า เจ้าบอกว่า พรรคลั่วสยาได้รับเทพยากรณ์สองครั้งหรือ”

มั่วเฟยเยียนเงียบไป สีหน้าอันเยือกเย็นเผยให้เห็นถึงความไม่เข้าใจ นางพูดออกมาอย่างชัดเจนว่า “ไม่ พรรคลั่วสยาได้รับเพียงเทพยากรณครั้งที่สอง”

“หา แล้วเทพยากรณครั้งแรกไปไหนเสีย” มั่วหนิงโหรวมองไปยังใบหน้าอันเย็นชาของมั่วเฟยเยียน แล้วถามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

มั่วเฟยเยียยกมุมปากขึ้น แล้วยิ้มอย่างเย็นชา  “บางทีปฐมาจารย์จากโลกวิญญาณผู้นั้น ได้ใช้พละกำลังมากเกินไปในการส่งเทพยากรณ์ที่หนึ่งข้ามมิติมา ครั้งที่สองนี้ จึงมีเพียงหกคำคือ ส่งผิด โลกวิญญาณ โดยเร็ว”

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “พี่เก้า หากว่าเช่นนี้ เทพยากรณ์แรก ตกอยู่ในมือฮวาเชียนซูอย่างนั้นหรือ”

มั่วเฟยเยียนชำเลืองมองมั่วชิงเฉินด้วยความชื่นชมและกล่าวอย่างช้าๆ “ก็พอจะพูดเช่นนั้นใด เพราะมีวัตถุวิญญาณที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ พรรคจึงส่งอาจารย์ข้าเซียนเฮ่าเย่ว์ออกไปตามหา เทพยากรณ์นั้น ปรากฎที่ซากโบราณสถานเทพมาร เพียงแต่เมื่ออาจารย์ข้าไปถึง เทพยากรณ์ก็ถูกนักพรตไป๋หมางเจ้านิกายมารแดงหรือก็คืออาจารยของฮวาเชียนซู่ชิงไประหว่างเดินทาง อาจารย์ต่อสู้อย่างดุเดือดกับนักพรตไป๋หมาง และเทพยากรณ์ก็ถูกทั้งสองทำลายไประหว่างการต่อสู้”

“หรือว่า เซียนเฮ่าเย่ว์รวมถึงพรรคลั่วสยาจะไม่รู้เนื้อหาของเทพยากรณ์แรก” แม้ว่ามั่วชิงเฉินจะถาม แต่สีหน้าของนางก็เผยให้เห็นความสงสัย

หากไม่รู้ ไยจึงต้องปิดบังพรรคอื่น แล้วก่อให้เกิดการศึกเต๋ามารขึ้น

นางถึงกลับเดาว่า เทศกาลฮวาเฉาที่ริมฝั่งแม่น้ำยิ่งเสียในปีนั้น เซียนเฮ่าเย่ว์ผู้ปรากฏตัวอยู่กลางกลีบเมฆมายังบ้านตระกูลมั่วรับมั่วเฟยเยียนเป็นศิษย์ มีวัตถุประสงค์อันบริสุทธิ์จริงหรือ

มั่วเฟยเยียนไม่ลีลา มองไปยังทั้งสามคนแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ ในตอนที่ทำลายเทพพยากรณ์ อาจารย์ของข้าได้เห็นเนื้อหาในเทพพยากรณ์ ในนั้นบอกว่ามีกุญแจลับหลายดอกหลุดสู่โลกมนุษย์ และเป็นกุญแจที่ใช้เปิดแดนวิญญาณ และผู้ซึ่งสามารถเข้าไปบำเพ็ญในโลกวิญญาณก็จะมีโอกาสสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการจากการฝึกบำเพ็ญในโลกมนุษย์เข้าสู่ระดับแยกวิญญาณได้ ครั้นแล้วก็เข้าสู่โลกวิญญาณ”

“แต่ นี่มันเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลมั่วของเราหรือ” หัวเสือถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

มั่วเฟยเยียนสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย เงียบอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นช้าๆ “ปฐมาจารย์ผู้นั้นบอกไว้ในเทพพยากรณ์ว่า กุญแจลับที่หลุดร่วงมาเขาไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าทางเข้าโลกวิญญาณอยู่ที่ใด ทำนายออกมาได้เพียงหนึ่งคำ”

มองไปยังพวกมั่วชิงเฉินที่กำลังกลั้นใจฟัง สีหน้าเคร่งเครียด มั่วเฟยเยียนก็พูดออกมาหนึ่งคำว่า “มั่ว”

มั่วหนิงโหรวทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพึมพำขึ้นว่า “ไยจึงเป็นเช่นนี้ ฟ้าช่างไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมจริง…”

หัวเสือตะโกนออกมาว่า “อามิตตาพุทธ หยดเลือดและน้ำตาทั้งตระกูล มาจากเพียงคำคำเดียว เวรกรรม เวรกรรม”

มั่วชิงเฉินเองก็รู้สึกยากที่จะยอมรับ แค่นเสียงพูดว่า “พี่เก้า เช่นนั้น เซียนเฮ่าเย่ว์จึงรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ และฮวาเชียนจึงได้พยายามเข้าหาตระกูลมั่วอย่างสุดความสามารถอย่างนั้นหรือ”

พูดจบก็ส่ายหน้า “ยังไงก็ดูไม่ถูกต้อง ฮวาเชียนซู่ในเมื่อหมายจะแต่งงานกับท่านอาสิบสาม ต้องมีความคิดที่จะเข้าหาผู้ใหญ่สกุลมั่ว หากคิดพยายามที่จะสืบหาความเกี่ยวข้องระหว่างตระกูลมั่วและแดนวิญญาณ เช่นนั้นแล้วไยเขาจึงได้แปรพักตร์ขึ้นมาเสีย แล้วลงมือฆ่าล้างตระกูลมั่วเล่า”

มั่วเฟยเยียนพูดขึ้นน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเพราะสำนักมารฟ้าก็รู้เรื่องเทพพยากรณ์ สำนักมารฟ้าเป็นแกนนำของสำนักมารทั้งสี่  หากพวกเขาจะยื่นมือเข้ามาร่วม นิกายมารแดงย่อมคิดวางแผนไม่ทัน จึงได้จนตรอกเลยก่อเหตุขึ้นมา เพื่อจะบีบบังคับเอาความลับของมั่ว”

มั่วชิงเฉินก้มหน้า พูดกับตัวเองในใจว่า มิน่าเล่า ตระกูลมั่วจึงได้ถูกทำลายเพียงเวลาไม่กี่เดือน ตระกูลหลัวพี่มีสัมพันธ์กับสำนักมารฟ้าก็เข้าอาศัยในจวนตระกูลมั่ว ถ้าเช่นนั้น หลัวอวี้เฉิงเล่า เขา…จะรู้อะไรบ้าง ในเรื่องเหล่านั้นมีอะไรบ้างที่ใช้ประโยชน์ได้

เมื่อคิดขึ้นว่าหลัวอวี้เฉิงเกี่ยวพันกับเรื่องเหล่านี้อย่างหลุดพ้น มั่วชิงเฉินก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ เงยหน้าจ้องเขม็งไปยังมั่วเฟยเยียน “พี่เก้า ข้าจำได้ว่าวันที่ตระกูลมั่วถูกกวาดล้าง นักพรตไป๋หมางพูดไม่ขาดปากให้ตระกูลมั่วส่งมอบสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือตำราคัมภีร์โอสถนพเก้า หรือว่าตำราคัมภีร์โอสถนพเก้าจะเกี่ยวข้องกับแดนวิญญาณ”

มั่วเฟยเยียนส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ แต่งเกรงว่าพวกเจ้าจะคาดเดาไม่ถูก ว่าไข่มุกเม็ดที่เจ็ดหากันมาตั้งแต่อดีตก็ยังไม่พบ ไม่รู้ว่าใครเจอ”

“ใครหรือ” มั่วชิงเฉินใจเต้นตุบ ภาพของชายหนุ่มอมยิ้มมุมปากเคลื่อนไหวไปมาพริ้วไหวดุจสายลมปรากฏขึ้นในความคิด

มั่วเฟยเยียนเงยหน้าขึ้น แล้วพูดน้ำเสียงเรียบ “ว่าที่สามีมั่วหร่านอี หลัวอวี้เฉิง!”

เป็นเขาจริงๆ !

มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งที น้ำเสียงเยือกเย็นลง “มันมีข้อดีอะไรบ้าง”

มั่วเฟยเยียนยิ้มอย่างจืดจาง “เรื่องนั้นข้าสืบไม่พบ อย่างไรก็ตามรวบรวมไข่มุกครบเจ็ดเม็ด กุญแจลับบังเกิด แดนสวรรค์มี่หลัวตูก็จะปรากฏขึ้น ทางเข้าสู่แดนวิญญาณ ก็อยู่ที่แม่น้ำยิ่งเสียเมืองลั่วหยาง หลายปีมานี้ ข้าแอบสืบรู้เรื่องราวเหล่านี้ พวกเจ้าว่าอย่างไร”

มั่วชิงเฉินเหยียดมุมปาก “ไม่ว่าแดนวิญญาณจะมีประโยชน์ต่อคนบนโลกมนุษย์สักเท่าไร ตระกูลมั่วของพวกเราคือผู้เสียหายหนักสุด ยังต้องล้างแค้น”

มั่วเฟยเยียนมองไปยังมั่วหนิงโหรว

มั่วหนิงโหรวกัดริมฝีปาก แล้วพยักหน้า “ชิงเฉินพูดถูก หนิงโหรวอดทนกับชีวิตอันน่าอดสูมาหลายปี อยากเห็นวันที่ได้ความแค้นได้รับการสะสางเช่นกัน”

“หัวเสือ ดูเหมือนเจ้าไม่อยากฆ่าสัตว์ตัดชีวิต” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว ทางขึ้นด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนยิ้ม

หัวเสือประนมนิ้วทั้งสิบ “อามิตตาพุทธ…”

ไม่รอให้เขาพูดตอบ มั่วเฟยเยียนก็พูดขึ้นอย่างเย็นชาประโยคหนึ่งว่า “ล้างแค้นหรือคืนสู่ฆราวาส เจ้าเลือกเอาเองนะ”

มั่วชิงเฉินเหยียดมุมปาก พี่เก้า ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าจะมีตอนที่แยบคายเช่นนี้ด้วย 

นางข้ามมิติมา ได้เห็นร่องรอยอันไม่อาจลบล้างในยุคนั้น รู้ดีว่าหนทางคนผู้หนึ่งเลือก คนอื่นไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย และนับแต่นางได้พบกับหัวเสือ ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะให้เขากลับคืนสู่ฆราวาสเลยสักครั้ง

แต่เหตุผลมั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอียืนกรานให้หัวเสือกลับคืนสู่ฆราวาส นางเองก็เข้าใจอย่างดี

อย่างไรเสียพวกมั่วเฟยเยียนทั้งสองคนก็ไม่ใช้วิธีรุนแรงบีบบังคับหัวเสือ หากหัวเสือยืนการหนักแน่น ใครก็ทำอะไรไม่ได้ หากเขาหวั่นไหว ก็เป็นการทำด้วยใจของเขา ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกทางใด นางก็คิดว่าล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดี

“อามิตตาพุทธ เวรกรรมมิอาจลบล้าง ไม่ต้องพูดถึงบรรลุพุทธิญาณ เณรน้อยอย่างข้าไม่คิดแก้แค้น เพียงแต่ทำให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม” เสือพูดขึ้นเสียงดัง

“เจ้าจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ อย่างไรก็ต้องมีการเข่นฆ่า” มั่วเฟยเยียนพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ

มั่วชิงเฉินพูดขึ้นเบาๆ “พี่เก้า เจ้าไม่ต้องการให้หัวเสือคืนสู่ฆราวาสจริงหรือ”

ผู้บำเพ็ญเพียรที่เกิดจากตระกูลฝึกบำเพ็ญเซียนนั้นแตกต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรที่มาขอเข้าร่วมสำนักตั้งแต่เด็กเหล่านั้น ความคิดปณิธานที่สืบทอดมาจากตระกูลนั้นเข้มแข็งหนักแน่น

มั่วเฟยเยียนตอบกลับอย่างเย็นชา “ตอนนี้ค่าเพียงแต่ให้เขาเลือกว่าจะแก้แค้นหรือคืนสู่ฆราวาส เขาเลือกที่จะแก้แค้น เช่นนั้นแล้วหลังจากแก้แค้นสำเร็จ ก็ค่อยคืนสู่ฆราวาส”

มั่วชิงเฉินอ้าปาก พี่เก้า เจ้าช่างร้ายนัก!

เมื่อเห็นว่าได้มติเป็นเอกฉันท์แล้ว มั่วเฟยเยียนก็กวาดสายตามองคนทั้งสามหนึ่งที แล้วพูดขึ้นว่า “ศัตรูคู่แค้นใหญ่ที่สุดของพวกเราก็คือนิกายมารแดง คนแรกที่ข้าอยากจะสังหาร ก็คือนักพรตไป๋หมาง”

“แล้วฮวาเชียนซู่เล่า” มั่วหนิงโหรวพูดอย่างรังเกียจ

หัวเสือถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร

มั่วเฟยเยียนมองไปยังหัวเสือ “หัวเสือ ข้ารู้ว่าฮวาเชียนซู่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า อนาคตเมื่อข้าหาตัวฮวาเชียนซู่พบ เจ้าไม่ต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ตอนนี้ ไม่สามารถปล่อยฮวาเชียนซู่ไปได้”

“ทำไมหรือ” มั่วหนิงโหรวถามขึ้นอย่างสงสัย

“ข้าเคยประมือกับเขา ตอนแรกคิดว่าอาศัยเคล็ดวิชารากวิญญานพิเศษของตัวเอง แม้ว่าระดับการบำเพ็ญเพียรจะต่ำกว่าก็ยังคงมีโอกาสบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกเขาสกัดเอาไว้ ไม่ใช่อาจารย์ตามมาทัน ไม่แน่ว่าข้าคงไม่ได้ยืนที่นี่ตอนนี้ ไหนไม่รู้ว่าฮวาเชียนซู่ได้เรียนรู้วิชาชั่วร้ายอะไรมา จึงได้เลื่อนระดับการบำเพ็ญเพียรสู่ขั้นก่อกำเนิดในเวลาอันสั้น  ทั้งที่ข้าและอาจารย์ร่วมมือกันอาจารย์ของข้ายังถูกทำให้บาดเจ็บสาหัส ด้วยเช่นนี้ เจ้านิกายมารแดงยังไปก่อกวนพรรคลั่วสยา ตำหนิว่าพวกข้าศิษย์อาจารย์ก่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างเต๋ามารโดยไร้เหตุผล”

“เจ้าสำนักพรรคลั่วสยาไม่ได้เรียกร้องความเป็นธรรมเลยหรือ” มั่วหนิงโหรวถาม

มั่วเฟยเยียนตอบน้ำเสียงเรียบ “ตอนนี้เต๋า มา ปีศาจ ทั้งสามฝ่ายต่างบรรลุข้อตกลงกัน มองผิวเผินดูสงบนิ่ง เว้นเสียแต่วันนั้นพวกข้าปล่อยฮวาเชียนซู่ไป ไม่ตรวจสอบให้แน่ว่าเป็นตายร้ายดี แต่เขากลับไป แล้วบอกว่าพวกข้าเป็นฝ่ายทำร้ายก่อน เจ้าสำนักหร่วนเองสุดวิสัย ไหนเจ้านิกายมารแดงจะยังเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรและดับปัจฉิมอีก”

“ก็หมายความว่า พวกเราลงมือไม่ได้ อาจจะลงมือแล้ว ก็ต้องตายกันไปข้างใช่ไหม” มั่วชิงเฉินถามอย่างนิ่งสงบ

มั่วเฟยเยียนพยักหน้า “ใช่แล้ว ดังนั้นถ้าจริงหรือนักพรตไป๋หมาง เขาเป็นระดับก่อแก่นปราณช่วงปลาย ชิงเฉินเจ้าเองก็ใช่ รวมข้ากับหัวเสือด้วย ก็เพียงพอที่จะสังหารเขาได้อยากแน่นอน”

ได้ยินมั่วเฟยเยียนพูดคำว่าสังหารออกมาอย่างเยือกเย็น ใจมั่วชิงเฉินก็รู้สึกคุกรุ่นขึ้นมาทันที ยื่นเรือนนิ้วเรียวบางสะกิดมั่วเฟยเยียนหนึ่งที “เอาเลย!”

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset