มู่หว่านฉิงดึงหลินเช่อเอาไว้ “ช่างมันเถอะเสี่ยวเช่อ ไม่ต้องไปสนใจสตรีหมายเลขหนึ่งอะไรนั่น ไปกันเถอะ เราไม่ต้องไปสนใจเธอหรอก”
ลู่ชูเซี่ยบอก “คุณน้าคะ คุณน้าเองก็คงเห็นว่าหลินเช่อไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาสู้ฉันได้ใช่ไหมคะ ถึงได้รีบห้ามแบบนั้น ก็จริง มิน่าล่ะพวกคุณถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับหลินเช่อ ให้เธอไปร่วมงานเลี้ยงใหญ่ๆ แบบนั้น เพราะพวกคุณรู้ว่าเธอไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงพอ ใช่ไหมคะ”
หลินเช่อปล่อยมือมู่หว่านฉิง หันกลับมามองลู่ชูเซี่ย “ฉันกล้ารับคำท้าของเธอ แต่ถ้าหากเธอแพ้ ฉันหวังว่าเธอจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับตระกูลกู้อีก ประตูใหญ่ก็อย่าเหยียบเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว”
ลู่ชูเซี่ยไม่คิดว่า หลินเช่อจะรับคำท้าจริงๆ
เธอยิ้ม มองหลินเช่อ
มองไปที่เธอด้วยสายตาดูถูก เธอบอก “ได้ ฉันตกลง”
อวี๋หมินหมิ่นมองหลินเช่ออย่างตกใจ
เธอรู้หรือเปล่าว่าตัวเองตอบตกลงอะไรไป
____
อวี๋หมินหมิ่นเดินอยู่บนสนามหญ้าไปพร้อมๆ กับหลินเช่อ
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ได้เดินออกห่างจากกลุ่มคนมาไกลแล้ว จึงพูดกับหลินเช่อ “เมื่อสักครู่ฉันลองไปถามเรื่องการเลือกสตรีหมายเลขหนึ่งมาบ้างแล้ว”
“เป็นไง”
“เธอบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงไปตอบตกลงอะไรแบบนี้”
หลินเช่อถาม “สรุปว่ามันคืออะไรกันแน่”
“การเลือกสตรีหมายเลขหนึ่งที่เขาว่ากัน คืองานเลี้ยงดับเบิ้ลยูดับเบิ้ลยู ในทุกๆ ปี งานเลี้ยงดับเบิ้ลยูดับเบิ้ลยูนั้นเป็นชื่อย่อของ WOMENWAI ความหมายก็คือการต่อสู้ของผู้หญิงใช่ไหมล่ะ ความจริงมันเป็นงานเลี้ยงของผู้หญิงชนชั้นสูงรวมตัวกันจัดขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ผู้หญิงลุกขึ้นมาแสดงถึงอำนาจของผู้หญิง คนที่เข้าร่วมก็มีแต่พวกคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย ยังไงซะคนที่ไปร่วมงานถ้าไม่ใช่นายหญิงของตระกูลไหนก็คงเป็นคุณหนูของตระกูลอะไรแบบนั้น คนทั่วไปใช่ว่าจะเข้าร่วมได้ง่ายๆ”
“ฟังเหมือนจะร้ายกาจไม่เบา”
“แน่นอนสิ สิ่งที่ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ งานเลี้ยงทุกครั้งพวกเขาจะเตรียมหัวข้อที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้ทุกคนได้แข่งขันกัน อย่างเช่นครั้งก่อนมียิงธนู กอล์ฟ แล้วก็ยิมนาสติก ครั้งก่อนหน้านั้นมีเปียโน บัลเล่ห์ และฟันดาบ”
“ว้าว บ้าขนาดนี้เลยเหรอ ฉัน…ฉันไม่เป็นสักอย่างเลย” หลินเช่อพลันขนลุกขึ้นมา “งั้นครั้งนี้คืออะไร”
“ครั้งนี้ยังไม่กำหนดเลย เดี๋ยวอีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงน้ำชา ทุกคนจะตกลงกัน ฉันคิดว่ามันคงจะไม่ได้ปกติสักเท่าไหร่หรอก คงจะออกแนววิปริตซะมากกว่า”
“แล้วจะทำยังไงดี…” หลินเช่อรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมพรางซะแล้ว
เธอนึกว่าจะมีแค่ร้องเพลง เต้นรำอะไรพวกนั้น คิดว่าน่าจะรับมือได้
แน่นอน เพราะเธอวู่วาม รับปากเร็วเกินไป
ตอนนี้พึ่งมารู้สึกว่ามันยุ่งยาก
อวี๋หมินหมิ่น “และมันยังบ้ามากด้วย…” อวี๋หมินหมิ่นตั้งใจหยุดชั่วครู่ เม้มปากมองหลินเช่อ “ลู่ชูเซี่ยได้อันดับหนึ่งติดต่อกันสองครั้งแล้ว”
“…” ลู่ชูเซี่ยบ้าขนาดนั้นเลยเหรอ
อวี๋หมินหมิ่นบอก “ไม่งั้นเธอคงไม่ได้เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งหรอก ยังไงก็ยังมีความสามารถอยู่บ้าง”
หลินเช่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจเสียขึ้นมา
เธอไม่ควรวู่วามไปรับปากแบบนั้นเลย
“ช่างเถอะ ยังไงก็แค่ขอโทษ อย่างมากก็แค่ยอมรับว่าฉันไม่เหมาะสมกับกู้จิ้งเจ๋อ ยังไงซะ…ความจริงฉันก็ไม่เหมาะจริงๆ นั่นแหละ”
“เอาล่ะ อย่าพูดโง่ๆ เลย” อวี๋หมินหมิ่นบอก “กู้จิ้งเจ๋อไม่ใช่คนโง่ เหมาะหรือไม่เหมาะ ตัวเขาเองจะไม่รู้หรือยังไง เขาดีกับเธอ นั่นแปลว่าเธอเหมาะสม เธอจะสนทำไมว่าคนอื่นจะพูดยังไง คนอื่นไม่ได้เข้าใจเธอสักหน่อย คนที่เข้าใจเธอที่สุด ก็คือคนที่อยู่กับเธอคนนั้นต่างหาก”
“ฉันรู้แล้ว ฉันก็ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจด้วย ก็แค่ นี่มันเรื่องจริงนี่นา ก็คิดซะว่าพูดความจริงออกไปก็พอแล้ว” หลินเช่อบอก
____
ลู่เป่ยเฉินมองเห็นลู่ชูเซี่ยเดินออกมา ก็ตามออกไปทันที
“ชูเซี่ย เธอไปทำตัวเป็นศัตรูกับหลินเช่อแบบนั้น ไม่มีมารยาทเลยสักนิด การถ้าทายเมื่อสักครู่ เธอไปท้าหลินเช่อเอง อย่าทำแบบนี้อีกต่อไปเลย มันไม่มีประโยชน์ด้วยซ้ำ”
“เรื่องอะไรล่ะ เรื่องนี้ฉันรับปากเอง ยิ่งไปกว่านั้น ก็แค่สตรีหมายเลขหนึ่งไหม ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ เธอก็ไม่คู่ควรกับผู้ชายที่ยิ่งใหญ่อย่างกู้จิ้งเจ๋อ”
ลู่เป่ยเฉินบอก “เธอทำแบบนี้ไม่คิดว่ามันเด็กไปหน่อยเหรอ ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็ให้พ่อเปิดบริษัทให้ ถ้ามันแย่จะได้ไม่ต้องไปโทษคนอื่น”
ฉันไม่ต้องการบริษัทอะไรทั้งนั้น” เธอประจันหน้ากับลู่เป่ยเฉิน “พี่ก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน เรื่องของพี่เองยังจัดการไม่ได้เลย ยังจะมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีก หลบไป”
“ฉันไม่ยุ่งกับเธอก็ได้ แต่ว่าเธอก็ไม่ต้องมาขอเงินกับฉัน” ลู่เป่ยเฉินส่งเสียงหึออกมา มือไขว้หลังเดินเข้าด้านใน
“นี่ พี่ใหญ่ พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันก็แค่โมโหเธอเท่านั้น เพราะทุกคนต่างเข้าข้างเธอ ฉันก็ต้องโกรธอยู่แล้วสิ ฉันเป็นน้องสาวพี่นะ อีกทั้ง นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เข้าร่วมคัดเลือกแล้วยังไง พี่ใหญ่ พี่ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน ฉันต้องเตือนพี่ก็คือ จับตาดูพี่สะใภ้ฉันไว้ให้ดีล่ะ ช่วงนี้เธอมีคนมาจีบไม่น้อยเลยนะ”
ลู่เป่ยเฉินสายตาวูบไหว หันกลับมา ดวงตาทะมึนวาวโรจน์
ลู่ชูเซี่ยเล่นเล็บตัวเอง ลูบสีเคลือบเล็บบนนิ้ว “พี่สะใภ้เป็นคนสวยขนาดนั้น มีคนมาชอบเธอก็เป็นเรื่องปกติ พี่ก็อย่าพึ่งตื่นตระหนกไป ฉันแค่เตือนพี่นิดหน่อย อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่นให้มาก จับตาดูเธอให้ดี ไม่งั้น ถูกคนอื่นแย่งไป จะมาเสียใจทีหลังนะ”
ลู่เป่ยเฉินยืนอยู่ตรงนั้น มองเธอเดินจากไปเงียบๆ
____
เมื่อเดินกลับเข้าไปก็มองเห็นกู้จิ้งเหยียนกำลังยืนคุยกับคนอื่นอยู่ตรงนั้นพอดี
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ พบว่าคนที่ยืนคุยอยู่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลู่เป่ยอวิ้นนั่นเอง
เป็นลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของตระกูลลู่ สำคัญกว่านั้นคือ เป็นคนที่เข้ามาพัวพันกับกู้จิ้งเหยียนตั้งแต่สมัยมัธยม
ลู่เป่ยเฉินกระแอมไอ
ลู่เป่ยอวิ้นเห็นลู่เป่ยเฉินเดินเข้ามาจึงรีบบอก “งั้นถ้ามีเรื่องอะไรก็มาหาผมได้ จะช่วยเหลือเต็มที่ ยังไงซะเราก็เป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องเกรงใจผม จริงสิ อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงรุ่น อย่าลืมไปนะ”
แม้ว่าลู่เป่ยอวิ้นจะเป็นญาติกับตระกูลลู่ แต่ว่า กลับเทียบตระกูลลู่ไม่ได้แม้เพียงครึ่งเดียวด้วยซ้ำ
อีกทั้งลู่เป่ยเฉินยังเป็นเชื้อสายหลักของตระกูลลู่ ต่อไปต้องได้รับตำแหน่งต่ออย่างแน่นอน
ลู่เป่ยเฉินไม่เห็นหัวเขาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องอยู่ให้ห่างเข้าไว้
กู้จิ้งเหยียนเห็นว่าลู่เป่ยเฉินเดินเข้ามา จึงเอ่ยขึ้น “พอดีเลย อย่าลืมแบ่งๆ ของขวัญกันไปล่ะ ฉันคงไม่ได้ไปบ้านคุณหรอก แม่ยังบอกอีกว่าอาทิตย์หน้าจะไปต่างประเทศสักพัก ฉันเตรียมตั๋วเครื่องบินไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เครื่องของตระกูลลู่ไม่ว่าง ฉันว่าจะใช้เครื่องบินและเส้นทางของตระกูลกู้แทน”
ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยขนาดนี้ ทำให้คนไร้ซึ่งหนทางโต้แย้ง หาข้อบกพร่องไม่ได้เลยสักนิด ก็เหมือนกับเธอที่ไร้ข้อบกพร่อง ทำอะไรไม่ได้เลย
ลู่เป่ยเฉินถาม “เขามาทำอะไร”
“ก็แค่คุยกันไปเรื่อย”
“กู้จิ้งเหยียน เขาสนใจคุณตั้งแต่สมัยมัธยม ตอนนี้ยังจะสนิทสนมกับเขาอีก คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า”
Related