บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 302 คลายใจ
ตอนที่ 302คลายใจ
“จริงด้วย” หยงเว่ยพูดขณะใช้พลังมารของตนตรวจสอบร่างของไปหลินแม้จะเล็กแต่ก็มีพลังมารอยู่ในร่างจริงๆ
“แบบนี้ไปหลินจะเป็นอะไรหรือเปล่า” เหม่ยหลินถามพลางมองบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้เหมือนนางได้ทราบข่าวว่าบุตรสาวเป็นโรคร้ายไม่มีผิดแถมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้อีกต่างหาก
“ถ้าปล่อยให้มารในร่างครอบงําก็จะเลวร้ายขึ้น คงต้องให้ไปหลินฝึกวิชาควบคุมจิตมารเอาไว้” หยงเว่ยพูดจบก็หันไปมองเหล่า เด็กๆของตนข่าวที่ว่ามารทั้งหมดโดนจัดการไปแล้วนับเป็นข่าวดีมากแถมการดูดซับพลังมารของมารตนอื่นๆยังทําให้หยงเว่ยทะลุระดับเจ้าสวรรค์ไปแล้วอีกต่างหาก ตอนนี้คงหาคนที่จะมาทําร้าย เด็กๆของมันได้แต่ข่าวร้ายที่ว่าไปหลินกลายเป็นร่างใหม่ของราคะ ก็ทําเอาหยงเวยลําบากใจเช่นกันมันไม่สามารถฆ่านางเพื่อเอารา คะออกมาได้อย่างแน่นอน นอกจากความจริงที่นางยังเด็กและพ่อแม่ของนางก็เป็นสหายคนหนึ่งของหยงเว่ยอีก ทางเดียวที่จะรับมือได้ก็คงเป็นการควบคุมพลังมารเอาไว้
“ท่านลุงเวย”ไปหลินว่าพลางมองมาทางหยงเว่ย นางกระตุกชายเสื้อของหยงเว่ยเบาๆพร้อมใบหน้าที่ราวกับจะอยากพูดอะไรออกมา
“อะไรเหรอ” หยงเว่ยถามพลางนั่งยองๆลงนั่งคุยกับไปหลิน
“พี่สาวราคะอยากจะคุยด้วยค่ะ”ไปหลินพูดออกมาด้วยท่าทีซื่อๆทําเอาหยงเว่ยสะท้านวาบ มันเห็นพลังมารของนางค่อนข้างน้อยก็นึกว่าจิตมารยังไม่ก่อตัวดีเสียอีก แต่หากราคะสามารถส่งเสียงไปหาไปหลินได้แล้วแสดงว่านางเข้าครอบงําไปหลินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อย่าพี่…”หยงเว่ยยังไม่ทันห้าม อยู่ๆบรรยากาศรอบตัวไปหลินก็เปลี่ยนไป
ฟุบ.ดาบมรกตในมือหยงเวยพุ่งวาบเข้ามาหาไปหลินทันที แต่กลับโดนฝ่ามือของเหม่ยหลินห้ามเอาไว้ แต่ดาบของหยงเว่ยก็ไม่มีจิตสังหารเลยทําให้เหม่ยหลินเพียงกันมันกลับไปเท่านั้น
“ใจเย็นๆสิโทสะ”ราคะว่าพลางจ้องมองหยงเวยด้วยท่าที่นิ่งเรียบนางพอจะทราบมาว่าโทสะตอนนี้ใจอ่อนมากไม่กล้าทําอะไรเด็กหรอกนางจึงไม่คิดว่าโทสะจะกล้าฟันลงมาจริงๆแต่อย่าไร
“ยินดีที่ได้รู้จักทุนท่าน ข้าคือราคะ หนึ่งในมารชั้นสูงเช่นเดียวกับมารตนอื่นๆที่อยู่ในร่างของโทสะ ราคะแนะนําตัวพลางมองไปรอบๆไม่ว่าจะอี้หมิง เหม่ยหลิน หยงเว่ย รวมทั้งน้าไก่ฟ้าที่ยืนห่างออกไปด้วย
“ก่อนอื่นขาขอแก้ความเข้าใจผิดก่อน”ราคะในร่างของไปหลินว่าพลางมองมาทางอี้หมิงที่เรียกกระบออกมาแล้วแต่ยังไม่ได้ทําอะไรต่อ
“ตัวข้าไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับแผนการของเฟิงมีแต่อย่างไรเรื่องสังหารอาจารย์ของเจ้าก็ไม่เกี่ยวกับข้าเช่นกัน”ได้ยินเช่นนั้นอู่หมิงก็ขมวดคิ้วมั่นทันที
“จริง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาราคะไม่เคยยึดร่างของเฟิงมีเลย” หยงเว่ยตอบพลางจับบ่าของอู่หมิงเอาไว้
บฉบ 1
“เจ้ารู้ได้ยังไง” อุ้หมิงถามพลางมองมาทางหยงเว่ย
“มารตนอื่นๆยืนยันเช่นนั้น” หยงเว่ยตอบออกมาตามตรง แม้จะยังสามารถควบคุมได้ แต่มารทั้ง 6 ตนก็สามารถพูดคุยกับหยงเว่ย ได้ในจิตของมันซึ่งมาร 5 ตนที่เคยอยู่กับเฟิงมีมาต่างยอมรับออกมาตรงๆว่าราคะไม่เคยเข้าไปยุ่งอะไรกับเฟิงมีเลย นอกจากสอนและฝึกฝนวิชาให้เท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็…”อู่หมิงเก็บกระบี่ไปพลางถอนหายใจออกมาแม้จะสามารถไม่เชื่อได้ แต่อู่หมิงยอมที่จะเชื่อดีกว่า เพราะถ้ามันฆ่าไปหลินไปก็เท่ากับเปิดสงครามกับกองทัพอสูรเท่านั้น แถมยอดฝีมืออย่างเหม่ยหลินที่เป็นแม่ของนางอาจจะฆ่ามันตรงนี้เลยก็ได้
“แล้วก็มีอีกเรื่องที่พวกเจ้าต้องรู้”ราคะว่าพลางมองไปทางเหม่ยหลิน
“บุตรสาวของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนเป็นมาร”ได้ยินเช่นนั้นไม่ใช่แค่เหม่ยหลิน แม้แต่คนรอบๆก็มีท่าที่งุนงงเช่นกัน
“ หมายความว่ายังไงไม่ได้เปลี่ยนเป็นมาร” หยงเว่ยถามออกไปเพราะแม้แต่ตัวมันยังไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้
“ขั้นแรกในการฝึกวิชามารคือการเปลี่ยนตนเองเป็นมารเสียก่อนในกรณีของราคะ ร่างของผู้ฝึกจะเปลี่ยนพลังวิญญาณเป็นพลังมารและจะมีความต้องการทางเพศสูงกว่าคนปกติราคะตอบออกไปด้วยท่าที่นิ่งเฉยเพราะนางได้คิดมาตลอดทางแล้วว่ามันคืออะไรกันแน่
“แต่ไปหลินไม่ใช่ นางนอกจากจะไม่เปลี่ยนเป็นมารแล้วยังเอาพลังมารมาใช้เป็นของตัวเอง นางจะสามารถฝึกวิชามารได้แต่จะยังคงเป็นมนุษย์ นางน่าจะไม่มีอาการทรมานหากขาดเรื่องอย่างว่าหรอก”ราคะตอบออกไปเพราะปกติผู้ฝึกวิชาของราคะจะมีความหยากมากกว่าคนปกติ และหากไม่ระบายความหยากนั่นพลังมาร ในร่างจะปั่นป่วนบางที่ถึงขั้นธาตุไฟเข้าแทรก ซึ่งอันตรายมาก แน่นอนว่าสามารถใช้วิชาสะกดมารเอาไว้ได้ แต่สําหรับไปหลินนั้นไม่จําเป็น
“เจ้าจะบอกว่าไปหลินมีร่างกายเหนือกว่ามารงั้นเหรอ” หยงเว่ยถามพลางมองไปยังร่างเล็กๆของไปหลิน แม้จะเด็กแต่นางก็มีผิวหนังของอสูรแมงมุมเหมือนไปจูเหวิน แถมดวงตายังมีประกายหลากสีสองออกมาให้เห็นอยู่ตลอด เรียกได้ว่าแต่เดิมร่างของนางก็ เป็นกึ่งอสูรอยู่แล้วทําให้นางไม่ได้โดนเปลี่ยนเป็นมาร แต่อยู่เหนือ กว่าพลังมารเช่นนั้นหรือ
“มิน่าล่ะพลังวิญญาณของนางถึงยังอยู่ ข้านึกว่าราคะมีพลังวิญญาณเป็นปกติเสียอีก” อูหมิงว่าพลางถอนหายใจออกมา แต่คนที่โล่งอกที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเหม่ยหลินนี่ล่ะ
“เช่นนั้น นางก็ไม่เป็นไรงั้นหรือ” เหม่ยหลินถามพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ใช่ ตอนนี้พลังมารในร่างของนางก็เหมือนกับพลังอสูรของนางนั่นล่ะแถมข้าก็ไม่อยากยึดร่างของนางด้วย”ราคะว่าพลางถอนหายใจออกมา
“ทําไมเจ้าถึงไม่อยากยึดร่างของไปหลินล่ะ ในเมื่อมารทุกตนอยากทํา” หยงเว่ยถามพลางมองไปทางไปหลินอย่างสงสัย แม้ทุกวันนี้พวกมารในร่างของมันก็ยังคงอยากยึดครองร่างของหยงเว่ยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหากมันพลาดก็จะโดนชิงร่างไปง่ายๆเลย
“ก็เพราะข้าเข็ดแล้วยังไงล่ะ” ราคะตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ
“เข็ด?”แน่นอนว่าคําพูดเพียงเท่านั้นไม่สามารถทําให้คนรอบๆเข้าใจได้
“อย่างที่พวกเจ้าเห็น พลังของราคะมีผลดีตรงที่ทําให้คนรอบข้างหลงใหล มีอยู่ครั้งนึ่งข้าเกิดตกหลุมรักมนุษย์คนหนึ่งเข้า”ราคะว่าพลางเลื่อนมือขึ้นมาจับเส้นผมของตนเองเบาๆ
“มันเป็นคนที่ไม่หลงใหลพลังของราคะ ทําให้ข้าตอนนั้นพยายามจะทําให้มันสนใจ” เห็นราคะเล่าออกมาเช่นนี้ดวงตาของไปหลินกลับมีประกายแปลกๆโผล่ออกมา มันเป็นดวงตาของคนมีความรักอย่างแน่นอน และนั่นก็เป็นดวงตาที่เด็กอายุ 5 ขวบยังไม่ควรมีเพราะมันเหมือนเป็นรักที่ลึกซึ้งอย่างมาก
“สุดท้ายข้าก็รักมัน และอยู่ด้วยกัน..แต่มารไม่มีวันตายพอร่างเก่าตายลงข้าก็มีคนใหม่เก็บพัดหยกขาวได้” ราคะว่าพลางหัวเราะออกมาเสียงเบา
“พอไม่มีคนรักอยู่แล้ว ข้ากลับรู้สึกเหงามาก ข้าเลยตัดสินใจจะไม่ยึดร่างของคนที่เก็บพัดหยกขาวได้ แล้วจะอยู่เฝ้ามองเพียงเท่านั้น” ราคะตอบออกมาด้วยใบหน้าที่จริงใจอย่างมาก ทําเอาพวกหยงเว่ยได้แต่มองหน้ากัน
“แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็จะสอนวิชาควบคุมมารให้ไปหลินเอาไว้ก่อน” หยงเว่ยตอบพลางถอนหายใจออกมา มันไม่ทราบว่าจะเชื่อใจราคะได้ไหมแต่กันไว้ก็ดีกว่าแก้ไม่ใช่หรือ
“ไม่จําเป็น ข้าสอนให้นางไปแล้ว”ราคะตอบพลางยิ้มออกมาระหว่างทางมาหลังจากนางตกลงกับพวกอสูรแมงมุมได้ ราคะก็ได้สอนวิชาควบคุมมารเอาไว้ให้ไปหลินเสียก่อน เพราะยังไม่ทราบชัดว่านางจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังมารเลยหรือไม่
“เจ้าสอนให้ไปแล้ว? ทําไมมารอย่างเจ้าถึงสอนได้” หยงเว่ยพอฟังก็ไม่เข้าใจขึ้นมาทันที วิชาควบคุมมารที่มันได้มาจากอสูรกวางที่อยู่ในเขากับมารดาจิ้งจอกของมัน ทําไมถึงมีมารรู้แถมยังสอนให้คนอื่นได้อีกต่างหาก
“เพราะคนที่คิดค้นวิธีควบคุมมารก็คือมารราคะในยุคหนึ่งยังไงล่ะ” ราคะว่าพลางยิ้มออกมาวิชาเช่นนี้หากไม่ใช่คนที่ฝึกวิชามารคิดแล้วจะเป็นใครไปได้
“แม้แต่วิชาเทวะปราบมารของเจ้าก็ยังเป็นมารตนนั้นคิดค้นขี้นมาเช่นกัน” ราคะตอบพลางมองไปทางอู่หมิงมิน่าเล่าหยงเว่ยถึงสามารถฝึกวิชาเทวะปราบมารได้ทั้งๆที่มันควรเป็นวิชาที่มารฝึกไม่ ได้ ที่แท้ผู้คิดค้นวิชาขึ้นมาก็เป็นมารนี่เอง
“ที่ข้ามาบอกทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าสบายใจ”ราคะว่าพลางหลับตาลงช้าๆ ก่อนที่บรรยากาศของนางจะเปลี่ยนไป ท่าทางนางจะปล่อยให้ไปหลินกลับมาบังคับร่างได้แล้ว
“ท่านแม่”ไปหลินว่าพลางมองไปทางเหม่ยหลินพอราคะไม่อยู่แล้วเหม่ยหลินก็เข้าไปกอดบุตรสาวเอาไว้ทันที
“ข้าไม่ได้รู้สึกไม่สบายจริงๆนะ แถมพี่ราคะก็ใจดีกับข้ามากเลยตลอดทางพี่สอนวิชาควบคุมมารให้ข้ามาตลอดทางจริงๆนะ”ไปหลินตอบพลางกอดมารดาของนางตอบ
“จ่ะ แม่เชื่อเจ้า” เหม่ยหลินว่าพลางกอดบุตรสาวแน่นขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยตอนนี้นางก็ไม่ได้เป็นมารนับว่าโล่งอกไปเปราะหนึ่ง
“ถ้าเจ้ามีอาการไม่ดีก็มาถามลุงได้นะ” หยงเว่ยว่าพลางเรียกเอาพัดหยกขาวออกมาจากมิติของมันก่อนจะมอบมันให้กับไปหลินไป
“แล้วแบบนี้ไปหลินจะมีพลังอย่างราคะหรือเปล่า”อู่หมิงถามพลางมองมาทางเหม่ยหลิน พลังของราคะน่ากลัวใช่เล่น แม้แต่ยอดฝีมือยังยอมทําตามคําสั่งของเฟิงมีเลย
“ไม่รู้หรอก” หยงเว่ยตอบพลางมองไปทางไปหลิน
“งั้นลองพิสูจน์ไหม”อูหมิงเสนอก่อนที่พวกมันจะพากันย้ายไปที่เขตของเมืองหลวงโดยจะพาไปหลินเข้าไปเดินในตลาดดูว่าจะมีผลกับคนรอบข้างหรือไม่
“จริงด้วย มีคนมองไปหลินเต็มไปหมดเลย” ทันทีที่ไปหลินเดินเข้าไปในตลาดทั้งชายทั้งหญิงต่างก็หันมามองกันเป็นตาเดียว
“มะ ไม่…ข้าว่าที่มองอยู่นี่ก็มองแบบปกตินะ” หยงเว่ยว่าพลางมอบไปรอบๆ นอกจากองค์จักรพรรดิจะมาเดินเล่นในตลาดแล้วยังมีสาวงามประจําอาณาจักรอูและบุตรสาวมาเดินแบบนี้ไม่ว่าจะหลงเสน่ห์ของราคะหรือไม่ก็ต้องมองไม่ใช่หรือ
“ถ้าอย่างนั้น ไปหลินเจ้าลองไปขอลูกกวาดจาดลุงคนนั้นดูเป็นไง”อูหมิงว่าพลางชี้ไปทางลุงเจ้าของร้านขายขนม
“ค้า”ไปหลินว่าพลางเดินเข้าไปหาลุงเจ้าของร้าน ก่อนจะพูดคุยกับไม่กี่คําลุงคนนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะให้ลูกกวาดไปหลินมานิดหน่อย
“เอ่อ…” ทั้งอูหมิงทั้งหยงเว่ยต่างถอนหายใจออกมาอาการมันจะบอกว่าหลงใหลก็ใช่ แต่มันแยกไม่ออกจริงๆว่าที่เป็นแบบนี้เพราะไปหลินน่ารักอยู่แล้วหรือเพราะพลังมารกันแน่สุดท้ายการทดสอบก็ล่มไปทั้งๆแบบนั้น ได้แต่รอดูว่าหลังจากนี้จะมีผลอะไร อีกหรือไม่