ตอนที่ 271
นางอิจฉา
“แม่นาง เจ้าสวยดีนี่นา สนใจจะร่วมทางไปกับพวกเราหรือเปล่า” ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนรถม้าถามพลางมองหญิงสาวคนหนึ่งที่กําลังเดินอยู่ระหว่างทาง
“โอ้ สวยจริงๆด้วยวะ” ชายอีกคนที่อยู่บนรถม้าว่าพลางยิ้มกว้าง ท่าทางพวกมันจะสนใจหญิงสาวคนนี้ไม่น้อย
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หญิงสาวว่าพลางยิ้มบางๆด้วยท่าทางอ่อนหวาน
“เจ้าไม่มีพลังวิญญาณนะ เดินทางคนเดียวแบบนี้อันตรายจะตาย” ชายคนเดิมว่าพลางตบลงบนที่นั่งราวกับจะบอกให้นางขึ้นมา
“ไม่ค่ะ ข้าสบายดี” หญิงสาวยังคงยิ้มและปฏิเสธต่อ
“ก็บอกให้ขึ้นมาไง” ชายคนหนึ่งบนรถม้าว่าพลางกระโดดลงไป หมายจะคว้าตัวหญิงสาวขึ้นมาบนรถ หากเป็นปกติผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณแม้จะเพียงชั้น 1 ของระดับแรกเริ่มก็คงสามารถฉุดหญิงสาวขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ทันทีที่มันเข้าไปอุ้ม เท้าของหญิงสาวก็เตะพรวดเข้ามาที่มันเสียก่อน
“ก็บอกว่าไม่ไงยะ ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง” หญิงสาวเปลี่ยนท่าทีไปทันทีก่อนออกแรงถีบจนร่างของชายคนนั้นกระเด็นไปด้านหลัง
“ยัยนี่ไม่ใช่พวกไร้พลังวิญญาณนี่นา” ชายบนรถม้าว่าพลางมองสหายของมันที่นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ต้นไม้
“พอที อยากให้ข้านั่งรถนักใช่ไหม งั้นพวกเจ้าก็ลงมาก่อน” หญิงสาวกัดฟันกรอด ก่อนจะนํามีดเล่มหนึ่งออกมาจากมิติของนาง ทันทีที่เห็นอย่างนั้นเหล่าชายหนุ่มบนรถก็ตาเบิกโพรงทันที เพราะการเปิดมิติด้วยตนเองนั้นคนธรรมดาไม่อาจทําได้
ฟุบ… มีดในมือของนางถูกปาออกมาใส่หน้าผากของชายคนหนึ่งอย่างแม่นยํา ก่อนที่ตัวมีดจะทะลุไปด้านหลัง แล้ววกกลับมาแทงร่างของชายอีกคนจนตายไปตามๆกัน
ฉึกๆๆๆ เพียงพริบตาเดียว มีดสั้นของนางก็แทงใส่ร่างของพวกมันจนตายเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
“…” หญิงสาวมองรถม้าที่เต็มไปด้วยเลือดด้วยใบหน้าเหยเก นางเปลี่ยนใจแล้ว หากนั่งบนรถม้าแบบนี้นอกจากเสื้อผ้าจะเปื้อน แล้วนางคงกลายเป็นคนต้องสงสัยทันทีที่เข้าเมืองแน่ๆ
ฉึก!! หญิงสาวคนนั้นปามีดใส่ชายที่นอนอยู่ตรงต้นไม้เพื่อปิดปากให้หมดทุกคน ก่อนจะปลดม้าออกจากรถม้าและขี่ม้าตัวนั้นเข้าเมืองแทน
“จะว่าไป แล้วข้าจะข้ามอาณาจักรยังไงนะ” หญิงสาวบ่นพลางมองทางที่ม้ากําลังวิ่งไป ก่อนหน้านี้อัตตาเป็นคนพานางเดินทางผ่านชายแดนระหว่างอาณาจักรชูและอู๋มานี่นา เห็นมันยื่นป้ายอะไรบางอย่างให้ที่เมืองข้ามเขต แต่ตอนนั้นนางเบื่อเลยไม่ได้มองว่ามันคือป้ายอะไรเสียด้วย
หรือนางจะฝ่าไปเลยดี ถึงอย่างไรทหารในเมืองชายแดนก็สู้นางไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าทําแบบนั้นนางจะเด่นเกินไปหรือเปล่านะ ราคะยิ่งบอกให้นางทําอะไรเงียบๆด้วย
“ที่เจ้าโลภะยังไล่ชิงตําราเขาไปทั่วเลยนี่นา”ริษยาบ่นพลาง นึกถึงเจ้าโลภะที่มักจะชอบสะสมตําราไปทั่ว มันมักจะบุกโจมตีสํานักเล็กใหญ่ในอาณาจักรชูแล้วเอาตําราของสํานักพวกนั้นไปดื้ออยู่เสมอ ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเก็บไปทําไม แต่นางก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของมารตนอื่นหรอกนะ
“หืม…”ริษยาหยุดมาพลางมองไปข้างหน้าด้วยความประหลาดใจ ด้านหน้าของนางมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกําลังเดินทางด้วยรถม้า 3 คัน โดยรถม้าแต่ละคันต่างมีข้าวของใส่อยู่เต็มคัน แถมรอบๆยังมีคนขี่ม้าคอยคุ้มกันอีกต่างหาก ท่าทางจะเป็นพ่อค้าของอาณาจักรชูเดินทางไปอาณาจักรอี้กระมัง
“…” อยู่ๆนางก็คิดขึ้นมาได้ว่า หากพวกนี้เป็นพ่อค้าข้ามอาณาจักรจริง พวกมันย่อมมีป้ายผ่านทางมิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นขอเดินทางกับพวกมันไม่ดีกว่าหรือ
“ขอโทษนะเจ้าคะ”ริษยาปั้นหน้าตนเองเป็นหญิงสาวผู้อ่อนหวานอีกครั้ง พลางขี่ม้าเข้าไปด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน
“แม่นาง มีอะไรงั้นหรือ” ชายที่ขี่ม้าคุ้มกันอยู่ข้างๆถามพลางมองมาทางริษยา
“ข้าโดนพวกโจรปล้นมาเจ้าค่ะ พวกมันฆ่าสหายของข้าที่มาด้วยกันจนหมด” ริษยาว่าพลางร้องให้ออกมาหน้าตาเฉย นางทําท่าทีเสียใจจนอย่างมากพลางเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของชายที่เข้ามาถามตน
“นายท่านได้โปรดให้ข้าหนีไปกับพวกท่านด้วย”ริษยาร้องให้จนหยาดน้ําตาหยดลงมา แถมมือน้อยๆของนางยังเกาะชายเสื้อของชายคนนั้นจนสั่นเทาอีกต่างหาก
“ช่างน่าสงสารจริงๆ ให้นางมากับพวกเราก็ได้” ชายที่นั่งอยู่บนรถม้าว่าพลางยิ้มมาทางริษยา
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”ริษยายิ้มทั้งน้ําตาพลางใช้แขนเสื้อซับน้ําตาเบาๆ
“แล้วเพื่อนของเจ้าล่ะ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มคุ้มกันถาม ริษยาไม่มีพลังวิญญาณ ในสายตาผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณทั่วไปมองนางเป็นเพียงชาวบ้านอ่อนแอเท่านั้น
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ พวกมันเอาม้าให้ข้าแล้วบอกให้ข้าหนีไป”ริษยาว่าพลางก้มหน้าลง
“เดี๋ยวข้าจะย้อนกลับไป เผื่อจะช่วยสหายเจ้าได้” ชายคนนั้นว่า พลางกระตุกเชือกบังคับให้ม้าวิ่งกลับไปทางที่ริษยาวิ่งผ่านมา
แน่นอนว่าเมื่อชายคนนั้นกลับไปถึงก็พบเพียงรถม้าที่เต็มไปด้วยศพเท่านั้น พอมันกลับมารายงานทุกคนก็ลงความเห็นว่าเรื่องที่แม่นางเล่ามาเป็นความจริง และยอมให้นางมาร่วมขบวนได้ โดยริษยายังบั้นเรื่องอีกว่านางแต่เดิมเป็นคนของอาณาจักรอู๋ที่มาเที่ยวชมอาณาจักรชู แต่เพราะโดนโจรปล้นระหว่างทาง ทําให้นางอยากกลับไปพบพ่อแม่อย่างมาก
“น้องเซียนมู่ เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า” ชายคนที่ริษยามาขอความช่วยเหลือถามพลางมองมาทางนางด้วยท่าที่เห็นอกเห็นใจ
“เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณ แถมพึ่งหนีมาจากโจรมา หากเจ้าอยากพักข้าจะขอนายจ้างให้เจ้าได้นั่งพักบนรถม้าดีหรือไม่”ได้ยินคําถามเช่นนั้นริษยาก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แม้จะเป็นมาร แต่การได้รับการเอาอกเอาใจเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แถมชายคนนี้ก็หล่อดีทีเดียว
“แบบนั้นรบกวนนายจ้างของท่านเปล่าๆนะเจ้าคะ”ริษยาพูดพลางทําท่าเกรงใจอออกมา
“ไม่หรอก ท่านใจดี รับรองว่าท่านไม่ว่าอะไรหรอก” ชายหนุ่มยิ้มพลางมองไปทางหัวขบวน แม้รถม้าจะเต็มไปด้วยสินค้า แต่หาจัดนิดหน่อยคงเหลือที่ให้เซียนมู่ได้พิงรถม้าพักได้บ้าง
“แต่ ข้าเกรงใจเจ้าค่ะ”ริษยาพูดเสียงเบาพลางแสดงสีหน้าเอียงอายออกมา นางบิดตัวเล็กน้อยพลางเอามือขึ้นมาจับที่แก้มของตนเอง
“ตะ แต่ว่า…หากท่านอยากให้ข้าพัก…”ริษยาว่าพลางช้อนตามองมาทางชายหนุ่มด้วยท่าทางน่าสงสาร
“ขะ ขอแค่ให้ข้านั่งม้าของท่านก็พอเจ้าค่ะ” เห็นท่าทางอ้อนของริษยา ชายหนุ่มถึงกับชะงักค้างไปทันที แถมเพื่อนๆของมันยังพากันส่งเสียงแซวกันระงม แถมยังยุกันเสียยกใหญ่
“ดะ ได้” ชายหนุ่มว่าพลางหยุดม้าลง มันผูกม้าของริษยาเข้ากับม้าของมันเพื่อให้ม้าของริษยาเดินตามม้าของมัน แล้วกลับขึ้นมานั่งบนม้าของตนเอง
“ขึ้นมาสิ” ชายหนุ่มว่าพลางยื่นมือไปทางริษยา
“เจ้าค่ะ”ริษยาทําหน้าแดงพลางจับมือชายหนุ่มด้วยท่าที่กล้าๆกลัวๆ แต่แทนที่นางจะขึ้นไปนั่งด้านหลังของชายหนุ่ม นางกลับขึ้นไปนั่งด้านหน้าแทน
“น้องเซียนมู่ แบบนี้ไม่ดีกระมัง” ชายหนุ่มถามพลางมองริษยาที่ขึ้นมานั่งด้านหน้าตนเอง
“ทําแบบนี้เพื่อข้าหลับข้าจะได้ไม่ตกลงไปไงเจ้าคะ”ริษยายิ้มหวานพลางเอนหลังซบลงบนร่างของชายหนุ่ม ทําเอามันหน้าแดงขี้นมาทันที
“ตอนนี้จะมืดแล้ว คนธรรมดาเขาง่วงกันนะลูกพี่” ชายหนุ่มคนหนึ่งว่าพลางหัวเราะออกมา หากหลับไปแล้วอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม รับรองว่านางไม่ตกลงไปแน่ๆ
“อะ อา” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทางเก้ๆกังๆยิ่งได้กลิ่นหอมของกายสาว มันยิ่งเกร็งไปทั้งตัว
แม้นางจะเป็นมารแห่งความริษยา แต่ไม่ใช่ว่านางจะไม่มีมารยาหญิงเสียหน่อย เห็นแบบนี้บางทีนางอาจจะจูงจมูกผู้ชายได้เก่งกว่าราคะอีกกระมัง ด้วยการออดอ้อนเพียงเล็กน้อย เปลืองเนื้อเปลืองตัวนิดหน่อย ทําให้ริษยาได้รับการเอาอกเอาใจจากชายหนุ่มอยู่ตลอด เรียกได้ว่ามันเป็นห่วงริษยาราวกับเป็นคนรักพึ่งเริ่มคบหากันก็ว่าได้
เพียงแต่การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป แม้จะได้รับการเอาอกเอาใจดูแลจากชายหนุ่ม แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ริษยารู้สึกไม่ชอบใจนัก
“พี่เถียน ข้าอายเขานะ” เสียงหญิงสาวอีกคนในขบวนรถดังขึ้น พร้อมร่างของชายหญิงที่กําลังแนบชิดกันอยู่บนรถม้า ดูจากที่เดินทางมาด้วยกันมาพักหนึ่ง นางคือบุตรสาวขงพ่อค้า และชายหนุ่มที่นั่งมากับนางคือเขยของพ่อค้านั่นเอง
มันเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา แถมท่าทางมีความสามารถไม่น้อย เทียบกับคนคุ้มกันที่นางอ่อยไปนั้นแทบเทียบกันไม่ได้ เห็นแล้วก็อดอิจฉายัยลูกสาวพ่อค้าไม่ได้
ริษยายิ้มเย็นยะเยียบออกมาพลางนํามีดออกมาจากมิติของนาง หากข้ามเขตไปยังอาณาจักรอู๋เมื่อไหร่นางอยากจะกรีดแผลยาวๆบนใบหน้าของยัยเด็กนั่นจริงๆ ไม่เอาให้ตาย แค่พอให้เป็นแผลเป็นยาวๆ เอาให้ใบหน้ายิ้มระรื่นนั่นกลายเป็นใบหน้าเศร้าหมองเลยคอยดู
“โจร”ยังไม่ทันข้ามไปยังเขตอาณาจักรอู๋ อยู่ๆคนคุ้มกันก็ตะโกนขึ้นพลางชี้ไปในป่า เป็นอย่างที่พวกมันบอก มีโจรกลุ่มหนึ่งซุ่มอยู่ในป่า
“คุ้มกันขบวนสินค้า” ชายที่ริษยานั่งอยู่ด้วยตะโกนพลางชักดาบออกมา
“น้องมู่ เจ้ารออยู่นี่ก่อนอย่าเข้าไปใกล้ล่ะ” ชายหนุ่มว่าพลางลงจากม้าวิ่งเข้าไปหาพวกโจรทันที
ฉีกๆๆๆ “กรี๊ดดด” เสียงกรีดดังมาจากทางรถม้า ท่าทางบุตรสาวของพ่อค้าจะตกใจกับลูกธนูที่ยิงเข้ามา
“หม…”ริษยายิ้มพลางมองลูกธนูที่ปักอยู่บนสินค้า นางยื่นมือไปจับลูกธนูขึ้นมาพลางมองไปยังการต่อสู้ด้านข้าง ตอนนี้พวกมันกําลังตั้งใจสู้กันอยู่ แถมทั้งพ่อค้าและลูกเขยต่างหลบมาอีกด้านของรถม้าและมองการต่อสู้อย่างลุ้นระทึก ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้กลุ่มคุ้มกันก็ค่อนข้างได้เปรียบ พอฆ่าโจรไปได้คนสองคน พวกโจรก็เริ่มอ่อนกําลังลงมาก ไม่นานพวกมันคงหนีไปแน่ๆ
“หึหึ”ริษยาหัวเราะพลางกางมือออก พริบตานั้นลูกธนูที่นางจับขึ้นมาก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งวาบอ้อมรถม้าเข้าไปหายัยลูกสาวพ่อค้า
“กรีดดด” สวยงาม ลูกธนูเฉือนแก้มของยัยเด็กนั้นตามที่ริษยาคิดเอาไว้พอดี แถมยังเป็นรอยแผลยาวจากขอบแก้มจนถึงจมูกอีกต่างหาก น่าเสียดายที่ไม่ลากไปทั้งหน้า แบบนั้นคงสวยดีพิลึก
พรึบ! หลังลงมือสําเร็จ ริษยาก็ลงจากม้าลงไปนั่งตรงหลังรถม้าเหมือนพวกพ่อค้า พอการต่อสู้จบลงนางก็แสร้งร้องไห้ก่อนจะเข้าไปกอดชายที่นางซ้อนม้ามาด้วยราวกับหญิงสาวผู้อ่อนแอ