คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 471 ก่อตั้งขุมกำลัง

“เจ้ากล้าข่มขู่พวกเรางั้นรึ ?!”

เมื่อได้ยินวาจาเชิงข่มขู่และไม่มีพื้นที่สำหรับการโต้แย้งจากฉินอวี้โม่ ใบหน้าของผู้นำกลุ่มคนจากเทือกเขาหิมะก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและกลายเป็นบูดเบี้ยวเหยเก

ภายในดินแดนทางเหนือแห่งนี้ แม้แต่ขุมกำลังระดับหนึ่งก็ยังต้องเกรงใจพวกเขาคนจากเทือกเขาหิมะไม่มากก็น้อย ไม่คิดเลยว่าคนแปลกหน้าคู่นี้จะกล้าข่มขู่พวกเขาอย่างโอหังและไม่ไว้หน้าเช่นนี้

แม้ว่าความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และฉินเฟิงจะลึกลับอย่างยิ่ง อีกทั้งยังยากเกินหยั่งถึง อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของคนทั้งสองก็ทำให้ฝ่ายเทือกเขาหิมะไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด

“ข่มขู่พวกเจ้างั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่เพียงตวัดสายตามองบุรุษผู้นั้นพร้อมส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวเสียงเบา “พวกเจ้ายังไม่คู่ควรหรอก”

นับประสาอะไรกับขุมกำลังระดับสอง แม้แต่ขุมกำลังระดับหนึ่งของดินแดนทางเหนือก็มิอาจทำให้ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงกังวลใจได้

เพียงกองทัพอสูรมายาของนางก็มากพอที่จะก่อตั้งขุมกำลังที่เหนือชั้นยิ่งกว่าขุมกำลังระดับหนึ่งของดินแดนทางเหนือเสียอีก

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงก็เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนและทรงพลังอย่างแท้จริง หากคนจากเทือกเขาหิมะคิดจะท้าทายพวกนาง พวกนางก็ไม่รังเกียจที่จะใช้คนเหล่านั้นเป็นขั้นบันไดไปสู่ความรุ่งเรืองในดินแดนแห่งนี้

“เจ้า…”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ผู้นำกลุ่มฝ่ายเทือกเขาหิมะก็กังวลใจขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโมโหทว่ามิอาจสรรหาคำพูดตอบโต้ได้เลย

หลังจากสงบสติอารมณ์ลงเล็กน้อย บุรุษคนนั้นก็กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้ารู้รึไม่ว่าชะตากรรมของคนที่กล้ายั่วโทสะพวกเราคนของเทือกเขาหิมะจะเป็นอย่างไร !?”

“ฮ่า ๆ ๆ สุดท้ายพวกคนจากเทือกเขาหิมะก็คงจะมอบของกำนัลให้กับพวกเราเพื่อเป็นการชดเชย ไม่ต้องห่วง พวกเราจะไม่เกรงใจ”

ฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง คำพูดของเขายังคงเยาะเย้ยยั่วโมโหและทะนงตนเช่นเดิม

“ยโสโอหังนัก !”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิง สีหน้าของอีกฝ่ายก็เหยเกยิ่งกว่าเดิม

“วันนี้ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีพลังอำนาจเพียงใดถึงได้กล้ากล่าววาจายโสโอหังเช่นนี้ออกมา !”

ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ร่างของเขาก็พุ่งตรงออกไปเพื่อจู่โจมฉินเฟิงทันที

เขามีพลังเพียงขอบเขตเซียนขั้นเก้า ในขณะที่พลังของฉินเฟิงอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนมาพักใหญ่แล้วและความแตกต่างด้านพลังของทั้งสองก็ห่างไกลกันมาก

ตู้ม !

ด้วยการขยับเพียงครั้งเดียว ฉินเฟิงทำให้บุรุษคนนั้นกระเด็นออกไปและได้รับบาดเจ็บสาหัส

พรวดดด !

คนผู้นั้นกระอักเลือดกบปากออกมาทันทีก่อนทรุดลงบนพื้นอย่างน่าสังเวช ใบหน้าของเขาซีดเผือดไปชั่วขณะ

เมื่อคนอื่น ๆ เห็นสภาพของผู้นำกลุ่มที่บาดเจ็บหนักภายในเวลาเพียงสั้น ๆ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและเริ่มลงมือโจมตีฉินอวี้โม่และฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว

ทว่าด้วยการโจมตีเพียงไม่กี่กระบวนท่า คนเหล่านั้นก็ถูกซัดจนล้มลงกองบนพื้นในสภาพน่าเวทนาโดยฝีมือของฉินอวี้โม่และฉินเฟิง

“ทิ้งแหวนมิติของพวกเจ้าไว้และไสหัวไปซะ มิฉะนั้น…ก็อย่าโทษที่พวกข้าจะทำตัวโหดร้าย !”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเยือกเย็น เป้าหมายของนางมิใช่เพียงลูกกะจ๊อกไม่กี่คนเหล่านี้

“เหอะ รอพวกข้าก่อนเถอะ !”

คนเหล่านั้นพยายามพยุงตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลและล่าถอยออกไปก่อนที่พวกเขาจะหายไปจากทัศนวิสัยของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว

ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงตรวจดูสิ่งของในแหวนมิติหลายสิบวงก่อนพบว่าไม่มีสิ่งใดดึงดูดความสนใจของพวกนางเลย

“พวกท่านเอาของพวกนี้ไปเถอะ แบ่งสรรกันได้ตามต้องการ”

นางยิ้มและกล่าวออกไปขณะยื่นแหวนมิติเหล่านั้นให้กับผู้คนทั้งแปดที่ยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

ในบรรดาคนทั้งแปด บุรุษผู้ที่กล่าวกับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มค่อย ๆ เรียกสติกลับคืนมา แววตาที่เขามองฉินอวี้โม่และฉินเฟิงเปลี่ยนไปเป็นความเคารพที่เพิ่มมากขึ้น

เขามีความรู้สึกในใจอยู่ตั้งแต่ต้นแล้วว่าฉินอวี้โม่และฉินเฟิงต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าทั้งสองจะทรงพลังมากถึงเพียงนี้

คู่ต่อสู้หลายสิบคนเมื่อครู่ล้วนเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตเซียนระดับสูง ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่และฉินเฟิง คนเหล่านั้นไม่มีพลังที่จะตอบโต้กลับได้เลย หากพิจารณาจากสิ่งที่เห็น ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงคงจะเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนเป็นอย่างต่ำ

ทั้งอาณาเขตทางเหนือของดินแดนเทพมายามีจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียนรวมเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้ว่ากลุ่มผู้กล้าทั้งแปดจะมิใช่ผู้แกร่งกล้าหรือทรงอิทธิพลที่สุด พวกเขาก็ทราบข้อมูลของดินแดนนี้มากทีเดียว และพวกเขาก็มั่นใจว่าตนเองไม่เคยได้ยินข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับฉินอวี้โม่หรือฉินเฟิงมาก่อน

จากสิ่งนี้ยิ่งทำให้พวกเขามั่นใจได้ว่าตัวตนของคนแปลกหน้าทั้งสองนี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง

“ท่านจอมยุทธ์ แหวนมิติเหล่านี้เป็นรางวัลของพวกท่าน พวกเราคงละอายใจหากรับมันไว้ ท่านทั้งสองเก็บไว้เองเถิด”

บุรุษผู้เป็นหัวหน้าไม่รอช้าและคืนแหวนมิติเหล่านั้นให้กับฉินอวี้โม่และฉินเฟิงทันที

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านเองก็เป็นคนที่ชาญฉลาดมาก ของเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเรา ท่านควรรับมันไป เพียงท่านบอกเล่าข้อมูลให้เราได้ทราบและช่วยขวางอันตรายข้างหน้าเราเมื่อครู่ก็ดีมากแล้ว รับของพวกนี้ไว้เป็นสิ่งตอบแทนเถอะ”

หลังจากหยุดชั่วคราว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “รับแหวนมิติเหล่านี้ไว้และพาสหายทั้งหลายของท่านไปจากที่นี่โดยเร็วเถอะ คนพวกนั้นจากเทือกเขาหิมะไม่ยอมรามือง่าย ๆ แน่ !”

“ท่านจอมยุทธ์ช่างมีเมตตากับพวกเรายิ่งนัก”

ทันทีที่สิ้นเสียงของฉินอวี้โม่ คนอื่น ๆ ที่เพิ่งเรียกสติได้ก็ก้าวออกมาข้างหน้าเช่นเดียวกัน

“ท่านจอมยุทธ์ ท่านช่วยชีวิตพวกเราไว้ แน่นอนว่าเราซาบซึ้งใจยิ่งนัก แม้ว่าพวกคนจากเทือกเขาหิมะจะแข็งแกร่ง เราก็ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด เรื่องนี้เกิดขึ้นก็เพราะพวกเรา หากเราปล่อยให้ท่านจอมยุทธ์ทั้งสองเผชิญกับอันตรายเพียงลำพัง พวกเราจะแตกต่างไปจากคนจากเทือกเขาหิมะนั่นอย่างไรกัน ถึงแม้เราทั้งแปดมิได้มีความแข็งแกร่งเป็นเลิศ และเมื่อเทียบกับพวกท่าน ชีวิตของเราก็ดูไร้ค่า ทว่าหากคนจากเทือกเขาหิมะมาที่นี่อีกครา เราจะยืนตรงหน้าและขวางกั้นอันตรายให้กับท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง ไม่ว่าใครหน้าไหนคิดจะทำร้ายท่านทั้งสองก็ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน !”

สตรีอารมณ์ร้อนคนเดิมกล่าวด้วยวาจาตรงไปตรงมาเช่นเคย

แม้ว่าผู้คนทั้งแปดมิได้แข็งแกร่งมากนัก แต่พวกเขาก็รู้จักผิดชอบชั่วดีและให้ความสำคัญกับความยุติธรรม ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงช่วยชีวิตพวกเขาทุกคนไว้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด คนทั้งสองก็ถือเป็นผู้มีบุญคุณสำหรับพวกเขาแล้ว คนจากเทือกเขาหิมะอาจย้อนกลับมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ หากพวกเขาละเลยผู้ที่มีพระคุณต่อตน พวกเขาก็คงกลายเป็นคนอกตัญญู ถึงแม้พวกเขาอาจจะอ่อนแอ พวกเขาก็ไม่ต้องการใช้ชีวิตอย่างที่ผิดหลักความเชื่อมั่นของตนเอง

“ถูกต้อง หากคนจากเทือกเขาหิมะพวกนั้นคิดจะทำร้ายท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง พวกเขาก็ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน ท่านทั้งสองช่วยชีวิตพวกเราไว้ เราติดค้างพวกท่านด้วยชีวิต”

คนอื่น ๆ ก็กล่าวแสดงความเห็นด้วย น้ำเสียงและวาจาของพวกเขาเปี่ยมด้วยความหนักแน่นและกล้าหาญไร้ซึ่งความหวาดหวั่นใด ๆ

เมื่อได้ยินวาจาเปิดเผยตรงไปตรงมาของผู้คนทั้งแปดและเห็นสีหน้าหนักแน่นมั่นคงของพวกเขา ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็มองหน้ากันขณะพยักศีรษะเบาๆ

“ทุกคน ข้ามีชื่อว่าฉินอวี้โม่ นี่คือศิษย์พี่ของข้าชื่อว่าฉินเฟิง ก่อนหน้านี้เราเก็บตัวฝึกยุทธ์มาเป็นระยะเวลานานและไม่ทราบเกี่ยวกับดินแดนนี้มากนัก ครานี้เรามาถึงดินแดนทางเหนือแห่งนี้โดยบังเอิญและอยากจะก่อตั้งขุมกำลังของตัวเองขึ้นมาโดยที่มีอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านทั้งหลายยินดีที่จะเข้าร่วมเป็นสหายกับพวกเราและก่อตั้งขุมกำลังใหม่ที่จะสั่นคลอนไปทั่วทั้งดินแดนทางเหนือรึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่ไม่ลังเลขณะกล่าวถึงแผนการของตนและฉินเฟิงให้คนทั้งแปดตรงหน้าได้ทราบ

นางไม่ปิดบังเรื่องใด ดินแดนทางเหนืออยู่ห่างไกลจากชนเผ่ามายามากและนางไม่กังวลว่าฉินมู่ยวี่จะทราบข่าว ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้คนผู้นั้นได้ยินข่าวก็คงไม่คาดคิดว่าจะเป็นฉินอวี้โม่

เมื่อได้ยินวาจาและน้ำเสียงหนักแน่นน่าเกรงขามของฉินอวี้โม่ ผู้คนทั้งแปดก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแกร่งกล้าจากร่างของนางและรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากสบสายตามองกันและกัน หัวหน้าของผู้กล้าทั้งแปดก็กล่าวขึ้นมา “พวกเราทั้งแปดไม่เคยเต็มใจที่จะเข้าร่วมกับขุมกำลังใดมาก่อนเพราะกังวลว่าจะไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและกลัวว่าจะไม่ได้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในที่เหล่านั้น ทว่าเมื่อท่านจอมยุทธ์กล่าวมาเช่นนี้ พวกเราก็จะลองดูสักครา พวกเราชื่นชมลักษณะนิสัยและความแข็งแกร่งของท่านทั้งสองเป็นอย่างมาก เพราะเหตุนั้น หากพวกท่านไม่ขัดข้องสิ่งใด พวกเราจะทำให้ดีที่สุด !”

หลังจากกล่าวจบ พวกเขาก็คุกเข่าลงแสดงถึงความจำนนอย่างเต็มใจ

ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงมองคนทั้งแปดด้วยแววตาหนักแน่นและพยักศีรษะเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ

“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรนักหรอก”

ฉินอวี้โม่บอกให้ทุกคนลุกขึ้นก่อนกล่าว “ข้ารับประกันอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ทว่าข้ายืนยันได้ว่าพวกท่านจะไม่เสียใจที่ติดตามข้า อีกทั้งข้ารับประกันได้ว่าภายในสามปี ดินแดนทางเหนือจะเป็นปึกแผ่นเดียวกันและขุมกำลังของเราจะกลายเป็นขุมกำลังที่มั่นคง มันจะกลายเป็นขุมกำลังที่ไม่มีผู้ใดในดินแดนเทพมายากล้ามองข้าม !”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมของฉินอวี้โม่ ผู้คนทั้งแปดก็เหมือนจะจินตนาการได้ถึงวันที่ดินแดนทางเหนือของพวกเขาจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและสร้างความตกใจให้กับทั่วทั้งดินแดน พวกเขาตั้งตารอวันนั้นเป็นอย่างยิ่ง

“อีกอย่าง…ข้ายังไม่ทราบถึงชื่อเสียงเรียงนามของพวกท่านเลย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ พร้อมเอ่ยถามออกไป นางไม่เคยถามชื่อของคนเหล่านี้มาก่อน

“ข้าชื่อเหมาซานและทุกคนเหล่านี้เป็นมิตรสหายของข้า เป็นเพราะพวกเรามีนิสัยใจคอและความแข็งแกร่งที่คล้ายคลึงกัน พวกเราจึงก่อตั้งกลุ่มเล็ก ๆ ขึ้นมา ก่อนหน้านี้เคยมีหลายขุมกำลังที่เชื้อเชิญให้เราเข้าร่วม ทว่าเราก็ไม่เคยรับปาก เพราะพวกเราอยากจะพบใครสักคนที่ทำให้เรายอมจำนนอย่างเต็มใจ”

บุรุษผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มมีนามว่า ‘เหมาซาน’ และเขาแข็งแกร่งที่สุดในทั้งแปดคน นอกจากนี้เขายังมีอายุที่มากที่สุดและเป็นผู้ที่มีอารมณ์ที่มั่นคงที่สุดอีกด้วย

ในตอนแรก ผู้คนทั้งแปดไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ทว่าพวกเขาก็กลายเป็นมิตรสหายกันโดยบังเอิญ และเนื่องจากนิสัยใจคอและความเข้ากันได้ พวกเขาจึงก่อตั้งกลุ่มเล็ก ๆ นี้ขึ้นมา

หลายขุมกำลังในดินแดนทางเหนือเคยเชิญชวนพวกเขาไปเข้าร่วม เพราะถึงอย่างไรแล้วพวกเขาทั้งแปดก็ถือว่าไม่ได้อ่อนแอเลย เพียงแต่เหมาซานและคนอื่น ๆ ล้วนเป็นบุคคลที่ยึดมั่นในความคิดของตนเอง หากไม่พบใครที่พวกเขาต้องการจำนนอย่างแท้จริง พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะรับใช้คนผู้นั้น เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่เคยตอบตกลงเข้าร่วมกับขุมกำลังใด

ทว่าความแข็งแกร่งและลักษณะนิสัยของฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็ทำให้ทั้งแปดเชื่อมั่นอย่างแท้จริง  เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงตอบรับและจำนนต่อทั้งสองด้วยความเต็มใจ

หลังจากแนะนำตัว ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบา ๆ

“ในเมื่อคนของเทือกเขาหิมะต้องการมาหาเรื่องพวกเราถึงที่ หากเราไม่ทำอะไรสักอย่างก็คงจะน่าเสียดายเกินไป เพราะเหตุนั้นข้าจึงตั้งใจที่จะใช้เทือกเขาหิมะเป็นขั้นบันไดไปสู่ความรุ่งเรืองของพวกเรา เราทั้งสองไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้มากนัก ทว่าในเมื่อเทือกเขาหิมะเป็นถึงขุมกำลังระดับสอง มันก็ถือว่าเป็นเป้าหมายที่ดีมาก หากเรายึดอำนาจพวกเขามาได้สำเร็จ มันก็จะเป็นผลดีกับอนาคตของเราอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นหลังจากนี้เรามาร่วมมือกันจัดการกับคนพวกนั้นเถอะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวแผนการของตนอย่างคร่าว ๆ หากนางต้องการปกครองเหนือดินแดนทางเหนือและก่อตั้งขุมกำลังที่สามารถเทียบชั้นกับวิหารทมิฬ นางต้องดำเนินการทุกอย่างไปทีละขั้นตอนอย่างมีแบบแผน ในเมื่อเทือกเขาหิมะเป็นขุมกำลังระดับสองของดินแดนทางเหนือ นางก็สามารถใช้โอกาสนี้ในการทดสอบพลังความแข็งแกร่งของผู้คนในดินแดนเทพมายาและสามารถหาทางยึดอำนาจเทือกเขาหิมะเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอิทธิพลและพลังอำนาจของตนเอง

เหมาซานและคนอื่น ๆ มองหน้ากันอย่างใช้ความคิด เมื่อได้ยินวาจามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็โล่งใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าตอนนี้รวมทั้งหมดแล้วพวกเขามีสมาชิกเพียงสิบคน เหมาซานและคนอื่น ๆ ก็เชื่อมั่นว่าพวกเขาจะสามารถรวมดินแดนทางเหนือให้เป็นปึกแผ่นดินเดียวกันได้อย่างแท้จริง

“พวกเราจะทำตามคำสั่งของผู้นำอวี้โม่”

ขณะยกกำปั้นคารวะฉินอวี้โม่ เหมาซานและสหายทั้งหลายก็รู้สึกได้ว่าตนเองตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้องแล้ว

“ช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเทือกเขาหิมะให้ข้าฟังก่อนสิ”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจและพร้อมที่จะเรียนรู้สถานการณ์ของเทือกเขาหิมะก่อนเตรียมแผนการต่อไป

.

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset