บทที่ 1057 โชว์ความรักทรมานหมาโสดไม่ซ้ำวิธี
อย่าพูดถึงห้าคนนั้น แม้แต่ซือเยี่ยหานที่อยู่ข้างกล้าไม่ไกลก็เผยสีหน้าน่ากลัวแล้ว เหมือนนึกไม่ถึงสักนิดเดียวว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้
สวี่อี้กุมหน้าผาก อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา…
ใช้สามัญสำนึกไปตัดสินความคิดของคุณหนูหวันหวั่นไม่ได้จริงๆ ด้วย
อีกด้านหนึ่ง ได้ยินคำตอบของเยี่ยหวันหวั่น บอดี้การ์ดห้าคนก็มีสีหน้าเอ๋อ
พวกเขาคิดเหตุผลนับไม่ถ้วน ก็ยังนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้
มิน่า มิน่ากระทั่งยามาโมโตะพูดประโยคนี้ เธอถึงได้ลงมือ!
ที่แท้เป็นเพราะยามาโมโตะพูดว่าผู้นำตระกูลพวกเขาเป็น ‘คนขี้โรค’?
นี่มัน…ถือหางขนาดไหนเนี่ย…
เห็นทั้งห้าคนมีสีหน้าเอ๋อ เยี่ยหวันหวั่นก็ขมวดคิ้ว “ทำไมเหรอ”
“มะ…ไม่มีอะไรครับ…” ห้าคนถูกทำสำลัก ส่ายหน้ารัว
เยี่ยหวันหวั่นเอ่ย “งั้นยังมีคำถามอะไรไหม”
หัวหน้าบอดี้การ์ดเอ่ยปากอย่างสงสัย “งั้นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้คุณหนูไม่ลงมือเป็นเพราะ…”
เยี่ยหวันหวั่นถอนหายใจ “ด้านหนึ่งคือไม่สนใจจะสู้ แต่เหตุผลหลักๆ เป็นเพราะ…ผู้นำตระกูลพวกนายห้ามฉันต่อสู้”
พวกบอดี้การ์ดพูดไม่ออก
นึกไม่ถึงเลยจริงๆ …
ดังนั้นหมายความว่า พวกเขาเข้าใจผิดโดยสมบูรณ์งั้นเหรอ
พูดถึงตรงนี้เยี่ยหวันหวั่นก็ปวดหัวหนัก เอ่ยอย่างถอนใจโศกเศร้า “แต่ สุดท้ายก็ผิดสัญญาแล้ว…เวรกรรม…ไม่พูดกับพวกนายแล้ว…ฉันจะไปซื้อทุเรียน…ไม่รู้สองลูกพอไหม…”
ห้าคนนิ่งเงียบ
พวกเขาแค่ถามสองคำถามเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ทำไมกลับรู้สึกว่าถูกนัดอาหารหมาแล้วล่ะ
แม้จะเป็นสวี่อี้ที่ใจเย็นนานแล้วก็ตาม ครั้งนี้ก็ยังอนาถสุดหัวใจ
ตั้งแต่ที่คุณหนูหวันหวั่นพลันเริ่มนิสัยเปลี่ยนไปนั้น ก็โชว์ความรักทรมานหมาโสดไม่ซ้ำวิธีจริงๆ …
…
เยี่ยหวันหวั่นไปหาที่ห้องครัวก่อนหนึ่งรอบ แต่หาไม่เจอ
“เจ้านาย หาอะไรอยู่เหรอ” ไฮดี้รีบเดินเข้ามาถาม
“มีทุเรียนไหม” เยี่ยหวันหวั่นถาม
ไฮดี้เอ่ยตอบ “เอ่อ เจ้านายอยากกินทุเรียนเหรอ งั้นผมไปซื้อมาให้!”
“ได้ เอาสองลูกแล้วกัน อย่าซื้อที่แข็งเกินนะ!”
แข็งเกินไปคุกเข่าแล้วเจ็บ…
“ได้ครับ ผมไปเดี๋ยวนี้แหละ!” ไฮดี้รีบออกไปซื้อ
เยี่ยหวันหวั่นปิดตู้เย็น ถอนใจไปพลาง โศกเศร้าไปพลาง คราวนี้จะง้อยังไงดี ต่อให้คุกเข่าบนทุเรียนก็เกรงว่าจะไม่พอแล้ว
เธอสู้สองครั้งเชียวนะ!
เยี่ยหวันหวั่นกำลังเค้นสมองสุดความสามารถ พอหันตัวไป ก็เผอิญเห็นซือเยี่ยหานยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องครัวโดยไม่ทันตั้งตัว
ก็ไม่รู้ว่าเขากลับมาเมื่อไร เวลานี้อีกฝ่ายสวมชุดสูทสีดำเป็นทางการมาก ดูสูงส่งไร้กิเลส ราวกับหมอกหนาวเย็นเหนือยอดหิมะ
เยี่ยหวันหวั่นกลืนน้ำลาย “เอ่อ คุณเก้า…กลับมาแล้วเหรอ…”
“อืม” ซือเยี่ยหานพยักหน้า เดินมาหาเธอ
เยี่ยหวันหวั่นเกาหัว รีบร้อนเอ่ย “คือว่านั่นน่ะ คุณได้ยินเรื่องงานชุมนุมประลองฝีมือวันนี้จากพวกเขาแล้วใช่ไหม ฉันต้องอธิบายกับคุณหน่อยนะ เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด ที่ฉันสู้ครั้งแรกเป็นเพราะว่าเจ้านั่นยั่วโมโหฉัน ดึงดันจะสู้กับฉัน ฉันเลยจำใจต้องทำ ครั้งที่สอง ครั้งที่สองนั่นไม่ใช่การต่อสู้ แต่ซุนเสวี่ยเจินเขารั้นจะให้ฉันชี้แนะเธอสักครั้ง ใช่ เป็นการชี้แนะ ไม่ใช่การต่อสู้สักนิด…”
ซือเยี่ยหานเดินทีละก้าวมาถึงตรงหน้าเธอ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาซ้อนเอวเธอ
เยี่ยหวันหวั่นเอนไปด้านหลัง พิงตู้เย็นโดยจิตใต้สำนึก “ฉันบอกว่า…”
ซือเยี่ยหานเอ่ย “เดี๋ยวค่อยพูด”
เยี่ยหวันหวั่นส่งเสียง “หา?”
มืออีกข้างของชายหนุ่มค้ำตู้เย็นที่ด้านหลังเธอ พริบตาที่เสียงทุ้มจบลง เขาก็โน้มตัว ประกบริมฝีปากอ่อนนุ่มของหญิงสาวอย่างไม่บอกไม่กล่าว…
“อุ๊บ…” เยี่ยหวันหวั่นพลันเบิกตากว้าง สีหน้างุนงง
แนวโน้มของเรื่องนี้…ไม่ถูกละมั้ง?
เธอแหกกฎผิดสัญญา ไม่ใช่ว่าควรลงโทษเธอถึงจะถูกเหรอ
ทำไมตรงกันข้าม…ได้รางวัลแทนเล่า
——————————————————————————————————
บทที่ 1058 ถ้านี่คือการลงโทษ
ทำไมจู่ๆ ก็อ่อนโยน…
ได้รับความโปรดปรานโดยไม่คาดคิดจริงๆ…
เยี่ยหวันหวั่นถูกจูบจนสีหน้างุนงง “เอ่อ นั่นอะไรน่ะ ฉัน…ฉันต่อสู้แล้วนะ…”
ซือเยี่ยหานกอดหญิงสาวในอ้อมกอด “อืม”
เยี่ยหวันหวั่นยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ “แถมยังต่อสู้ตั้งสองครั้ง…หรือว่า นี่คือการลงโทษเหรอ”
เอ่อ ถ้าเป็นเมื่อก่อนละก็ เธอรังเกียจต่อต้านสัมผัสของซือเยี่ยหานขนาดนั้น นี่ก็เป็นการลงโทษที่ไม่เลวจริงๆ
แต่ตอนนี้…
เยี่ยหวันหวั่นกะพริบตา เงยหน้าจับจ้องซือเยี่ยหาน จากนั้นก็เอ่ยพึมพำ “ถ้านี่เป็นการลงโทษ…งั้นทุกวันฉันต้องออกไปชกต่อยสักร้อยแปดสิบครั้งแล้ว!”
สีหน้าซือเยี่ยหานแฝงแววหมดคำพูดเล็กน้อย “อย่าพูดเพ้อเจ้อ”
เยี่ยหวันหวั่นเม้มปาก “พูดจริงแท้ๆ…”
“เธออธิบายแล้วนี่ ครั้งแรกจำใจต้องทำ ครั้งที่สองเป็นการชี้แนะ” ซือเยี่ยหานกล่าว
เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้ารัว “ใช่ๆๆ! ฉันไม่ได้อยากสู้เองสักนิด!”
ซือเยี่ยหานเอ่ย “ห้ามทำซ้ำอีก”
ไหงครั้งนี้พูดง่ายดีจัง?
สีหน้าเยี่ยหวันหวั่นเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ขณะเดียวกันก็โล่งอก สุดแสนจะยินดี โชคดีไม่ต้องคุกเข่าบนทุเรียนแล้ว
“อ๊ะจริงสิๆ คุณเก้า คุณรู้จักสหพันธ์วิทยายุทธ์แล้วก็รัฐอิสระไหม” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
พริบตาที่ได้ยินประโยคนี้ ดวงตาซือเยี่ยหานก็ราวกับน้ำแข็งเย็นยะเยือก
แต่แค่ช่วงเวลากะพริบตาก็กลับคืนเป็นเหมือนเดิม เขาจ้องหญิงสาวตรงหน้า เอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ไม่เคยได้ยิน ทำไมจู่ๆ ก็ถามล่ะ”
เยี่ยหวันหวั่นตอบ “วันนี้ตอนที่คุยกับคุณมู่เขาพูดขึ้นมาน่ะ เขาบอกว่าฉันฝีมือดีมาก นึกว่าฉันเป็นคนของสหพันธ์วิทยายุทธ์ แล้วก็ยังบอกว่าสำนักงานของสหพันธ์วิทยายุทธ์อยู่ที่รัฐอิสระที่นั่นคลั่งไคล้วัฒนธรรมวิทยายุทธ์เป็นพิเศษ ยอดฝีมืองี้เดินกันทั่ว…”
ซือเยี่ยหานเอ่ย “งั้นเหรอ”
“ใช่! แต่ ฉันหาในออนไลน์ตั้งนานก็ไม่ยักเจอสถานที่อย่างนั้น ถ้าคุณมู่ไม่เคยบอกว่าตัวเองเคยรับผิดชอบสาขาย่อยของสหพันธ์วิทยายุธ ฉันก็คงคิดว่าเขาพูดเหลวไหลแล้ว!”
“มู่สุยเฟิงเคยรับผิดชอบสหพันธ์วิทยายุทธ์?”
“เขาพูดแบบนั้นนะ…” เยี่ยหวันหวั่นสังเกตเห็นสีหน้าซือเยี่ยหานดูผิดปกติชอบกล แถมแขนของเขายิ่งกำยิ่งแน่น จับจนเธอเกือบเจ็บแล้ว เธอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว “คุณเก้า ทำไมเหรอ”
“ไม่มีอะไร” ซือเยี่ยหานพลันคลายเรี่ยวแรงในมือ ลูบหัวของหญิงสาวเบาๆ แล้วกอดเธอในอ้อมกอด
เยี่ยหวันหวั่นก็ไม่ได้คิดมากมาย เธอพร่ำเพ้อต่ออย่างตื่นเต้น “อยากไปเที่ยวรัฐอะไรนั่นจัง ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน….”
“ชิงช้าทำเสร็จแล้ว จะไปดูใหม่” ซือเยี่ยหานพลันเอ่ยถาม
เยี่ยหวันหวั่นถูกเบี่ยงความสนใจทันควัน “อ๊ะ จริงเหรอ เยี่ยมไปเลย! ฉันจะไปเรียกถังถัง!”
ซือเยี่ยหานเอ่ย “ไปเถอะ”
เยี่ยหวันหวั่นวิ่งไปไกลยังตื่นเต้นทันที
ซือเยี่ยหานมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่จากไป ท่าทีเรียบนิ่งเย็นชาแตกสลายในพริบตา…
กลางคืน
เยี่ยหวันหวั่นเข้าร่วมงานชุมนุมประลองฝีมือตอนเช้า หลังกลับมาก็เล่นชิงช้าเป็นเพื่อนถังถังตลอดบ่าย ตอนกลางคืนเมื่อหัวถึงหมอนก็นอนหลับแล้ว
ในความฝัน เธอฝันว่าตัวเองกำลังเล่นด้วยกันกับซือเยี่ยหานแล้วก็ถังถังอย่างดีใจ แต่ต่อมานั้น ภาพฉากกลับเปลี่ยนไปในฉับพลัน
เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงกรีดร้อง…
เลือดและเปลวเพลิงปกคลุมทั่วทุกหนแห่ง…
ร่างสีดำน่ากลัวนับไม่ถ้วนโอบล้อมใกล้เข้ามา…
เธอเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง วิ่งหนีจนกระทั่งมาถึงสุดปลายหน้าผา จากนั้นก็ตกเข้าไปในห้วงเหวที่มืดมิดไร้ก้น…
“กรี๊ดดด” เยี่ยหวันหวั่นพลันตกใจตื่นขึ้นมา เหงื่อเย็นชุ่มโชกหน้าผาก
………………….