อ้านจิ่วคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง เขากล่าวด้วยความเคารพ “นายท่าน”
มู่เฉียนซีตกตะลึง นางยิ้ม กล่าวว่า “จิ่วเยี่ย เจ้ามาได้อย่างไร ?”
จิ่วเยี่ย “ทางแคว้นเฉียนเซี่ยได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงแต่ทันทีที่นางปรากฏตัว พวกนั้นก็จะแจ้งข้า”
“เรื่องถอนหมั้น เจ้าไม่มีความคิดเห็นใดเลยหรือ ?” มู่เฉียนซีถาม
“ไม่เป็นไร ยกเลิกงานหมั้นนี่เสีย เจ้าก็จะเป็นของข้า หวงจิ่วเยี่ยแล้ว”
“เจ้าเอาแต่ใจเกินไป ไม่มีการหมั้นหมายแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็เป็นเพียงหมอยากับคนไข้เท่านั้น”
จิ่วเยี่ยคว้ามือของมู่เฉียนซีเอาไว้ แล้วจึงกล่าวขึ้น “เจ้าได้รับสิ่งของแทนใจของข้าไปแล้ว”
“นี่ไม่นับ” ตอนนั้นนางถูกจิ่วเยี่ยบีบบังคับให้รับแหวนมังกรเทพวารี แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะให้ผลดีเช่นนี้ด้วย
“ข้าเองก็ได้รับของแทนใจของเจ้าแล้วเหมือนกัน” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างนิ่งสงบ
“อะไร ? ข้าไปให้ของแทนใจกับเจ้าตอนไหน ทำไมข้าถึงจำไม่ได้ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้น
“งานฉลองภาวะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของเจ้า” จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้นช้า ๆ
“งานฉลองภาวะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของข้า ปิ่นปักผมที่ท่านอาเล็กมอบให้แก่ข้า เจ้า… เจ้าเริ่มใช้แผนร้ายกับข้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้า…”
“ไม่เพียงเท่านั้น” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างสงบนิ่ง”
มู่เฉียนซีคว้าจิ่วเยี่ยเอาไว้แล้วถามขึ้น “ไม่เพียงเท่านั้น เช่นนั้นแล้วยังมีอะไรอีกรึ ? เจ้าบอกข้าให้ชัดเจนสิ”
“เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้เอง”
มู่เฉียนซีมีลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นในใจ จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่พูดจริง ๆ หากเจ้าไม่พูดละก็ ข้า…”
“ซี เจ้ามีอะไรที่ข่มขู่ข้าได้ ?”
‘ไม่มี!’ มู่เฉียนซีได้แต่ตอบในใจ นางโกรธเขาเสียจนรู้สึกหดหู่ไปหมดแล้ว
อ้านจิ่วที่อยู่นิ่งเป็นฉากหลังยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้น “ฝ่าบาทกับพระชายา พวกท่านค่อย ๆ ง้องอนกันไป ข้าน้อยขอทูลลาก่อน”
อ้านจิ่วรีบไปราวกับวิ่งหนีเพื่อรักษาชีวิต เขาจึงไปชนเข้ากับพี่สามของตนเองเข้า
อ้านจิ่วรีบดึงตัวซวนหยวนชิงอวิ๋นเอาไว้พร้อมกล่าวขึ้น “พี่สาม วันนี้ท่านไม่ต้องไปหาพระชายาแล้ว พรุ่งนี้ก็อย่าได้ไป อย่าได้เข้าใกล้นางเด็ดขาด”
เขาไม่กล้ารับประกันว่าผู้เป็นนายของตนนั้นจะจัดการฆ่าสังหารบุรุษผู้ที่เข้าใกล้พระชายาทั้งหมดเลยหรือไม่
ด้วยความแข็งแกร่งของนายท่านของเขา เขาสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน สายตาของซวนหยวนชิงอวิ๋นฉายแววโศกเศร้าออกมา “เสี่ยวจิ่ว เขาผู้นั้นกลับมาแล้วหรือ ?”
“อืม นายท่านกลับมาแล้ว”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นตกตะลึงเล็กน้อย “สรุปแล้วเขาคือใครกันแน่ ?”
“เรื่องของนายท่าน ข้ามิสามารถพูดถึงได้ แต่ว่าข้านั้นมองออก นายท่านรักพระชายาด้วยใจจริง พี่สาม ท่าน…”
“แล้วเฉียนซีล่ะ ?” ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า
“ทางที่ดีที่สุด พระชายาก็ควรมีความรู้สึกเช่นเดียวกับนายท่าน เพราะไม่มีใครที่นายท่านไม่เคยได้มา หากว่าไม่ได้มาจริง ๆ เช่นนั้นเกรงว่าคนผู้นั้นคงจะต้องหายไปจากในใต้หล้านี้โดยสมบูรณ์”
อ้านจิ่วนั้นกล่าวเรื่องพวกนี้ออกมาได้อย่างเป็นปกติ แต่ซวนหยวนชิงอวิ๋นกลับรู้สึกหนาวสั่น
“พี่สาม ท่าน…”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นองค์ชายสามที่เฉยเมย แสดงอาการราวกับเป็นร่างไร้วิญญาณเช่นนี้ เกรงว่าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คงจะไม่อาจถอนตัวออกมาได้
อ้านจิ่ว “ข้านั้นจะไปถอนหมั้นกับผู้นำตระกูลมู่แล้ว นางเป็นผู้หญิงของนายท่าน การหมั้นหมายครั้งนี้ดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง”
“ดี” ชิงอวิ๋นกล่าวเพียงเท่านั้น
……
อรุณรุ่ง มีข่าวที่สะท้านสะเทือนลอยออกมาจากแคว้นจื่อเยี่ย ข่าวนี้มิใช่การแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ แต่เป็นข่าวการถอนหมั้นระหว่างผู้นำตระกูลมู่กับเยี่ยอ๋อง
องค์ชายเยี่ยกล่าวว่า การหมั้นหมายครั้งนี้เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงบัญชาเอาไว้ แต่เขาเองนั้นคิดว่าตนเองไม่เหมาะกับผู้นำตระกูลมู่ จึงได้ยกเลิกการหมั้นหมายเสีย
และผู้นำตระกูลมู่เอง นางกล่าวว่านางไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเยี่ยอ๋องเลย นางเลือกผู้ที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของนางไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเพื่อที่จะไม่ทำให้เยี่ยอ๋องต้องเสียเวลา เช่นนั้นจึงยกเลิกการหมั้นหมายไป
การถอนหมั้นอย่างสงบในครั้งนี้ ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อชื่อเสียงของทั้งสองฝ่าย
ซวนหยวนหลี่เทียนนั้นเห็นนางอยู่ในสายตา เขาผ่านอะไรมาเหมือน ๆ กัน แต่ปลายทางกลับแตกต่างกันถึงเพียงนี้
ในตอนนั้นเขาไม่เคยจะเห็นมู่เฉียนซีอยู่ในสายตา เมื่อเห็นนางถูกผู้อื่นรังแกก็ไม่ถามไม่สนใจ และรังเกียจการมาทำดีด้วยของนาง เมื่อได้ยินข่าวว่านางตายแล้ว เขาก็ยินดีอย่างที่สุด และแน่นอนว่าสุดท้าย เขาได้ถอนหมั้นกับนางอย่างที่ชื่อเสียงของเขามีอันป่นปี้
ส่วนน้องเก้านั้นไม่ได้สนิทสนมกับนางมากนัก จึงไม่ได้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความรังเกียจต่อกัน และถอนหมั้นกันได้อย่างราบรื่น ทั้งสองฝ่ายนั้นเห็นพ้องตรงกัน
หลี่อ๋องเดินทางผิดไป มาตอนนี้แม้เพียงอยากเป็นมิตรสหายธรรมดาทั่วไปกับนาง ก็กลับกลายเป็นความฝันเฟื่องไปเสียแล้ว
หลังจากการถอนหมั้นในครั้งนี้ เหล่าขุนนางต่างก็นั่งไม่ติด
“แคว้นนั้นมิอาจที่จะไม่มีผู้นำได้แม้แต่วันเดียว ขอให้องค์ชายทั้งหลายโปรดตัดสินใจด้วยเถิด”
“ตอนนี้แคว้นจื่อเยี่ยของเราขยายใหญ่ขึ้น จึงจำต้องมีฮ่องเต้ปกครองแคว้น มิเช่นนั้นทั้งแคว้นจื่อเยี่ยจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่”
องค์ชายเจ็ดซวนหยวนหลี่เทียนล้วนไม่เลวเลยในทุก ๆ ด้าน องค์ชายสามซวนหยวนชิงอวิ๋นก็โดดเด่น และสำหรับองค์ชายเก้าซวนหยวนจิ่วเยี่ย แม้เขาจะทำตัวถ่อมตนแต่เขามีความสามารถ มีพลังอันแข็งแกร่ง ทั้งสามล้วนมีข้อดีจนพวกเขาไม่สามารถที่จะตัดสินได้
นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถตัดสินใจเองได้
พวกเขาทั้งสามคนไม่ตัดสินใจสักทีว่าใครจะขึ้นครองบัลลังก์ ด้วยความจนปัญญา แม่ทัพเยวี่ยจึงได้เชิญมู่เฉียนซีมา
เยวี่ยเจ๋อกล่าวขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านว่าใครเหมาะสมที่จะปกครองแคว้น ? อย่างไรเสียแคว้นจื่อเยี่ยก็เป็นฐานหลักของพวกเรา แน่นอนว่าจะต้องเลือกผู้ที่ยืนอยู่ข้างพวกเราตระกูลมู่”
“ซวนหยวนชิงอวิ๋นเป็นผู้ที่ได้รับความเชื่อถือจากพี่ใหญ่ที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งปวง เขาควรเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด”
“เรื่องนี้ต้องถามความคิดเห็นของพวกเขาด้วย ข้านั้นไม่กล้าตัดสินใจหุนหันพลันแล่น” มู่เฉียนซีเข้าวังไปหาพวกเขาทั้งสามด้วยตนเอง
นางกล่าวขึ้น “บอกความคิดเห็นของพวกเจ้ามา! ”
อ้านจิ่ว “นายท่านทำให้ข้าได้มีชีวิตใหม่ ชีวิตนี้ข้าจะซื่อสัตย์ต่อท่าน ข้าจะไม่อยู่ในทวีปเซี่ยโจว เช่นนั้นแล้วตำแหน่งฮ่องเต้นี้ข้าจะไม่ขอรับไว้”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวกับซวนหยวนหลี่เทียน “เจ้าคิดเห็นเช่นไร ?”
“ตอนนี้ข้าถามเจ้าอยู่ ไม่ใช่ให้เจ้าถามข้า”
ซวนหยวนชิงอวิ๋น “ข้านั้นไม่เหมาะกับตำแหน่งฮ่องเต้ และไม่ประสงค์ที่จะไปนั่งบนตำแหน่งนั้น ข้าอยากจะฝึกฝนให้เกินเลยขั้นของอาจารย์ข้าไป ไปสู่ขั้นที่แข็งแกร่งกว่านี้”
มีเพียงคนที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นถึงจะมีชีวิตอยู่ได้นาน ถึงจะมีเวลาปกป้องนางได้มากขึ้นกว่านี้ ต่อให้ต้องคอยปกป้องนางอย่างเงียบ ๆ ขอเพียงรู้ว่าทุกอย่างเกี่ยวกับนางนั้นเรียบร้อยดีก็เพียงพอแล้ว
มู่เฉียนซีรู้สึกจนปัญญา ก่อนหน้านี้ตำแหน่งนี้มีแต่คนแย่งกัน ตอนนี้กลับมีแต่คนเกี่ยงกันเสียแล้ว
สายตาของมู่เฉียนซีไปตกที่ซวนหยวนหลี่เทียน
ซวนหยวนหลี่เทียนกล่าวขึ้นทันที “หากผู้นำตระกูลมู่จะให้ข้าขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งนั้น เกรงว่าเจ้าจะไม่สบายใจเอาเสียเปล่า ๆ”
มู่เฉียนซี “เจ้าคิดว่าตอนนี้แคว้นแคว้นหนึ่งสามารถคุกคามต่อตระกูลมู่ของข้าได้หรือ ? เช่นนั้นตระกูลมู่ของข้าก็จะไม่กลัวเจ้า ประการหลักคือเจ้าต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดี ทำให้ประชาชนอยู่กินทำงานอย่างมีความสุข อย่างไรเสียตอนนี้ข้าก็หาตัวเลือกอื่นไม่พบ”
ซวนหยวนหลี่เทียนกล่าว “ในเมื่อผู้นำตระกูลมู่มั่นใจในตระกูลมู่มาก เช่นนั้นตำแหน่งฮ่องเต้นี้ข้ารับไว้ อย่างไรเสียก็เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดไม่มีผู้ใดอยู่เหนือกว่า”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นตกตะลึง ขณะที่มู่เฉียนซีไม่เข้าใจ แต่ว่าเขานั้นเข้าใจ น้องเจ็ดตั้งใจจะกล่าวออกมาเช่นนั้น
ตั้งแต่เล็กจนโต เขาติดตามซวนหยวนหลี่ซางมาโดยตลอด และไม่มีเรื่องขอบัลลังก์เลย
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “ทั้งหมดนี่ก็เรียบร้อยแล้ว อย่าได้ให้ตาแก่พวกนั้นมากวนใจข้าอีก น่ารำคาญจะตายไป”
“เฉียนซีวางใจได้เลย”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นช่วยให้ซวนหยวนหลี่เทียนขึ้นครองราชย์ ถึงแม้ว่าจะมีคนมากมายไม่พอใจ แต่ในเมื่อผู้นำตระกูลมู่ไม่ได้ว่าอะไร พวกเขาจะกล้าว่าอะไรได้ ?
ถึงแม้ว่าอาณาเขตของแคว้นจื่อเยี่ยจะขยายใหญ่ออกไปแล้ว เมืองหลวงก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ส่วนเรื่องพื้นที่ด้านนอกนั้นก็ค่อย ๆ ปรับแต่งจัดการไป ตอนนี้ได้นำเรื่องนี้มอบให้จวนไป๋กั๋วกงดูแลไปก่อน
……
“ศาลาเลือนรางเก้าชั้น ไสหัวของเจ้าออกมา!” จิ่วเยี่ยปรากฏต่อหน้ามู่เฉียนซีราวกับภูตผี กลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่ออกมา