ผลสุดท้ายคนที่ลงมือช่วยเมื่อครู่ก็หายวับไปโดยที่ไม่แม้แต่จะทักทายกันสักคำ ช่างน่าแปลกเสียจริง
ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการกับศัตรูได้ ทว่าจิตสังหารในมิติแห่งนี้กลับยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกมาก
ดวงตาเย็นชาคู่นั้นสบกับดวงตาสีเขียวสุกใส ฉับพลันทันใดประกายไฟและจิตสังหารสาดกระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ
“เอามาให้ข้า” อาถิงยังคงดื้อรั้น
“ไม่ได้!” จิ่วเยี่ยกล่าวโดยไร้ซึ่งความรู้สึกเห็นใจใด ๆ
บรรยากาศรอบด้านตึงเครียดขึ้นมา มู่เฉียนซีดึงตัวอาถิงไว้ นางกล่าวว่า “อาถิง เจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่น หรือเจ้าลืมบทเรียนจากการต่อสู้ครั้งใหญ่กับจิ่วเยี่ยแล้วว่ามันทำให้เจ้าต้องหลับใหลไปนานเช่นนี้ ?”
อาถิงมองมู่เฉียนซีอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูเหมือนว่าช่วงที่ข้าหลับใหล เจ้ากับบุรุษผู้นี้เข้ากันได้ดีมากขึ้น เจ้านั้นเห็นแก่ตัว! เขาเป็นผู้มีพันธสัญญากับเจ้าหรือว่าข้าเป็นผู้ที่มีพันธสัญญากับเจ้า”
มู่เฉียนซีถึงกับกล่าวคำใดไม่ออก ทว่านางก็รู้สึกเริ่มโกรธ “ข้าอยู่ข้างเขา ได้! เช่นนั้นข้าจะอยู่ข้างเขา เจ้าสู้กับเขา! หากเจ้าถูกเขาลงมือสังหาร ข้าจะไม่รับผิดชอบเก็บศพเจ้า”
เวลานี้เอง มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น “ยาหยีเจ้าเก่งมาก! พวกเขาสองคนหึงหวงเจ้าแล้วจะสู้ประมือกัน ไม่เสียทีที่เจ้าเป็นสตรีผู้เป็นที่รักของข้า”
ใบหน้าของมู่เฉียนซีหม่นคล้ำ “ตาข้างไหนของเจ้าเห็นพวกเขาทะเลาะกันเพราะหึงหวงข้ารึเจ้าหม้อบ้า! อ้อ และเจ้าจงเรียกชื่อข้า หรือไม่ก็เรียกว่านายท่าน”
“นายท่านหวานใจของข้า ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าทำพันธสัญญากับข้าแล้ว มิติแห่งนี้จะพังทลายลง เจ้าต้องรีบหน่อย มิเช่นนั้นหากถูกฝังทั้งเป็นที่นี่คงไม่ดีแน่”
เมื่อเห็นว่าสองบุรุษใจร้อนนั้นกำลังจะลงมือ มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างเกรี้ยวโกรธ “พวกเจ้าสองคนหยุดประเดี๋ยวนี้! มิติแห่งนี้จะพังทลายแล้ว พวกเรารีบออกไปกันก่อนเถอะ อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
เมื่อได้ยินมู่เฉียนซีกล่าว หวงฝูอวี้และคนอื่น ๆ ก็รีบตามออกไปด้วย
เมื่อพวกเขาพุ่งออกจากวังวนนี้ ซากปรักหักพังโบราณทั้งหมดก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับคลื่นหายนะขนาดใหญ่กวาดผ่านมา หมายจะทำลายทุกสิ่งให้ราบเป็นหน้ากลอง
โบราณสถานแห่งนี้เป็นสถานที่ที่หม้อเทพนิรันดร์อยู่เพื่อรอคอยผู้เป็นนาย เวลานี้มันได้ยอมรับนายท่านแล้ว เช่นนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะตั้งอยู่อีกต่อไป
รอคอยมานานหลายปีเช่นนั้น ในที่สุดก็ได้รอจนพบเข้ากับนักปรุงยาที่ตรงกับความชอบของตนแล้ว
เกาะหลานหนิงเป็นเกาะหลักแห่งทะเลหลานหนิง เป็นเกาะที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก
หลังจากที่มู่เฉียนซีเดินทางถึงเกาะหลานหนิงอย่างปลอดภัย อาถิงกับจิ่วเยี่ยก็เปิดศึกขึ้นอีกครั้ง
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเอือม ๆ “อาถิง เจ้ากลับเข้าไปในมิติเถอะ ข้าขอล่ะ”
อาถิงฟึดฟัด เขากล่าวด้วยอาการในแบบของคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม “เจ้า….เจ้าดุข้าเพราะเขา เจ้า…”
มู่เฉียนซี “ข้าก็แค่ไม่อยากจะให้เจ้าก่อเรื่องด้วยอารมณ์และต้องหลับใหลไปอีกครั้งก็เท่านั้น”
ได้ฟังคำมู่เฉียนซี อาถิงจึงระงับอารมณ์เกรี้ยวกราดของตนเอง
“จิ่วเยี่ย มิใช่ว่าเจ้ามีเรื่องที่จะต้องให้อาถิงช่วยหรอกรึ ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น
จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ศาลาเรือนรางเก้าชั้น เจ้าไม่ใช่คู่ต้อสู้ของข้า”
“เจ้า!” อาถิงกัดฟัน “เจ้าอย่าได้ใจไปนักเลย หากข้าอยู่ในสถานะขั้นสูงสุด เจ้าจะตายอย่างไรก็ยังไม่อาจรู้”
“เจ้ากับข้า ไปกล่าววาจากันตามลำพังตรงอื่น”
“ตามลำพัง” อาถิงชะงักไป “ได้ ข้าเองก็มีเรื่องที่จะสนทนากับเจ้า”
สิ้นเสียงอาถิง เงาร่างทั้งสองหายไปต่อหน้ามู่เฉียนซี มู่เฉียนซีนั้นกลัวจริง ๆ ว่าพวกเขาทั้งสองจะสู้กันขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขานั้นดื้อรั้นนัก นางไม่อยากจะสนใจแล้ว นางยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ
“ตลอดชีวิตนี้ ในเมื่อข้านั้นเป็นผู้ที่ทำพันธสัญญากับเจ้าแล้ว รอเมื่อข้ากลับถึงบ้านเมืองข้า เจ้าจะต้องถอนพิษให้กับท่านอาเล็กของข้า” นางกล่าวกับหม้อเทพนิรันดร์
หม้อเทพนิรันดร์ “พิษโบราณที่เจ้ากล่าวถึงนั้นมันไม่แน่นอน ข้าเกรงว่าเราจะต้องพบคนที่โดนพิษเข้าถึงจะได้รู้ข้อมูลมากขึ้น และยาแก้พิษนั่น เจ้าจะต้องเป็นคนหลอมปรุงมันด้วยตนเอง”
“ข้า…” ด้วยความสามารถของนางในวันนี้นั้น มิอาจที่จะแน่ใจได้เลยว่าจะสามารถหลอมปรุงยาระดับนั้นออกมาได้
“แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้า! ข้านั้นเพิ่งจะตื่นขึ้นมา พลังของข้าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนนั้นยังห่างไกลอีกมากโข อีกไม่นานก็จะต้องเข้าสู่ภาวะหลับใหลเพื่อฟื้นฟูพลังอีกครั้ง ข้าว่าเจ้ารีบกลับบ้านเมืองเสียจะดีที่สุด ไม่ต้องไปสนใจสองคนนั้นหรอก”
“กำลังจะหลับใหลในไม่ช้ารึ ?” สีหน้ามู่เฉียนซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ได้จากไปเลยในทันที
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามู่เฉียนซีนั้นจะรีบร้อนเพียงใด นางก็ต้องรออาถิงกับจิ่วเยี่ยกลับมา
หวงฝูอวี้ “แม่นางมู่ ท่านผู้นำของหอการค้าขอให้พวกเรากลับไปโดยเร็ว เกรงว่าพวกเราจะต้องไปแล้ว”
มู่เฉียนซี “ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไป แต่หากว่าเป็นน่าหลานอวี้นั้นไม่เป็นไร ส่วนผู้อื่น…”
นางได้รับหม้อเทพนิรันดร์ หากข่าวนี้แพร่ออกไป เมื่อถึงเวลานั้นคงจะเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่น้อยเลย
หวงฝูอวี้ยิ้ม กล่าวว่า “แม่นางมู่ เจ้าเชื่อใจพวกข้ามากเช่นนี้ ข้าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ออกไปอย่างแน่นอน ”
พวกเขารู้ดีว่าหากนางต้องการที่จะป้องกันการรั่วไหลของข่าวนี้อย่างสมบูรณ์ มีวิธีมากมายที่จะปิดปากของพวกเขาได้ แต่นางกลับไม่ได้ทำ
หวงฝูอวี้ถามขึ้น “แม่นางมู่ เจ้ารู้จักจักรพรรดิเซี่ยหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีตกตะลึง “ผู้ใดคือจักรพรรดิเซี่ยรึ ?”
“เขาคือคนที่ลงมือช่วยแม่นางมู่ครั้งก่อน อีกทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังวิญญาณธาตุน้ำแข็ง” หวงฝูอวี้รู้สึกประหลาดใจมากที่มู่เฉียนซีไม่รู้จักจักรพรรดิเซี่ย แต่จักรพรรดิเซี่ยกลับช่วยชีวิตนาง
“จักรพรรดิเซี่ยเป็นใครหรือ ?” มู่เฉียนซีถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เขาเป็นผู้ควบคุมราชวงศ์ในทวีปหิมะ และเป็นคนที่น่ากลัวอย่างมาก” หวงฝูอวี้กล่าว
จักรพรรดิเซี่ยลงมือช่วยนางสามครั้ง ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาคงไม่ใช่ศัตรู
หลังจากที่หวงฝูอวี้กับคนของเขาจากไป อาถิงและจิ่วเยี่ยก็กลับมา ใบหน้าที่ดูละเอียดอ่อนของอาถิงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เขาจ้องมองจิ่วเยี่ยก่อนจะกล่าวว่า “จุดประสงค์ของเจ้าได้บรรลุแล้ว เหตุใดเจ้ายังไม่ไสหัวไปอีก!”
จิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง เขากล่าวว่า “ข้าจะไปที่แคว้นเฉียนเซี่ย”
“อืม”
“อ๊ะ! อืม…” เมื่อเห็นว่ามู่เฉียนซีไม่ได้เอ่ยคำใด จิ่วเยี่ยถือวิสาสะจุมพิตนาง
อาถิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวทันที “บัดซบ! เจ้ารีบปล่อยมู่เฉียนซีเร็ว ๆ เลย”
“สตรีบ้า! เจ้าเองก็กลับทำได้ลงคอนะ”
“เจ้า เหอะ! เจ้ามีรสนิยมแบบใดกัน ?!”
คนสองคนกําลังจูบกันอย่างร้อนแรง อาถิงที่อยู่ข้าง ๆ ถึงกับอ้าปากค้างเบิกตามอง ทว่ายิ่งอาถิงโกรธมากเท่าไหร่ จิ่วเยี่ยก็ยิ่งจุมพิตมู่เฉียนซีลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น ทําให้อาถิงโกรธจนระเบิดออกมา
“พอได้แล้ว น่าขยะแขยงนัก!”
จิ่วเยี่ยถอนจุมพิต แต่เขาก็กอดมู่เฉียนซีเพื่อเก็บหนี้ขณะที่ยิ้มเยาะอาถิงเล็กน้อย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย เจ้าจะไปแคว้นเฉียนเซี่ยไม่ใช่หรือ ? เหตุใดเจ้า…”
“ข้าไม่ได้รีบร้อนมากนัก” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงต่ำ
ศาลาเรือนรางเกาชั้นช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดก็สัมผัสถึงได้เพียงตำแหน่งอย่างพอประมาณเท่านั้น นั่นคือแคว้นเฉียนเซี่ย
มู่เฉียนซี “แต่ข้ารีบ หม้อเทพนิรันดร์กําลังจะหลับใหลแล้ว ข้าต้องรีบกลับไปยังแคว้นจื่อเยี่ยเพื่อไปดูอาการป่วยท่านอา ข้าไม่สามารถล่าช้าได้ ”
หากนางปล่อยตัว ยอมให้จิ่วเยี่ยหลงระเริง วันทั้งวันนางคงไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีไว้แน่น สุดท้ายก็ตามนางไป
คนทั้งสองเดินออกจากทะเล อาถิงเห็นเช่นนั้นก็ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธเคือง “เฮ้! พวกเจ้ารอข้าด้วย รอด้วย!”
ในตอนนี้พลังของเขานั้นถูกใช้ไปจนหมดสิ้น แต่กลับโดนพวกเขาทิ้งไว้เช่นนี้ เขาทนไม่ได้!
เขาได้แปลงร่างกลายเป็นแสงสีเขียว แล้วพุ่งเข้าไปในร่างกายของมู่เฉียนซี
ลมทะเลนั้นพัดผ่านหูไป ความเร็วของจิ่วเยี่ยจัดได้ว่าท้าทายฟ้าดิน เพียงเวลาพริบตาเดียว เขาก็ได้มาถึงบนผืนทะเลของแคว้นซูรื่อ
จิ่วเยี่ยวางร่างมู่เฉียนซีลง ดวงตามองไปที่นาง เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ซี… ข้านั้นจะต้องจากไปช่วงเวลาหนึ่ง ซีไม่อยากจะทำอะไรกับข้าก่อนที่ข้าจะไปสักหน่อยหรือ ?”
.