จื่อโยว “จิ่วเยี่ย เจ้าอย่าได้เหลวไหล เจ้าจะต้องปกป้องสตรีงามของเจ้า เจ้าเองก็รู้ดีว่าสถานการณ์ของนางนั้นไม่ดีเท่าไรนัก อยู่ในทวีปเซี่ยโจวนั้นมิเป็นไร แต่เมื่อนางออกจากทวีปเซี่ยโจวหรือว่าเดินทางขึ้นเหนือไปเมื่อใด สถานะของนางจะถูกเปิดเผยจนหมดสิ้น”
“ข้ารู้ดี” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชา
“เจ้านั้นถูกนางวางยาพิษขนานแรงเข้าไป ความคิดที่บ้าคลั่งเช่นนี้ยังมีได้” จื่อโยวกล่าวอย่างจนปัญญา
จื่อโยวนั้นท่องไปทั่วโลกมนุษย์ ได้พบเจอกับสตรีงามมาแล้วตั้งไม่รู้เท่าไร แต่สำหรับความคิดที่วิปริตของสหายเชื้อพระวงศ์ของตนนั้น เขาคงไม่มีทางเข้าใจได้ไปชั่วชีวิต
“ไสหัวไป!” จิ่วเยี่ยรู้สึกรำคาญจื่อโยว จึงได้ไล่เขาไป
“ได้ เช่นนั้นข้าไปแล้ว เจ้าเองก็บ่มเพาะความรู้สึกกับแม่นางมู่เฉียนซีคนงามดี ๆ ก็แล้วกัน แท้ที่จริงแล้วไม่ต้องยุ่งยากมากเช่นนั้น เจ้านั้นก็จะต้มข้าวดิบจนสุกพร้อมแล้วมิใช่รึ ? แม่นางมู่คนงามคงอยู่ห่างเจ้าไม่ได้เป็นแน่แท้” จื่อโยวรู้แต่แรกแล้วว่าเมื่อเขามาไม้นี้จะต้องทำให้จิ่วเยี่ยกริ้วเป็นแน่ ดังนั้นแล้วเมื่อกล่าวจบ เขาจึงเร่งฝีเท้าหนีไปในทันที
……
ในที่สุดไป๋เหรินก็ได้เห็นมู่เฉียนซีเดินออกมาเสียที เขากล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นเสียเต็มประดา “มู่ซี เจ้าออกมาเสียที”
มู่เฉียนซีเอ่ยถาม “ไป๋เหริน ท่านมีเรื่องอะไรหรือ ?”
“ขอแสดงความยินดีด้วยที่เจ้าได้บรรลุเป็นระดับราชา อายุน้อยเช่นนี้หากว่าเป็นคนในสำนักของพวกเรา ถือได้ว่าเจ้าเป็นยอดอัจฉริยะ หลายร้อยปีจะมีสักคนหนึ่งที่ทำได้ดีเพียงนี้ มู่ซี พรสวรรค์ของเจ้านั้นช่างทำให้ผู้อื่นอิจฉาได้มากเสียจริง ๆ”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างทะนงตน “ท่านอิจฉานั้นก็สมควรอยู่ ใครใช้ให้ข้าเป็นยอดอัจฉริยะแห่งใต้หล้านี้ที่หาตัวจับไม่ได้ทั้งบนโลกมนุษย์และโลกสวรรค์กันเล่า ?” เขากล่าวยกยอแต่นางกลับไม่ถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังกล่าวยกตนต่อ ไป๋เหรินแสยะยิ้มมุมปาก จากนั้นกล่าวขึ้น “การออกมาฝึกฝนในครั้งนี้เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงกับเหล่าศิษย์น้องของข้า ข้าเองก็จะต้องกลับไปรายงานกับท่านอาจารย์แล้ว จึงไม่สามารถอยู่ฝึกฝนเป็นเพื่อนเจ้าได้”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ข้าเองก็เล่นมามากพอแล้ว อยากกลับแล้ว อย่างไรเสียใช้ชีวิตอยู่ที่ทวีปเซี่ยโจวนั้นก็สบายกว่า”
ใบหน้าของไป๋เหรินเผยสีหน้ายินดีออกมา “เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก พวกเรากลับไปด้วยกันเถอะ”
“ไป๋เหริน ท่านนั้นเปรียบเสมือนเป็นผู้ใต้บัญชาของข้า แน่นอนว่าจะต้องตามกลับไปกับข้า”
ไป๋เหรินแข็งทื่อ เจ้าเด็กอายุน้อยผู้นี้ยังจะเห็นเขาเป็นผู้ใต้บัญชาอยู่อีก มู่ซีจัดให้เขาเป็นบุคคลประเภทลูกน้อง ดังนั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงรีบเดินทางไปทางกับไป๋เหริน เพราะว่ามีไป๋เหรินที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิผู้นี้อยู่ การเดินทางตลอดทั้งเส้นทางจึงราบรื่น ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามายุ่ง
ไป๋เหรินนั้นคิดจะพานางไปพบกับท่านอาจารย์ของเขา ถ้าหากว่าท่านอาจารย์ของเขาชอบพอในพรสวรรค์ของเจ้าหนุ่มมู่ซี ผู้อาวุโสที่สามของเขาก็จะมีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
แต่หากว่าอาจารย์ของเขาไม่ชอบเจ้าหนูผู้นี้ เช่นนั้นเขาก็จะลงมือฆ่ามู่ซีเสียและชิงเอากระบี่เล่มนั้นมา เพราะเขาผู้เดียวรับมือกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งนั้น มันยากลำบากมากเหลือเกิน
ไม่นานพวกเขาก็กลับมาถึงที่เมืองตงตู ไป๋เหรินกล่าวว่าจะพามู่เฉียนซีไปพบอาจารย์ของเขา แน่นอนว่ามู่เฉียนซีตอบตกลงด้วยความดีใจ นางเองก็อยากรู้เช่นกันว่าผู้อาวุโสที่สามแห่งหุบเขาหมอเทวดาได้นําแผนที่ม้วนไม้ไผ่ติดตัวมาด้วยหรือไม่ ผู้อาวุโสที่สามแห่งหุบเขาหมอเทวดาดูเหมือนจะเป็นชายชราสง่างาม เมื่อเขาเห็นศิษย์ที่สี่ของตนพาเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกลับมาด้วย เขาก็ตกใจเล็กน้อย
“เหรินเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าข้านั้นไม่ชอบที่จะพบกับคนนอก การออกเดินทางครั้งนี้เกิดอะไรขึ้น ? เหตุใดเจ้าจึงมิกลับมาเพียงผู้เดียว ?”
“มู่ซี เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะสนทนากับท่านอาจารย์ของข้า” ไป๋เหรินกล่าวกับมู่เฉียนซี จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ให้ท่านอาจารย์ฟังจนจบ
หุบเขาหมอเทวดารับศิษย์ธรรมดา ๆ มาก็มิใช่น้อย เช่นนั้นแล้วพวกศิษย์ระดับธรรมดาเหล่านั้นตายไปก็ไม่ได้มีคุณค่าเงินตราอะไรแม้สักนิด ตายไปแล้วก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจ
“ราชาแห่งภูตระดับหนึ่งที่ยังอายุเพียงสิบหก หากว่าเขาไม่ได้กินยาเม็ด เช่นนั้นความสามารถของเขาช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก”
“หากว่าเขาได้ใช้ยาเม็ดเพื่อเพิ่มระดับ อย่างไรเสียความสามารถเช่นนี้ก็ถือว่าดี ไม่ว่าอยู่ที่สำนักนิกายระดับสองที่ใดก็ตาม ล้วนแต่ถือได้ว่าสูงสุดแล้ว”
ไป๋เหริน “เจ้าเด็กนั่นเป็นเด็กหนุ่มที่ถูกทางตระกูลเลี้ยงเอาใจจนเสียคน เขาจะต้องใช้ยาเม็ดเพื่อเพิ่มระดับอย่างแน่นอน หากไม่ได้กินยาเม็ดเพื่อเพิ่มระดับแล้วเขาแข็งแกร่งเพียงนี้ ข้าคิดว่านั่นเป็นไปไม่ได้”
ผู้อาวุโสที่สาม “ให้เจ้าเด็กนั่นเข้ามาพบข้า”
ผู้อาวุโสที่สามยิ้ม มองไปที่มู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าได้ยินเหรินเอ๋อร์บอกว่าพรสวรรค์ของเจ้านั้นไม่เลว แต่มีเพียงพรสวรรค์แล้วคิดที่จะเข้ามาในสำนักนิกายระดับสอง—หุบเขาหมอเทวดา ของข้านั้นยังมิเพียงพอ เจ้า…”
ผู้อาวุโสที่สามยังไม่ทันกล่าวจบ มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นมา “ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะเข้าสำนักหุบเขาหมอเทวดา ข้าเพียงแค่อยากมาเจอท่านผู้เฒ่ากับศิษย์พี่ไป๋เหรินเท่านั้น” ผู้อาวุโสที่สามถึงกับอึ้งงัน เขานั้นมั่นใจในสำนักของตนเอง ทว่ากลับมีคนมาบอกว่าไม่ต้องการจะเข้ามาในสำนักหุบเขาหมอเทวดาของเขา เจ้าเด็กนี่เป็นอะไรกัน ?!
หรือว่า… เด็กหนุ่มผู้นี้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ดีเยี่ยม แต่เขาเป็นเพียงแค่คนโง่งมคนหนึ่งที่ไม่รู้จักว่าอะไรดีไม่ดี
ไป๋เหรินกล่าว “ท่านอาจารย์โปรดระงับโทสะก่อนเถิด มู่ซีผู้นี้อาศัยอยู่ในทวีปเซี่ยโจวมาโดยตลอด ไม่เคยได้ยินชื่อหุบเขาหมอเทวดาของเรา อีกอย่าง เขายังเด็กนัก ไม่รู้จักโลกดีพอ”
ผู้อาวุโสที่สามนั้นไม่ถือสาอะไรกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ความอยู่แล้ว เขากล่าวขึ้น “อา… เช่นนั้นทดสอบพลังจิตของเจ้า” จากนั้นเขาหยิบเอาหินหยกสีขาวราวหิมะออกมา นี่เป็นหินหยกที่ใช้ทดสอบพลังจิต พรสวรรค์ในการฝึกฝนของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่เลว หากว่าพลังจิตของเขาผ่านการทดสอบ ก็สามารถรับเข้าเป็นศิษย์ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขใด ๆ
“ทดสอบรึ ? ทดสอบอย่างไร ?” มู่เฉียนซีเอ่ยถาม
ไป๋เหริน “เจ้าเพียงนำมือมาวางไว้บนมัน และรวบรวมพลังจิตเพียงเท่านั้น”
“อ้อ” มู่เฉียนซีพยักหน้า นางวางมือลงบนหินหยกก้อนนั้นพร้อมทั้งควบคุมพลังจิตของตนที่เพ่งออกไป นางควบคุมให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าไป๋เหรินเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว เพราะถ้าหากสูงเกินไป ก็ยากที่จะไม่ถูกสงสัยเข้า แสงสีขาวสว่างวาบส่องออกมา ไป๋เหรินนั้นแทบจะลูกตาถลน
“นั่น… นั่น…”
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ผู้ที่อายุเพียงสิบหกปีกลับมีพลังแข็งแกร่งกว่าเขาได้ ช่างกระทบต่อเขาอย่างมาก
ผู้อาวุโสที่สามจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยดวงตาเปล่งประกาย สำหรับนักปรุงยาแล้ว พลังจิตนั้นสำคัญกว่าพลังความแข็งแกร่ง มู่ซียังอายุน้อยเพียงเท่านี้แต่กลับมีพลังจิตสูง ช่างเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีโดยแท้
ผู้อาวุโสที่สาม “รอให้ข้าสำเร็จภารกิจที่ท่านเจ้าสำนักมอบให้ข้าในครั้งนี้เสียก่อน แล้วเจ้ากลับไปที่หุบเขาหมอเทวดากับข้า ข้าจะรับเจ้าเข้าเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ” ไป๋เหรินหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “ฮ่า ๆ ๆ มู่ซี ดูเหมือนว่าเจ้าจะกลายเป็นศิษย์น้องของข้าแล้ว น้องชายมู่…”
ทว่ามู่เฉียนซีกลับกล่าวขึ้นว่า “เอ่อ… ข้าขอปฏิเสธได้หรือไม่ ? ที่เซี่ยโจวมีครอบครัวและมิตรสหายของข้าอยู่ ข้าไม่ต้องการที่จะจากไป และไปยังหุบเขาหมอเทวดา”
มู่เฉียนซีไม่เห็นหุบเขาหมอเทวดาอยู่ในสายตาถึงสองครั้งสองครา จึงทำให้ทั้งสองคนนั้นที่สุดแสนจะภูมิใจในหุบเขาหมอเทวดาของตน ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
ไป๋เหรินกล่าว “น้องชายมู่ เจ้าอาจจะไม่รู้ หุบเขาหมอเทวดาของเรานั้นเป็นสำนักนิกายระดับสอง สำนักนิกายระดับหนึ่งเพียงหนึ่งเดียวแห่งทวีปเซี่ยโจวของเจ้านั้น สำหรับหุบเขาหมอเทวดาแล้ว มันเป็นเพียงแค่เศษขยะ! อีกอย่าง บุคคลทั้งสำนักของเรานั้นล้วนแต่เป็นนักปรุงยา มีตำแหน่งที่สลักสำคัญเป็นอย่างมากในแดนใต้ หากว่าเจ้าเข้าสำนักหุบเขาหมอเทวดาของเรา… เจ้า…”
ไป๋เหรินกล่าวแนะนำหุบเขาหมอเทวดาจนลิ้นฝืดปากแห้ง
ผู้อาวุโสที่สามในเวลานี้รู้สึกหดหู่เล็กน้อย หากประกาศชื่อหุบเขาหมอเทวดาของเขาออกไป ทั้งแดนใต้จะมีคนคุกเข่าร้องไห้ตั้งไม่รู้เท่าไรเพื่อที่จะขอเข้าเป็นศิษย์หุบเขาหมอเทวดาของพวกเขา
ทว่า… เจ้าเด็กหนุ่มมู่ซีกลับกล้าปฏิเสธ ช่างไม่รู้จักดีร้ายเกินไปแล้ว
หลังจากที่ไป๋เหรินสาธยายจบ มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นช้า ๆ “ไป๋เหริน ท่านหมายความว่าหากข้าเข้าร่วมกับหุบเขาหมอเทวดา แล้วข้าทำตัวอันธพาลไปทั่วทั้งทวีปเซี่ยโจว ก็จะไม่มีใครกล้าทำอะไรกับข้าเช่นนั้นรึ ?”
.
.
.
Related