มู่เฉียนซีผลักประตูน้ำแข็งของตำหนักน้ำแข็งออก ฉับพลันทันใดมีกระบี่น้ำแข็งนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาเล่นงานพวกนาง ทว่ามู่เฉียนซีมิได้มัวเหม่อลอย นางหลบหลีกอย่างรวดเร็ว
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
หลังจากที่การโจมตีของกระบี่น้ำแข็งนั้นหยุดลง มู่เฉียนซีเดินเข้าไปในตำหนัก ภายในตำหนักนี้มีกระบี่น้ำแข็งนับไม่ถ้วน ในขณะที่มู่เฉียนซีย่างเท้าก้าวเข้าไปในห้องโถงของตำหนักนี้นั้น กระบี่น้ำแข็งอีกหลายเล่มก็ดูเหมือนว่าจะมีชีวิตขึ้นมา พวกมันเริ่มโจมตีนาง
— ตูม! —
เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่น้ำแข็งที่ยั่วยุเหล่านี้ กระบี่มังกรเพลิงก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที
“อู๋ตี๋ เสี่ยวหง!” ในเมื่อกระบี่น้ำแข็งมีมากเช่นนี้ มู่เฉียนซีจึงเรียกให้ทั้งสองออกช่วยสมทบ
— ตูม! —
ทว่าอย่างไรก็ตาม เวลานี้มู่เฉียนซีได้เข้าไปในค่ายกลกระบี่น้ำแข็งและกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งยวด
เชียนอ้าวเซี่ยย่างเท้าตามมู่เฉียนซีเข้ามาในตำหนักช้ากว่าหนึ่งก้าว เขาจึงไม่ได้อยู่ในค่ายกลกระบี่น้ำแข็งนั้น แต่เมื่อเขาเห็นมู่เฉียนซีกำลังตกอยู่ในอันตราย สีหน้าของเขาพลันซีดเผือดลงในทันใด
“เสี่ยวซีซี นี่เป็นค่ายกลกระบี่อันเลื่องชื่อของจักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้ หากเข้าไปอยู่ในค่ายกลกระบี่นี้แล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือจักรพรรดิระดับเก้าก็รับมือได้ยาก ฉะนั้นระดับปรมาจารย์ภูตเกรงว่าจะ…”
‘ตายอย่างไร้ที่ฝัง’ คำห้าคำนี้ เขาพูดไม่ออกจริง ๆ
อู๋ตี้กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “กะเทยผู้นี้สมควรตายยิ่งนัก เจ้ารู้มาก่อนหน้านี้แล้วใช่หรือไม่ว่ามีค่ายกลกระบี่น้ำแข็งบัดซบนี้อยู่! จึงให้นายท่านของข้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายก่อน เจ้ามันร้ายกาจอย่างยิ่ง”
“ข้าเปล่า ข้าชอบเสี่ยวซีซีมากถึงเพียงนี้ ข้าจะปล่อยให้เสี่ยวซีซีเข้าไปตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไรกันเล่า”
— ฉึก! —
เสื้อผ้าอาภรณ์ของมู่เฉียนซีถูกคมกระบี่ฟันจนขาด เลือดสีแดงสดไหลหยดลงมา ทำให้ใจของเชียนอ้าวเซี่ยนั้นเต้นแรงขึ้นด้วยความตกใจ ทว่าในขณะนั้นเอง ดูเหมือนว่าเขาจะมีชีวิตชีวาและรู้สึกเจ็บปวดใจในเวลาเดียวกัน
“ข้าจะสู้จนตัวตาย นี่เป็นเพียงแค่ค่ายกลกระบี่ไม่ใช่หรอกรึ ?” อู๋ตี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พลันแปลงร่างให้ใหญ่ขึ้นและเริ่มต่อสู้อย่างสุดชีวิตของมัน
“เพลิงเผาสวรรค์!” เสี่ยวหงระเบิดเปลวไฟสีแดงเข้มออกมาอย่างดุเดือด มันเองก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อนายท่านของมันอย่างสุดชีวิตเช่นกัน
ทว่าค่ายกลกระบี่ของจักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้แข็งแกร่งมาก แม้ว่าพวกมันทั้งสองจะลงมืออย่างสุดเรี่ยวแรงที่มี ก็ยังดูเหมือนว่าจะไร้ซึ่งวิธีที่จะทำลายค่ายกลได้
“บัดซบ!” หากอาถิงตื่นขึ้นมา คาดว่าเขาคงจะมีวิธี แต่ตอนนี้เขากลับนอนหลับใหลเอาเป็นเอาตาย
เชียนอ้าวเซี่ยหลับตาลง ค่ายกลกระบี่นี้มีตาของมันอยู่ หากหาตาของค่ายกลนี้เจอก็จะช่วยเสี่ยวซีซีได้ แต่ตาของค่ายกลนี้อยู่ตรงไหนกันแน่ ? เชียนอ้าวเซี่ยพยายามรวบรวมสมาธิ ใช้ความรู้สึกเพื่อหาตาของค่ายกลนี้ จนในที่สุดเขาก็ได้เห็นกระบี่เล่มยาวสีขาวหิมะเล่มหนึ่ง
กระบี่เล่มนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการทำลายค่ายกลกระบี่นี้
กระบี่เล่มนั้นปักอยู่กับพื้นอย่างแน่นหนา เชียนอ้าวเซี่ยทุ่มสุดแรงเพื่อที่จะดึงมันแต่ก็ไม่อาจดึงออกมาได้ สายตาของเขาเจือความเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
เขาเอากริชเล่มหนึ่งออกมากรีดแขนตนเอง!
อู๋ตี้ “นายท่าน ๆ บุรุษผู้นั้นคิดหาวิธีไม่ได้จนกรีดแขนตัวเองแล้ว เขาคิดจะฆ่าตัวตายแล้ว บ้าคลั่งนัก! ขนาดนายท่านที่กำลังตกอยู่ในอันตรายในค่ายกลบ้า ๆ นี้ยังไม่คิดยอมแพ้เลย แล้วเจ้าคนผู้นั้นคิดบ้าอะไรถึงได้ทำเช่นนั้น ?”
— ติ๋ง! ติ๋ง! —
เลือดสีแดงสดของเชียนอ้าวเซี่ยไหลหยดลงมาทำให้ชั้นน้ำแข็งที่อยู่รอบ ๆ กระบี่เล่มนั้นเริ่มละลาย ในขณะที่ชั้นน้ำแข็งนั้นกำลังละลาย เชียนอ้าวเซี่ยชักกระบี่ยาวออกมา
เลือดของเขาที่หยดลงไปนั้นไม่เพียงพอที่จะละลายชั้นน้ำแข็งนั้นได้หมด ดังนั้นเชียนอ้าวเซี่ยจึงใช้กริชกรีดแขนอีกข้างหนึ่งของเขา จากนั้นชั้นน้ำแข็งที่อยู่ข้างล่างเริ่มละลายเร็วขึ้นกว่าเดิม ทว่าจิตใจของเขานั้นร้อนรนเป็นอย่างมาก
เร็วหน่อย… ต้องเร็วกว่านี้!
“มังกรเพลิงสังหาร!”
มู่เฉียนซีกวัดแกว่งกระบี่มังกรเพลิงอย่างบ้าคลั่งเพื่อปกป้องชีวิตตัวนางเอง ทว่ากลิ่นอายของค่ายกลกระบี่ทำให้นางเจ็บตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ เชียนอ้าวเซี่ยเห็นเช่นนี้ก็สุดแสนจะร้อนใจ เขากัดฟันทุ่มเทสุดกำลังเพื่อที่จะดึงกระบี่เล่มนั้นออกมาให้ได้โดยเร็ว
— ตูม! —
ในที่สุดกระบี่เล่มนั้นก็ถูกเขาดึงออกมา เวลาเดียวกันนั้นเองกระบี่น้ำแข็งที่กำลังโจมตีมู่เฉียนซีอยู่ในค่ายกลก็ดูเหมือนว่าจะสูญเสียจิตวิญญาณไป พวกมันทั้งหมดร่วงลงกระแทกพื้นพร้อม ๆ กัน
— แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง! —
“เสี่ยวซีซีเจ้ารีบรักษาบาดแผลของเจ้าก่อนเร็ว ไม่ต้องสนใจข้า!”
— ตุบ! —
เชียนอ้าวเซี่ยที่กำกระบี่เล่มนั้นอยู่ในมือตอนนี้ กล่าวจบร่างของเขาก็หมดสติร่วงลงกับพื้นทันที
ร่างของมู่เฉียนซีเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ก็ไม่ได้โดนจุดสำคัญ ทว่าเชียนอ้าวเซี่ยผู้นั้น… ทุกส่วนของร่างกายที่เขาคิดว่าเลือดสามารถไหลออกมาได้มากที่สุด เขาก็กรีดลงไปตรงนั้น ไม่ห่วงชีวิตของตนเองแม้แต่น้อย
เข็มยาเข็มหนึ่งปักลงที่หัวใจของเชียนอ้าวเซี่ย จากนั้นเลือดก็หยุดไหลทันที และนางก็ได้พันแผลให้กับเจ้าบุรุษโง่งมผู้นี้
กระบี่ในมือเชียนอ้าวเซี่ยระเบิดขึ้น มีลำแสงสีเลือดเปล่งประกายออกมาพร้อมกับร่างของชายหนุ่มวัยกลางคน รูปร่างหน้าตางดงาม ผมยาวสีขาวราวหิมะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซี ใบหน้าของเขาผู้นี้ดูละม้ายคล้ายกับชายผู้ไร้ประโยชน์ที่นอนอยู่บนพื้นมากนัก
สายตาของเขาจ้องมองกระบี่มังกรเพลิงในมือของมู่เฉียนซี เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทายาทของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น เจ้าหาสุสานของข้าเจอแล้ว คิดจะแก้แค้นข้ารึ ?”
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่เข้ามาในสุสานแห่งนี้ ก็คงไม่อาจกระตุ้นให้เกิดค่ายกลที่น่ากลัวเช่นนั้นขึ้นได้ แต่มู่เฉียนซีกลับเข้ามาพร้อมกระบี่มังกรเพลิงของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋นผู้เป็นคู่อริที่เคยตายด้วยน้ำมือของจักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้ แน่นอนว่านางต้องถูกต้อนรับเป็นพิเศษเช่นนี้
มู่เฉียนซี “ข้าไม่ใช่ทายาทของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น และที่ข้าเข้ามาที่นี่ก็เป็นเพราะความบังเอิญ”
จักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้ “หากคิดจะมาแก้แค้นก็บอกมาตามตรง อย่าทำท่าทางเสแสร้งเช่นนี้ หากเจ้าไม่ใช่ทายาทของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น เช่นนั้นเจ้ามีกระบี่มังกรเพลิงในครอบครองได้อย่างไรกันเล่า”
ก็เป็นเพราะเจ้ากระบี่มังกรเพลิงบัดซบนี่ต้องการให้นางเป็นเจ้าของให้ได้ ส่วนความสัมพันธ์กับจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น นางกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันมากนัก
“เพียงแต่… ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นยังไม่พอ เจ้ายังอ่อนแอเกินไป ถึงแม้ว่าตอนนี้พลังวิญญาณที่เหลืออยู่ของข้าจะมีเพียงน้อยนิด แต่การจะฆ่าคนอย่างเจ้านั้นยังนับว่าข้ามีแรงเหลือเฟือ” หลังจากที่จักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้กล่าวจบ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็ถาโถมเข้าหามู่เฉียนซีทันที
มู่เฉียนซีที่เดิมทีบาดเจ็บภายนอกอยู่แล้วนั้น เวลานี้นางได้รับบาดเจ็บภายในด้วย
“จักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้…” ทันใดนั้นเสียงที่แหบแห้งก็แว่วมาอย่างแผ่วเบา มือที่เรียวยาวงดงามกำกระบี่ยาวเล่มนั้นไว้
“อย่าทำร้ายเสี่ยวซีซี”
เชียนอ้าวเซี่ยผู้ที่อ่อนแอที่สุดในเวลานี้ เขานึกไม่ถึงว่าเขาที่เสียเลือดไปมากจะฟื้นขึ้นมาเร็วเช่นนี้ได้
ดวงตาที่สดใสราวกับผลึกน้ำแข็งคู่นั้นมองจักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้ “ข้าเป็นคนลากเสี่ยวซีซีเข้ามาที่นี่เอง นางไม่ได้ละเมิดต่อท่าน หากท่านจะลงโทษก็ลงโทษข้าแต่เพียงผู้เดียวเถิด”
จักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้โกรธกรุ่นแทบกระอักเลือด “เจ้าเป็นลูกหลานของข้าแต่กลับปกป้องคนนอก อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นทายาทของจักรพรรดิสงครามขวางอวิ๋น”
เชียนอ้าวเซี่ย “เสี่ยวซีซีไม่ใช่คนนอก ข้าเป็นเขยในจวนของเสี่ยวซีซี ข้าเป็นคนของนางแล้ว”
เวลานี้นับว่าเชียนอ้าวเซี่ยเป็นผู้ที่กล้ามาก อยู่ต่อหน้าผู้นำของเซี่ยโจว กลับกล้ากล่าววาจาเหลวไหลออกมาได้
จักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อได้ยินสิ่งที่เชียนอ้าวเซี่ยวกล่าวแจ้ง “ว่าอย่างไรนะ ? เป็นเขยในจวนรึ ? เจ้ามีเลือดเนื้อเชื้อไขเป็นคนของตระกูลเชียนแต่กลับเข้าไปเป็นเขยในจวนนาง เจ้าหักหลังบรรพบุรุษทำลายตระกูลงั้นรึ ?”
“ข้าต้องการเสี่ยวซีซี!” เชียนอ้าวเซี่ยตะเบ็งเสียงพลางขยับร่างเข้าใกล้มู่เฉียนซี
จักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้ชำเลืองมองเชียนอ้าวเซี่ยด้วยสีหน้าแววตาอ่านยาก “ในฐานะที่เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลเชียนของข้า เกิดมาไร้พลังวิญญาณแต่กำเนิด สวรรค์ต้องการล้างตระกูลข้าเช่นนี้รึ ?”
จักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้รู้สึกเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกหลานคนรุ่นหลังของตนเองอ่อนด้อยเช่นนี้ เขารู้สึกสิ้นหวังนัก
เดิมทีคิดว่าผู้ที่เข้ามาในสุสานของเขาจะเป็นอัจฉริยะที่จะมากอบกู้ความรุ่งโรจน์ในอดีตของเขากลับคืนมาใหม่อีกครั้ง ใครเลยจะคิดว่าจะเป็นผู้ไร้ประโยชน์เช่นนี้ไปได้
“อืม… อย่างไรเสียเลือดของเจ้าก็บริสุทธิ์เพียงพอจึงทำให้เจ้าสามารถดึงกระบี่เล่มยาวสีขาวหิมะเล่มนี้ออกมาได้ ในเมื่อพลังวิญญาณของเจ้าไม่มีมาตั้งแต่กำเนิด ทั้งยังไร้ซึ่งหนทางแก้ไข เช่นนั้นเพื่อให้ตระกูลเชียนมีผู้สืบทอดอย่างสมบูรณ์ เจ้ากับแม่นางผู้นี้ก็ให้กำเนิดทายาทสักคนเถอะ ต่อให้นางผู้นี้เป็นทายาทของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น ข้าก็จำต้องยอมรับ”
จักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้ที่พัวพันอยู่กับเรื่องนี้เป็นครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ตัดสินใจเช่นนี้
.
Related