มู่เฉียนซีที่กําลังจะเข้าร่วมกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตร แน่นอนว่าได้ถูกคุณหนูใหญ่อวิ๋นอี๋สังเกตเข้าแล้ว
‘เหอะ… หากมิได้มีรูปกายสวยงามดั่งเช่นนาง มันก็เพียงเท่านั้น’ อวิ๋นอี๋ครุ่นคิด
ยามนี้อวิ๋นอี๋ไม่ได้หยิ่งยโสโอหังเหมือนก่อนหน้านี้ นางเดินเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางต้องการเข้าร่วมกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตรหรือ ?”
“ใช่” มู่เฉียนซีพยักหน้าเล็กน้อย
“การเข้าร่วมกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตรต้องมีเหรียญตราของพันธมิตรหรือไม่ก็ต้องมีคนพาเข้าจึงจะเข้าได้ แม่นางในเวลานี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปได้”
มู่เฉียนซีถามขึ้นว่า “เช่นนั้นหากทดสอบการปรุงยา ต้องทำอย่างไรข้าถึงจะได้เข้าร่วม ?”
อวิ๋นอี๋ตะลึงงัน “เจ้า… เจ้าเป็นนักปรุงยารึนี่ ?”
“แน่นอน” มู่เฉียนซีตอบกลับเสมือนเป็นเรื่องธรรมดา เมื่ออวิ๋นอี๋ได้ยินว่ามู่เฉียนซีเป็นนักปรุงยา นางทำตัวสุภาพอบอุ่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“โอ้ท่านพี่! ในเมื่อท่านเป็นนักปรุงยา เช่นนั้นตามข้ามาได้เลย ข้าจะพาไปหาท่านอาจารย์ของข้าเพื่อทดสอบให้ท่านพี่เอง”
ความกระตือรือร้นอย่างอบอุ่นนี้ทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ไม่นาน อวิ๋นอี๋ยังพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อสังหารนางอยู่เลย
ท่านอาจารย์ของอวิ๋นอี๋เป็นท่านผู้นำรองของกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตรนี้ เมื่อเห็นอวิ๋นอี๋มา เขายิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ในที่สุดอวิ๋นเอ๋อร์ก็มาเยี่ยมข้าได้เสียทีนะ”
อวิ๋นอี๋ยิ้ม กล่าวขึ้น “ท่านพี่ผู้นี้อยากที่จะทำการทดสอบนักปรุงยา ท่านอาจารย์รีบจัดการให้นางเถอะเจ้าค่ะ”
ท่านผู้นำรองของกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตรมองมู่เฉียนซี รูปร่างหน้าตางดงามทว่าดูโลดโผนระคนมีความขบถอยู่ในตัว ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นช่างนิ่งสงบ ทำให้ไม่สามารถมองออกได้ถึงความคิดภายใน
“เจ้าประสงค์จะทำการทดสอบของนักปรุงยารึ ? ไม่ทราบว่าเจ้าจะทดสอบในระดับใดหรือ ?” ท่านผู้นำรองกล่าวถาม
มู่เฉียนซี “นักปรุงยาระดับกลางเจ้าค่ะ”
มู่เฉียนซีตัดสินใจที่จะก้มตัวค้อมต่ำแสดงถึงมารยาทอันดีไว้ก่อน นางเลือกที่จะเป็นนักปรุงยาระดับกลางก็พอแล้ว
ทว่าอวิ๋นอี๋ตกตะลึง ขณะที่ท่านผู้นำรองกล่าวอย่างตกใจ “นักปรุงยาระดับกลางรึ ?! เจ้า… เจ้าอายุเท่าใดแล้วในปีนี้ ?”
“สิบหกเจ้าค่ะ” มู่เฉียนซีตอบเสียงเรียบ
นักปรุงยาระดับกลางที่อายุเพียงสิบหก! ทั่วทั้งทวีปเซี่ยโจวนั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะในเหล่าอัจฉริยะ ใครเล่าจะคิดว่าที่เมืองชางเฟิงจะปรากฏตัวหนึ่งคนเช่นนี้
ท่านผู้นำรอง “เจ้ามากับข้า การทดสอบของเจ้า ข้าจะทำการทดสอบให้เจ้าเอง”
เมื่อพามู่เฉียนซีมาถึงสถานที่ทดสอบแล้ว ท่านผู้นำรองได้นำเอาสูตรยาออกมาหลายสูตร แล้วจึงกล่าวขึ้นมา “สูตรยาเหล่านี้ เจ้าเลือกได้ตามใจมาหนึ่งอย่าง หากหลอมปรุงออกมาสำเร็จถือว่าผ่านการทดสอบ”
มู่เฉียนซีเลือกออกมาตามสะดวกหนึ่งสูตร มันเป็นสูตรยาเม็ดระดับหก
นี่คือการทดสอบที่ยากที่สุดของนักปรุงยาระดับกลาง อวิ๋นอี๋กล่าวขึ้น “ท่านอาจารย์เจ้าคะ นี่ไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก หรือไม่ก็… ให้ท่านพี่สตรีผู้นี้เลือกอีกสักคราดีหรือไม่ ?”
ในเวลานี้นั้น ที่นางได้เป็นนักปรุงยาระดับล่าง เป็นเพราะว่านางได้เลือกการทดสอบขั้นต่ำที่ง่ายที่สุดนั่นก็คือการหลอมยาเม็ดระดับหนึ่ง นางจึงผ่านมาได้ ถ้าหากนางเลือกการหลอมยาเม็ดระดับสามแล้วละก็ เกรงว่างจะไม่มีทางผ่านได้เป็นแน่
ท่านผู้นำรองกล่าวขึ้น “อวิ๋นเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าข้านั้นจะเป็นท่านผู้นำรองของกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตร แต่ก็มิอาจจะทำการเพื่อเรื่องส่วนตัวได้ ผู้ใดใช้ให้แม่สาวน้อยผู้นี้โชคดีเช่นนั้นกันเล่า”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ยาเม็ดระดับหก ข้าน่าจะหลอมมันขึ้นมาได้”
กล่าวจบนางเดินเข้าไปในห้องปรุงยา ผ่านไปสองชั่วยามก็ได้นำยาเม็ดระดับหกออกมาให้ท่านผู้นำรองทำการตรวจสอบดู
เมื่อท่านผู้นำรองของกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตรตรวจสอบดูแล้ว เขาแทบลมจับ “สวรรค์โปรด! ยาเม็ดระดับหก เจ้า… เจ้าหลอมยาเม็ดระดับหกได้สำเร็จจริง ๆ”
อวิ๋นอี๋นั้นแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง นางตื่นตกใจปากอ้าตาค้าง พยายามรวบรวมสติก่อนจะกล่าวขึ้น “นักปรุงยาระดับกลางอายุน้อยเช่นนี้ ช่างน่าทึ่ง…”
หลังจากผ่านการทดสอบ มู่เฉียนซีก็ได้กลายเป็นนักปรุงยาระดับกลางแห่งกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตร กลุ่มนักปรุงยาพันธมิตรนี้ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ มากนัก ค่อนข้างที่จะมีอิสระอีกทั้งสวัสดิการมากมาย เช่นว่าสามารถซื้อขายสมุนไพรวิญญาณที่ราคาสูงเป็นอย่างมากได้ตามสะดวก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าร่วมกับกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตร มู่เฉียนซีไม่สามารถหาบันทึกเกี่ยวกับหม้อเทพนิรันดร์ในห้องตำราของพันธมิตรได้ ดูเหมือนว่านางต้องจัดการเรื่องบางเรื่องอีกสักหน่อย ก็ถึงเวลาที่จะต้องไปจากเมืองชางเฟิงแล้ว
ขณะที่มู่เฉียนซีกําลังครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะเข้าใกล้สำนักอวิ๋นเยียนนั้น อวิ๋นอี๋ก็ได้มาหานางโดยเข้ามากล่าวว่า “ท่านพี่ซี ท่านพ่อของข้าได้ยินมาว่ากลุ่มนักปรุงยาพันธมิตรของเรามีอัจฉริยะนักปรุงยาอย่างท่านมาเข้าร่วม จึงอยากจะพบท่านพี่สักหน่อยเจ้าค่ะ”
ในตอนนั้นที่อวิ๋นอี๋รู้ว่านางเป็นเพียงผู้ที่สามารถปรุงยาได้ ทว่ามิใช่นักปรุงยา นางดูหมิ่นต่าง ๆ นานาและต้องการจะแย่งชิงหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ไป แต่เวลานี้นั้น เมื่อมู่เฉียนซีได้เปลี่ยนสถานะเป็นนักปรุงยาแล้ว อวิ๋นอี๋ก็ตามติดนางประหนึ่งเป็นกาวหนังสุนัข สีหน้าท่าทางของคุณหนูใหญ่ผู้นี้เปลี่ยนไปได้ไวกว่าการพลิกหน้าหนังสือเสียอีก
เมื่อเห็นว่ามู่เฉียนซีนั้นไม่สนใจ อวิ๋นอี๋จึงกล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย “ท่านพี่ ผู้อาวุโสที่เจ็ดของสำนักอวิ๋นเยียนแห่งสักนิกายระดับหนึ่งยังอยู่ที่จวนของข้า ถ้าหากว่าเขาชอบในพรสวรรค์การปรุงยาของท่านพี่แล้วละก็ เขาอาจจะพาท่านพี่ไปที่สำนักอวิ๋นเยียนและถ่ายทอดวิชาให้ท่านพี่อย่างให้ความสำคัญก็เป็นได้” ดวงตาของมู่เฉียนซีส่องประกายมืดสลัวออกมา ที่แท้อวิ๋นอี๋มีความคิดเช่นนี้อยู่นั่นเอง
อวิ๋นอี๋รู้สึกทุกข์ใจอย่างมาก ด้วยเพราะผู้อาวุโสที่เจ็ดชอบเจ้าเด็กมู่ซีนั่น แต่ตอนนี้ยังจับตัวเขามาไม่ได้ มู่ซีนั้นตามหาตัวได้ยากนัก ท่านผู้อาวุโสที่เจ็ดจึงได้พาลมาโกรธมาพิโรธบิดาของนางด้วย หากนางสามารถหาผู้ที่มีความสามารถมากว่านั้นให้ผู้อาวุโสที่เจ็ดได้ มิเพียงแต่จะทำให้ผู้อาวุโสที่เจ็ดหายโกรธ แต่ยังจะพลิกร้ายกลายเป็นดีอีกด้วย
เมื่ออวิ๋นอี๋กล่าวขึ้นมา มู่เฉียนซีก็เริ่มตื่นเต้นแล้ว หากลอบสังหารผู้อาวุโสที่เจ็ดในเทือกเขาชีชง อาจจะพาให้กลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นลำบากไปด้วย ทว่าหากผู้อาวุโสที่เจ็ดมาเกิดเรื่องขึ้นที่เมืองชางเฟิง ผู้ที่โชคร้ายจะต้องเป็นอวิ๋นปู้หลัวเป็นแน่แท้
นางกําลังกังวลว่าจะไม่มีโอกาสที่ดีที่จะเข้าใกล้ผู้อาวุโสเจ็ด ทว่าอวิ๋นอี๋กลับมอบโอกาสหอมหวานเช่นนี้ให้กับนาง
มู่เฉียนซียิ้ม “ได้ ข้าจะไป”
อวิ๋นอี๋ปีติยินดีอย่างยิ่งยวด รีบพามู่เฉียนซีไปที่จวนของนิกายนอกสำนักอวิ๋นเยียน อวิ๋นปู้หลัวนั้นได้รู้จากบุตรสาวแต่แรกแล้วว่ามู่เฉียนซีมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา
สายตาของผู้อาวุโสที่เจ็ดจับจ้องมองไปที่มู่เฉียนซี “นักปรุงยาระดับกลางอายุสิบหกปีเอ๋ย เจ้ายินดีที่จะไปสำนักอวิ๋นเยียนกับข้าหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เอ่อ… ขอเวลาให้ข้าคิดสักหน่อยได้หรือไม่ ?”
“ย่อมได้”
อีกฝ่ายนั้นเป็นนักปรุงยาของกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตร แน่นอนว่าเขาจะไม่บีบบังคับ
สตรีอายุน้อยผู้นั้นบอกว่าขอเวลาคิดทบทวนดูก่อน คงเป็นเพียงแค่การทำทีเล่นตัว เมื่อถึงเวลานางจะตอบตกลงอย่างแน่นอน ผู้อาวุโสที่เจ็ดมีความเชื่อมั่นในตนเองเป็นอย่างมาก
อวิ๋นอี๋เชิญนางมาพักอยู่ที่นิกายนอกสำนัก แน่นอนว่ามู่เฉียนซีมิได้ปฏิเสธ เพราะแมวที่อยู่ใกล้ปลานั้นจะได้กินปลาก่อน
ขณะที่มู่เฉียนซีเข้าพักในคืนของวันนั้น อวิ๋นอี๋ก็ได้ไปปรึกษากับบิดาของตน
อวิ๋นปู้หลัว “อี๋เอ๋อร์ เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ สำนักของเรานั้นมีตำแหน่งที่ต่ำต้อยมาแต่ไหนแต่ไร หากว่าข้าตายไปในตอนที่ทันเห็นเจ้าทำให้อัจฉริยะผู้นั้นทำให้ผู้อาวุโสที่เจ็ดพึงพอใจ ก็คงจะดีมากแล้ว” อวิ๋นอี๋ “มู่เฉียนซีนางหยิ่งยโสโอหัง ไม่สนใจสิ่งใด ข้าเกรงว่าคงจะมิง่ายที่เราจะควบคุมนางนะท่านพ่อ”
อวิ๋นปู้หลัว “นางนั้นเป็นสตรีนางหนึ่ง เจ้าเองก็รู้ว่าในสำนักสาขาของเรา ผู้ใดมีวิธีรับมือกับสตรีที่ร้ายกาจที่สุด”
อวิ๋นอี๋ “ท่านพ่อหมายถึงพี่ใหญ่รึ ?”
“แน่นอน หากสตรีคนใดติดอวิ๋นนั่วขึ้นมา ภพชาตินี้อย่าได้หวังว่าจะได้อยู่ห่างจากอวิ๋นนั่วเลย ข้าจะแจ้งไปยังพี่ใหญ่ของเจ้าเอง”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นช่วงนี้ข้าจะไปยื้อให้นางอยู่ไว้”
พวกเขานั้นกำลังหาทางที่จะจัดการกับมู่เฉียนซี ส่วนมู่เฉียนซี นางกำลังขบคิดว่าจะทำเช่นไรให้ผู้อาวุโสที่เจ็ดมาตายที่สำนักอวิ๋นเยียนอย่างผีไม่รู้เทวดาไม่เห็น
……
อรุณรุ่ง…
ขณะที่มู่เฉียนซีกำลังฝึกซ้อม ก็ได้เห็นอวิ๋นอี๋พาบุรุษหน้าตาใสสะอาดเดินเข้ามา บุรุษผู้นี้แม้จะคล้ายอวิ๋นอี๋ ทว่าเขารูปงามดูดีกว่าอวิ๋นอี๋มากนัก
เขายิ้มอย่างอ่อนโยนพลางชายตามองมู่เฉียนซี “สวัสดีแม่นางมู่ ข้านั้นเป็นพี่ชายของอวิ๋นอี๋ มีนามว่าอวิ๋นนั่ว”
ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นของอวิ๋นนั่วดูเหมือนจะมีเสน่ห์ดึงดูด ในหัวของมู่เฉียนซีพลันปรากฏตัวอักษรขึ้นมาสามตัว
สะ-กด-จิต!
.
Related