— ตูม! —
พลังอันน่าสะพรึงกลัวก่อตัวเป็นพายุ และทั้งสองก็เริ่มต่อสู้กัน
“เจ้าผิดกฎ…” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะรีบพุ่งพรวดไปที่ผู้ตัดสิน ทว่าผู้ตัดสินไม่สนใจแม้แต่น้อย นางต้องการจะหยุดมันแต่กลับถูกผู้คุมของเขตราชารั้งเอาไว้
“ประลองต่อไปเถอะ” คุณหนูใหญ่อวิ๋นอี๋กล่าว นางต้องการให้เจ้ามู่ซีผู้นี้ตาย ในเมื่อเขามาถึงที่นี่ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อเฮยฝู่เห็นมู่เฉียนซีหลบหลีกอย่างรวดเร็วก็แสยะยิ้ม เร่งไล่โจมตีมู่เฉียนซีอย่างดุเดือด
กระบี่มังกรเพลิงถูกชักออกมา มู่เฉียนซีรวบรวมพลังวิญญาณทั้งหมดเข้าด้วยกันและโจมตีทันที
“มังกรเพลิงสังหาร!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติที่นางต้องร่ายเพลงกระบี่ที่โหดร้าย
— ตูม! —
ขวานสีดำขนาดใหญ่กับกระบี่ที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟสีแดงเข้มปะทะกันอย่างรุนแรง เกิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาทในทันใด
ทุกผู้คนตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ชายหนุ่มนัยน์ตาเขียวรับกระบวนท่าขวานสีดำนั้นไว้ได้ และร่างของเขาก็ไม่ได้แหลกเป็นเสี่ยง ๆ อย่างที่ทุกคนจินตนาการไว้
หลังจากที่อาวุธของทั้งสองปะทะกันในอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ร่างของทั้งสองก็ถอยหลังกันไปหลายก้าว
มู่เฉียนซีถอยหลังจนใกล้กับขอบเวทีประลองกว่าจะทรงตัวได้ ส่วนเฮยฝู่ผู้เป็นราชาแห่งภูตระดับหกนั้น แน่นอนว่าเขาทรงตัวได้ง่ายกว่ามู่เฉียนซีอยู่แล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ทุกคนก็ยังคงตะลึงอ้าปากค้าง
พลังความแข็งแกร่งของชายหนุ่มนัยน์ตาเขียวผู้นั้น เมื่อเทียบกับเฮยฝู่แล้ว ช่างแตกต่างกันไม่น้อย
เฮยฝู่กล่าวเสียงเย็น “เจ้าหนุ่ม ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไปเสียแล้ว เจ้ายอมรับความตายซะ!”
ขวานยักษ์สีดำถูกเฮยฝู่ยกขึ้นสูง จากนั้นขวานก็แยกออกเป็นสามเล่มอยู่กลางอากาศ
“สามพลังขวานสะท้านโลกันต์!” เฮยฝู่ตะโกน
“เจ้าหนุ่มรีบหลบเร็ว!” ทุกคนแทบจะอุทานขึ้นพร้อมกัน พวกเขาเกรงว่าหากคมขวานฟันโดนร่างเข้า มีหวังร่างต้องขาดสะบั้นเป็นสองท่อนแน่ ๆ
คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่า “หลบรึ ? จะให้หลบไปทางใดเล่า ? โดนสามขวานสะท้านโลกันต์ของเฮยฝู่เข้าไป โจมตีไปทั้งสามทิศจะหลบอย่างไรก็ไม่มีทางหลบพ้น”
ทว่ามู่เฉียนซีไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด แขนอันเรียวยาวของนางยกขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เหอะ! ต่อให้เจ้าแข็งแกร่ง แต่เจ้าคิดรึว่าข้าจะไม่มีไม้เด็ด ?”
— ปัง! ปัง! ปัง! —
มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องทั้งสามทิศ
“ทักษะตี้ซวน!”
นางได้ฝึกฝนทักษะตี้ซวนมาแล้ว ทักษะนี้เพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีของราชาแห่งภูตระดับหกได้
เมื่อทักษะตี้ซวนปรากฏพลังอานุภาพขึ้น ทุกผู้คนในลานประลองเวลานี้ก็ครึกครื้นขึ้นทันที
— แกร๊ง! —
— ครืน! —
ลานประลองที่แข็งแกร่งแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว!
— ตูม! —
ร่างสองร่างที่ปะทะกันนั้น ก็ได้กระเด็นออกไปอีกครั้ง
มู่เฉียนซีได้รับผลกระทบจากพลังราชาแห่งภูต เลือดสดไหลออกจากมุมปากเล็กน้อย ทว่าสภาพของเฮยฝู่ในเวลานี้น่าอนาถกว่านางมากนัก
“พรวด!”
เมื่อเผชิญหน้ากับทักษะตี้ซวนถึงสามครั้งติดต่อกันเช่นนี้ เฮยฝู่รู้สึกว่าโลหิตในกายกำลังปั่นป่วน และอวัยวะภายในร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
“บัดซบ!” เมื่อเห็นสภาพเวทีประลองเป็นเช่นนี้ อวิ๋นอี๋ก็โกรธจนใบหน้าเครียดคล้ำ
“เขาซ่อนอาวุธสังหารไว้เช่นนี้รึ ?!”
องครักษ์ที่ติดตามอวิ๋นอี๋ตกใจอย่างมิอาจเปรียบได้เช่นกัน เจ้าหนุ่มผู้นั้นที่ประมือกับเฮยฝู่เป็นเพียงปรมาจารย์ภูตระดับสี่ ทว่าเขากลับเก่งกาจ ไล่ฆ่าคู่ต่อสู้มาตั้งแต่ปรมาจารย์ภูตเขตสองจนถึงราชาแห่งภูตเขตสอง อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงทักษะวิญญาณที่ยอดเยี่ยมมากเช่นนี้อีก
นึกไม่ถึงเลยว่าไม้เด็ดจะยังนำออกมาใช้ไม่หมด มาถึงขั้นนี้ กว่าจะทำให้นางงัดเอาไม้เด็ดออกมาได้นั้นนับว่าน่ากลัวยิ่งนัก
“คุณหนูใหญ่ คนผู้นี้มีสถานะไม่ธรรมดาเลย ทางที่ดีอย่าไปวุ่นวายกับเขาจะดีกว่า”
อวิ๋นอี๋ “แต่ระหว่างข้ากับมันขัดแย้งกันแล้ว หากเราวางมือตอนนี้เจ้าคิดว่าเขาจะยอมเลิกราไปง่าย ๆ รึ ?”
“เรื่องนี้เรากลับไปปรึกษากับเจ้าสำนักก่อนจะดีกว่า”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
ฝีมือของมู่เฉียนซีทำให้อวิ๋นอี๋ไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรผลีผลามอีก และแสดงให้รู้ว่าเขาสามารถมีชีวิตรอดออกไปจากลานประลองยุทธ์ใต้ดินแห่งนี้ได้
เวลานี้เฮยฝู่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส คิดจะเอาชนะเจ้าหนุ่มผู้นี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ
“มังกรวารีพิฆาต!”
เฮยฝู่ไม่ทันลงมือ มู่เฉียนซีก็เคลื่อนไหวต่ออีกหนึ่งกระบวนท่า
“ข้าจะแพ้ไม่ได้!” เฮยฝู่คำรามออกมาพร้อมระเบิดพลังที่น่าสะพรึงกลัว “เหอะ! นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบีบบังคับให้ข้าเฮยฝู่มาถึงขั้นนี้ได้”
“ดูนั่น! เฮยฝู่กำลังบ้าคลั่งแล้ว เจ้าเด็กนั่นต้องแหลกเป็นชิ้น ๆ แน่”
เหล่าผู้คนที่มาชมการประลองส่วนใหญ่จะเป็นคนเก่า ๆ หน้าเดิม ๆ เฮยฝู่มีไม้เด็ดอะไรพวกเขานั้นรู้ดี เมื่อก่อนเฮยฝู่ก็เคยบ้าคลั่งเช่นนี้มาแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่านาง อีกทั้งเฮยฝู่ที่ตอนนี้กำลังบ้าคลั่ง ทว่าสำหรับมู่เฉียนซีแล้ว เฮยฝู่ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย
นางกวัดแกว่งกระบี่มังกรเพลิงและนับอย่างช้า ๆ “หนึ่ง… สอง… สาม…”
— ปัง! —
จากนั้นทุกคนก็ได้เห็นขวานสีดำขนาดใหญ่นั้นตกลงมาบนเวทีประลอง
ร่างมู่เฉียนซีกะพริบไปข้าง ๆ เฮยฝู่ และผลักราชาแห่งภูตระดับหกลงไปจากเวทีประลองเบา ๆ นางวางยาพิษคู่ต่อสู้โดยที่คู่ต่อสู้ไม่รู้ตัวเลย
มู่เฉียนซีลงมาจากเวทีประลองก่อนจะกล่าวว่า “การประลองในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว วันพรุ่งข้าจะมาใหม่” กล่าวจบมู่เฉียนซีก็พาเสี่ยวชีกลับไปทันที
…
เฟิงหลิงอวิ๋นเห็นมู่เฉียนซีกลับมาอย่างปลอดภัยก็โล่งอกโล่งใจ ไม่นานนักเขาได้ยินข่าวที่น่าทึ่งจากลานประลองยุทธ์ใต้ดิน
จากปรมาจารย์ภูตเขตสองไต่ระดับขึ้นไปเขตสาม ต่อมาก็ไต่ระดับเลื่อนไปในราชาเขตหนึ่ง สุดท้ายก็ไต่ระดับขึ้นไปต่อสู้กับเฮยฝู่และทำให้เฮยฝู่พ่ายแพ้ในราชาเขตสอง
เรื่องนี้หากฟังไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ทว่าวันนี้มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในลานประลอง และที่น่าทึ่งไปมากกว่านั้นก็คือตัวเอกที่ทำเรื่องนี้เป็นคนในนามของกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นของเขานั่นเอง
เฟิงหลิงอวิ๋นเหลือเชื่อกับความจริงที่เกิดขึ้นนี้อย่างมาก
อาการบาดเจ็บของเสี่ยวชีดีขึ้นมากแล้ว ต่อไปพวกเขาจะต้องลงประลองที่ลานประลองยุทธ์ใต้ดินอีกครั้ง และมู่เฉียนซีจะให้เสี่ยวชีเรียนรู้การใช้พิษ
เสี่ยวชีในฐานะที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการสังหาร การเรียนรู้ในการใช้พิษของเขาจึงรวดเร็วมาก
ราชาเขตสองเกือบจะถูกคนวิปริตทั้งสองกวาดจนหมดสิ้น ทุกคนต่างก็ร้องโอดครวญ พวกเขาเคยยั่วยุมู่เฉียนซีและทำให้มู่เฉียนซีก้าวกระโดดไปประลองในราชาเขตสาม
ความแข็งแกร่งของตนเองสามารถรับมือได้ถึงระดับใดนั้น มู่เฉียนซีรู้ตัวเองดีที่สุด นอกจากการใช้ยาพิษและการฝึกทักษะซวนตี้ให้ถึงขีดสูงสุดแล้ว คู่ต่อสู้ที่เป็นปรมาจารย์ภูตระดับหกขึ้นไปยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
ผู้ประลองในเขตสองกลายเป็นเป้าหมาย พวกเขาล้วนแต่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการสังหารในลานประลองใต้ดินแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะถูกโจมตีจนเนื้อตัวแตกยับไปทั่ว ทว่าพลังความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ในการฝึกพลังความแข็งแกร่งที่เข้มข้นครั้งนี้ ทำให้มู่เฉียนซีทะลวงพลังวิญญาณได้อีกหนึ่งระดับ
ปรมาจารย์ภูตระดับห้า นางเป็นปรมาภูตระดับห้าแล้ว!
หลังจากที่ได้ทะลวงพลังวิญญาณเป็นปรมาจารย์ภูตระดับห้าสำเร็จ มู่เฉียนซีก็สิ้นสุดการฝึกพลังความแข็งแกร่งที่ลานประลองยุทธ์ใต้ดินแห่งนี้ทันที นางขอให้เฟิงหลิงอวิ๋นจัดหาสถานที่เงียบสงบให้กับนาง แล้วให้เสี่ยวชี อู๋ตี้ และเสี่ยวหงเฝ้าเอาไว้ จากนั้นนางก็เริ่มทำการหลอมปรุงยา
“นายท่าน เจ้าตะกละชิงอิ่งนั่นก็ไม่อยู่ นายท่านจะปรุงยามากมายเช่นนั้นทำไมกันหรือ ?” อู๋ตี้กล่าวถามด้วยความฉงนสงสัย
มู่เฉียนซี “ชิงอิ่งยังไม่ตื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่ต้องใช้ยา”
มู่เฉียนซีหลอมยาระดับหนึ่งจนถึงยาระดับแปด อีกทั้งยังมียาแผนปัจจุบันอีกนับไม่ถ้วน ต่อมาก็เป็นยาพิษ
ยาพิษมากมายหลายแขนงที่มู่เฉียนซีหลอมปรุงออกมา ทำให้อู๋ตี้ขนลุกเล็กน้อย
หลังจากที่มู่เฉียนซีตระเตรียมของเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เฟิงหลิงอวิ๋นก็มาหานางและบอกกับนางว่าอวิ๋นปู้หลัว เจ้าสำนักแห่งสำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียนนั้นมาหานาง
ประกายแสงเย็นวาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี ไม่ทราบว่าสำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียนนี้คิดจะทำการใด
อวิ๋นปู้หลัวมองชายหนุ่มนัยน์ตาเขียวและเดินเข้ามา ด้วยรูปงามอย่างหมดจดนี้ทำให้ผู้คนหลายคนไม่กล้าจ้องเขาตรง ๆ
ช่างเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างแท้จริง
.
Related