มู่อีกล่าวตอบ “ตามที่ข้ารู้ ดูเหมือนว่าเยี่ยอ๋องจะยังไม่กลับมาขอรับ”
มู่เฉียนซีบ่นพึมพำ “สรุปแล้วเขากำลังตามหาใครอยู่กันแน่ ? ความสามารถของเขามีมากถึงเพียงนั้น หามาเป็นเวลานานยังหาไม่เจออีกหรือ ?”
แน่นอนว่ามู่เฉียนซีนางไม่ได้กังวลในเรื่องความปลอดภัยของจิ่วเยี่ย คาดว่าต่อให้คนของสำนักหมอเทวดามากันมากขึ้นกว่าเดิมสิบเท่า ก็ไม่อาจทำให้บุรุษผู้เก่งกาจอย่างจิ่วเยี่ยอับจนหนทางได้
“แล้วมีข่าวอะไรเกี่ยวกับจวินโม่ซีบ้างหรือไม่ ?”
ถึงแม้ว่าจวินโม่ซีจะมีพลังแข็งแกร่งกว่านาง ทว่าเขาถูกเหล่ายอดฝีมือระดับจักรพรรดิแห่งภูตตามล่า มันย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน
เขาเกรงว่าแผนที่บนม้วนไม้ไผ่จะถูกผู้อื่นแย่งเอาไป และกลัวว่าจะต้องเป็นสาเหตุที่ทำให้นางกับตระกูลมู่ลำบากไปด้วย เช่นนั้นแล้วเขาจึงได้ทิ้งแผนที่ม้วนไม้ไผ่ไว้ก่อนจะหลบหนีไปเพียงตัวคนเดียว
มู่อี “ท่านนักปรุงยาจวินผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นเคลื่อนไหวหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเรายังไม่ได้เบาะแสใดเกี่ยวกับเขาเลยขอรับ”
มู่เฉียนซีขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “อืม แจ้งข่าวไปที่สำนักเฟินเทียน ถามเรื่องเกี่ยวกับแดนลึกลับทางเขตตะวันตกให้ข้าสักหน่อย”
“ขอรับ”
ในเมื่อหาจวินโม่ซีไม่เจอ มู่เฉียนซีจึงจำต้องเรียนรู้และขบคิดเกี่ยวกับแผนที่บนม้วนไม้ไผ่ทั้งสองด้วยตัวนางเอง
แผนที่ในมือของนางเวลานี้นั้น มีจำนวนมากกว่าของสำนักหมอเทวดาหนึ่งม้วน มู่เฉียนซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งทว่าก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา นางทำได้เพียงแค่นำหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ขึ้นมาดู
คนหนุ่มของสำนักหมอเทวดาผู้นั้นบอกนางว่า ผู้อาวุโสเก่าแก่ในสำนักของเขาเปิดผนึกชั้นที่สองของหม้อพิษสามอสูรจึงได้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้มา หรือว่า… นางจะต้องเปิดผนึกชั้นที่สองของหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ถึงจะได้ความอะไรเพิ่มเติมบ้าง
ทว่านางเพิ่งจะได้หม้อเทพปาฮวางชิงมู่มา เพิ่งจะเปิดผนึกขั้นที่หนึ่งของหม้อไปได้ไม่นาน แล้วผนึกหม้อขั้นที่สองนี่เล่า จะต้องเปิดมันเช่นไร ?
แม้ว่าจะยังไม่ได้ข่าวของจิ่วเยี่ยและจวินโม่ซี ข่าวจากทางสำนักเฟินเทียนก็ส่งมาแล้ว
เมื่อฮั่วอู๋จี๋ได้ยินว่ามู่เฉียนซีนั้นสนใจในแดนลึกลับทางเขตตะวันตก เจ้าสำนักป้านซิงจึงได้เดินทางมาหาด้วยตนเอง เขากล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “ผู้นำตระกูลมู่ เจ้าสนใจในเรื่องแดนลึกลับทางเขตตะวันตกรึ ? เจ้าคิดที่จะเข้าไปในแดนลึกลับหรือ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าในแดนลึกลับทางเขตตะวันตกนั้นมีเม็ดยาระดับปฐพีอยู่ เจ้าว่าข้าอยากจะเข้าไปหรือไม่ล่ะ ?”
ฮั่วอู๋จี๋ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้นำระกูล ข้าจะจัดการเพิ่มชื่อในการแข่งขันระหว่างสำนักเข้าไปชื่อหนึ่ง เจ้าเข้ามาปลอมตัวเป็นลูกศิษย์ของสำนักข้าชั่วคราวได้หรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ปลอมตัวรึ ?”
ฮั่วอู๋จี๋ “หากคิดที่จะเข้าไปในแดนลึกลับแห่งทวีปเซี่ยโจว ทางเขตตะวันตกของพวกเรานั้นจะมีการจัดการแข่งขันครั้งใหญ่ระหว่างสำนักที่อยู่เจ็ดอันดับแรก ศิษย์ผู้มีความสามารถและพรสวรรค์ของสำนักที่อายุยังไม่เกินสามสิบปีถือว่าเข้าเงื่อนไขที่จะเข้าร่วมการแข่งกัน สำนักที่ได้สามอันดับแรกจึงจะมีสิทธิ์ได้เข้าไปในแดนลึกลับทางเขตตะวันตก”
ใบหน้าของฮั่วอู๋จี๋ฉายแววละอายใจ “ความสารถที่แท้จริงนั้น โดยรวมแล้วสำนักเฟินเทียนของพวกเราค่อนข้างอ่อนแอ พวกลูกศิษย์รุ่นเยาว์ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เมื่อก่อนนี้หวังเพียงจะได้หนึ่งในสามก็ริบหรี่มากพอแล้ว มาตอนนี้จะได้เข้าไปเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกยิ่งเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากว่าผู้นำตระกูลมู่ยินยอมที่จะเข้าร่วมละก็ นี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของสำนักเฟินเทียนของพวกเรา”
“ใช่แล้วผู้นำตระกูลมู่ ตอนนี้พลังของเจ้าแข็งแกร่งเพียงใดแล้วรึ ?”
มุมปากมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย “เจ้าสำนักเฟินเทียน เจ้าไม่รู้ว่าพลังของข้านั้นอยู่ระดับขั้นใดแล้วยังวางใจให้ข้าเข้าร่วม เจ้าไม่กลัวว่าข้านั้นจะอ่อนแอเสียยิ่งกว่าลูกศิษย์สำนักเฟินเทียนของเจ้าหรืออย่างไร ?”
ฮั่วอู๋จี๋กล่าวขึ้น “มันไม่เหมือนกันผู้นำตระกูลมู่ ถึงต่อให้เจ้าจะสู้คนพวกนั้นไม่ได้ เจ้าก็ยังสามารถใช้พิษเล่นงานพวกนั้นให้ตายตกไปได้ อย่างไรเสียข้าก็มีความมั่นใจในตัวเจ้า”
มู่เชียนซีสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “พลังของข้าในตอนนี้คือปรมาจารย์ภูตระดับสอง คงจะถือว่าผ่านอยู่กระมัง”
ฮั่วอู๋จี๋มองนางด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อในทันที เขากล่าวขึ้น ใบหน้าทาบทาไปด้วยความตกตะลึงอึ้งงัน “ว่าอย่างไรนะ ? ปรมาจารย์ภูตระดับสองรึ ? ผู้นำตระกูลมู่เจ้าได้บรรลุเข้าขั้นปรมาจารย์ภูตแล้วรึ ?!”
“เมื่อไม่นานมานี้เจ้า… ไม่นานมานี้เจ้ายังเป็น…”
ฮั่วอู๋จี๋ตกใจอย่างมาก ครั้งนี้การแข่งขันระหว่างสำนักทั้งเจ็ดนั้นได้กำหนดให้ผู้ที่เข้าร่วมต้องมีอายุอยู่ภายในช่วงไม่เกินสามสิบปี
ระยะเวลาในการฝึกฝนของหัวหน้าตระกูลมู่นั้นมีเพียงแค่ครึ่งเดียวหากเทียบกับผู้อื่น โชคดีที่หากว่าพลังความสามารถไม่เพียงพอ นางยังสามารถเอายาพิษมาทดแทนส่วนที่ขาดไปได้
แต่มาตอนนี้… ผู้นำตระกูลมู่ได้ก้าวผ่านไปเป็นขั้นปรมาจารย์ภูตแล้ว นางมีพลังและความสามารถที่จะไปต่อกร ไปสู้กับคนอื่น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์
หั่วอู๋จี๋สงบสติอารมณ์ เขากล่าว “เมื่อถึงเวลาแข่งขัน ข้าจะมารับผู้นำตระกูลถึงจวนสกุลมู่ ครั้งนี้ผู้นำตระกูลมู่ เจ้าจะต้องไปให้ได้!”
ต่อให้ถึงเวลานั้นแล้วคว้าตำแหน่งหนึ่งในสามไม่ได้เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ แต่ด้วยพรสวรรค์ราวปีศาจร้ายของผู้นำตระกูลมู่ คาดว่าจะสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจจนฟันร่วงได้ และอย่างน้อยก็น่าจะสามารถล้างอายให้พวกเขาสำนักเฟินเทียนได้สักครั้งหนึ่ง
มู่เฉียนซีพยักหน้าก่อนจะกล่าวตอบรับ “ได้”
จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้สืบข่าวเกี่ยวกับเม็ดยาระดับปฐพีและข่าวของจวินโม่ซีโดยผ่านช่องทางอื่น ด้วยความช่วยเหลืออย่างลับ ๆ จากสำนักใหญ่ป้านซิง หอหมอปีศาจจึงได้เปิดกิจการทั่วทั้งสี่แคว้นในภาคตะวันตกของทวีปเซี่ยโจว และกิจการก็เจริญรุ่งเรืองเหมือนเช่นเคย
เยวี่ยเจ๋อในเวลานี้งานยุ่งล้นมือจนแทบไม่ไหว ทว่าเมื่อเขาได้ข่าวว่ามู่เฉียนซีกลับมาแล้ว เขาก็ได้หาเวลาผละออกจากความวุ่นวายเพื่อไปพบนาง
“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว” เยวี่ยเจ๋อยิ้มกว้าง
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวขึ้น “เจ้าเองก็อย่าได้ให้ตนเองต้องเหนื่อยไปนัก ตอนนี้ก็มิใช่ว่าไม่มีใครให้ใช้งาน”
เยวี่ยเจ๋อ “ขอรับ รอให้ข้ายุ่งกับเรื่องงานช่วงนี้ให้เสร็จเรียบร้อยก็ไม่เป็นไรแล้ว จากนั้นข้าก็จะตั้งใจที่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง”
เมื่อเขาได้รู้ว่าพี่ใหญ่ของเขานั้นโดนจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงไล่ตามฆ่าสังหาร เขายิ่งเห็นชัดถึงความอ่อนแอของตัวเขาเอง ผู้ที่เป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นล่าง ๆ ต้องแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นถึงจะรอด!
ในตอนนี้เองเงาดำวาบเข้ามา
มู่อีกล่าวขึ้น “นายท่าน พวกเราได้ข่าวของนักปรุงยาจวินโม่ซีแล้วขอรับ”
เยวี่ยเจ๋อตกตะลึง “โอ้! ในที่สุดก็มีข่าวของเจ้าตะกละนั่นแล้วรึ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เขาอยู่ที่ใดหรือ ?” “ข้าได้ยินมาว่านักปรุงยาจวินโม่ซีได้เดินทางเข้าไปที่ทะเลทรายเมฆามืดขอรับ”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน “ทะเลทรายเมฆามืดที่อยู่ระหว่างแคว้นชิงกับแคว้นซวน เป็นหนึ่งในสองสถานที่อันตรายในทางเขตตะวันตกแห่งทวีปเซี่ยโจว”
ทางเขตตะวันตกของเซี่ยโจวมีสถานที่อันตรายสองแห่ง แห่งแรกคือบึงหมื่นพิษ ส่วนแห่งที่สองคือทะเลทรายเมฆามืด
หากมิใช่เพราะจวินโม่ซีถูกบีบบังคับให้หมดหนทาง เขาคงไม่เข้าไปในสถานที่ที่อันตรายเช่นนั้นอย่างแน่นอน เวลานี้เขาคงกำลังเผชิญอันตรายที่คุกคามเหมือนดั่งเช่นที่นางเจอ
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เจ้าไปเตรียมสัตว์พาหนะที่ใช้บินให้ข้าประเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปที่ทะเลทรายเมฆามืดสักครั้ง”
เยวี่ยเจ๋อ ใบหน้าตื่นตะลึงเต็มที่ “พี่ใหญ่ นั่นมันทะเลทรายเมฆามืด ท่าน…”
มู่เฉียนซี “ข้าผู้นี้สามารถออกมาจากบึงหมื่นพิษได้ ทะเลทรายเมฆามืดยังจะสามารถสร้างความลำบากให้แก่พี่ใหญ่ของเจ้าได้อีกหรือ สบายใจได้! สถานที่ที่อันตรายสุดขั้วเช่นนั้น อาจจะมีเม็ดยาระดับปฐพีอยู่ก็เป็นได้ ในตอนที่ไปตามหาจวินโม่ซี ข้าจะถือโอกาสตามหาเม็ดยาไปด้วย” มู่อีกล่าวขึ้น “ท่านผู้นำตระกูล จะให้ข้าส่งคนไปช่วยด้วยหรือไม่ขอรับ ?”
“ไม่ต้อง ๆ หากข้าเดาไม่ผิดละก็ ผู้ที่ตามล่าจวินโม่ซี อย่างน้อยก็คงมีคนระดับจักรพรรดิแห่งภูตปะปนอยู่บ้าง ต่อให้คนของพวกเราไปมากถึงเพียงใด เมื่อเผชิญกับจักรพรรดิแห่งภูตก็แทบไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย”
จวินโม่ซีเองก็รู้เรื่องนี้ดี ต้องเลือกคนสักผู้หนึ่งให้เดินทางออกจากจวนสกุลมู่เพื่อดึงดูดความสนใจของศัตรู
“แต่ว่า…”
“ไม่เป็นไร ข้าไปกับชิงอิ่งสองคนก็เพียงพอแล้ว”
“แต่ว่ามันอันตรายอย่างมาก…” เยวี่ยเจ๋อกับมู่อีไม่เห็นด้วยกับวิธีการของมู่เฉียนซีเลย
มู่เฉียนซีพยายามกล่าวให้พวกเขาสบายใจ “สบายใจได้ หากข้าสู้ไม่ไหว ความสามารถในการหนีเอาตัวรอดของข้านั้นถือว่ามีเพียงพอเทียบเท่ากับชิงอิ่ง ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน แล้วจะรีบกลับมาให้ถึงก่อนการประลองระหว่างสำนักของสำนักเฟินเทียน”
เมื่อมู่เฉียนซีได้ตัดสินใจแล้ว เยวี่ยเจ๋อและมู่อีก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งนางได้
ถึงแม้ว่าจะไปฟ้องนายท่านสามก็ตามที แต่นายท่านสามก็ตามใจผู้นำตระกูลมู่เป็นอย่างมาก เห็นทีคงห้ามปรามนางไม่สำเร็จ
และก็เป็นดังคาด นายท่านสามไม่ห้ามนางเลย
“หากซีเอ๋อร์จะไปละก็ ข้าจะไม่ห้าม ในทวีปเซี่ยโจวที่ขาดแคลนพลังวิญญาณนั้น ซีเอ๋อร์จะต้องรีบเติบโตขึ้น การฝึกฝนเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดมิได้”
สัตว์อสูรระดับสูงที่บินได้ บินไปด้วยความเร็วสูงสุดจนไปถึงเมืองที่อยู่ขอบชายแดนของแคว้นชิง นั่นก็คือ… เฮยอวิ๋นกวาน
หลังจากถึงเฮยอวิ๋นกวาน ในทะเลทรายเมฆามืดก็มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อันตรายที่บินได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วจึงไม่อาจที่จะบินเข้าไปได้อีกต่อไป จำเป็นต้องเลือกเดินทางทางบก
เงาร่างสีม่วงและสีเขียวมุ่งไปทางทะเลทรายเมฆามืด แต่ทว่าการที่จะตามหาคนในทะเลทรายที่กว้างไกลไร้ขอบเขตนั้นเป็นเรื่องยากอย่างมาก
.
Related