เหล่าผู้เฒ่าของสำนักอวิ๋นเยียนกล่าวขึ้นอย่างตระหนกตกใจระคนหวาดกลัว “คุณหนูสาม รีบถอยก่อนเถอะนะขอรับ บุรุษผู้นี้อันตรายและแข็งแกร่งยิ่งนัก เรามิใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยขอรับ”
ถึงแม้ว่าระดับจักรพรรดิแห่งภูตจะสกัดกั้นพลังนั้นของจิ่วเยี่ยออกไปได้ แต่ก็มิใช่สิ่งที่ควรจะรับมือเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป ภายในชั่วพริบตาเดียวจิ่วเยี่ยและทหารโครงกระดูกโลหิตของเขาทำให้เหล่าบรรดาผู้เฒ่าเหล่านี้รู้สึกเหมือนตนเองเป็นแมลงเม่าที่กำลังบินเข้ากองไฟก็มิปาน
อวิ๋นฮุ่ย นางยอมแล้ว เมื่อเผชิญสถานการณ์จนตรอกเช่นนี้ก็จำต้องรีบหนีไปด้วยใบหน้าซีดเซียวสภาพโทรม นางเรียกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาและรีบบินหนีไปในทันที
ทว่านางยังมิวายตะโกนอยู่บนท้องฟ้าว่า “มู่อวู่ซวง จากนี้ไปครึ่งปี หากเจ้าไม่ไปงานวันเกิดท่านพี่ข้า ต่อให้มีหมอปีศาจหรือบุรุษผู้นี้ปกป้องอยู่ สำนักอวิ๋นเยียนก็ไม่มีวันยอมปล่อยเจ้ากับตระกูลมู่ไปเป็นแน่”
มู่เฉียนซีมองร่างสีเหลืองบนท้องฟ้าพลางกล่าว “อวิ๋นฮุ่ย ฝากไปบอกท่านพี่ที่น่ารังเกียจของเจ้าด้วยว่าวันเกิดท่านพี่เจ้า ข้ามู่เฉียนซีจะทำให้นางต้องชดใช้อย่างหนักอย่างหนักเลยคอยดู”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
อวิ๋นฮุ่ยนั่งบนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บินหนีไป แต่ท่านผู้เฒ่าที่มีพลังระดับจักรพรรดิของสำนักอวิ๋นฮุ่ยสิบกว่าคนต้องถูกพลังทำลายล้างของจิ่วเยี่ยสังหารสิ้นชีพเพื่อปกป้องนาง
ร่างของผู้เฒ่าเหล่านั้นกลายเป็นโครงกระดูกขาวและอันตรธานหายไปภายในชั่วพริบตาเดียว
จิ่วเยี่ยอยากจะตามอวิ๋นฮุ่ยไปเพื่อที่จะฆ่าตัดรากถอนโคนนาง กลับโดนมู่เฉียนซีห้ามเอาไว้ “จิ่วเยี่ย ปล่อยนางไปก่อนเถอะ หากนางไม่หนีไปใครจะเป็นคนเอาคำพูดข้าไปบอกพี่สาวนาง นางผู้นี้กับพี่สาวของนาง คุณหนูใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นเยียน ข้าจะต้องฆ่าพวกมันด้วยน้ำมือของข้าเอง”
จิ่วเยี่ยพยักหน้าเบา ๆ พลางกล่าวเพียงคำเดียว “อืม”
เวลานี้ร่างสีเขียวเทาพุ่งเข้ามาตรงหน้ามู่เฉียนซี ดวงตาแหลมคมราวกับคมมีดคู่นั้นจ้องมองจิ่วเยี่ย
“หวงจิ่วเยี่ย”
จิ่วเยี่ยกล่าว น้ำเสียงเย็นชาเต็มสิบส่วน “ศาลาเรือนรางเก้าชั้น”
ดวงตาสีฟ้าที่เย็นยะเยือกและดวงตาสีเขียวอ่อนนั้นได้จ้องมองซึ่งกันและกัน จากนั้นทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยกลิ่นอายการทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวอย่างอธิบายไม่ได้
อาถิง “อยู่กับเจ้าใช่หรือไม่ ? เอามันออกมาให้ข้า!” กล่าวจบพลังแห่งจิตสังหารของอาถิงพุ่งตรงเข้าใส่หวงจิ่วเยี่ย
จิ่วเยี่ยสะบัดไล่พลังนั้นออกไปได้อย่างง่ายดาย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุดจะเย็นชา “ให้เจ้า พลังของเจ้าก็มีเพียงเท่านี้ จะให้ไปทำไมกัน ?”
“เจ้ารนหาที่ตายรึ ?!” ดวงตาของอาถิงฉายแววอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ
อึดใจต่อมา ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ร่างสีเขียวอ่อนและร่างสีดำต่อสู้กันอย่างดุเดือด กระบวนท่าที่รวดเร็วอย่างนับไม่ถ้วนโจมตีใส่กัน
— ตูม! ตูม! ตูม! —
พลังที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกมา จิตแห่งการทำลายล้างนั้นทรงพลังยิ่งกว่าราชาไป๋กู่เสียอีก
เมื่อทุกคนตรงนั้นเห็นการปะทะกันอย่างรุนแรงของทั้งสองต่างจำต้องวิ่งหลบ ทั้งสองมีพลังที่แข็งแกร่งมากเกินบรรยาย เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งนี้ไม่เหมือนมนุษย์แม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีห้ามทั้งสองเอาไว้ “พวกเจ้าสองคนหยุดเดี๋ยวนี้!”
อาถิง “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะฆ่าเขาให้จงได้ เขาจะได้ไม่มาวุ่นวายใจเจ้า”
น้ำเสียงอันเย็นชาของจิ่วเยี่ยเปล่งออกมาว่า “ซี ข้าไม่เอาเขาถึงตายหรอก”
อาถิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด “เจ้าชั่วช้า! ใครกันแน่ที่ต้องถูกสังหารสิ้นลมในวันนี้ ?!”
ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ทั้งสองจะต่อสู้กัน หากต่อสู้กันอย่างดุเดือนเลือดพล่าน มีหวังอาจจะเกิดความโชคร้ายกับมู่เฉียนซีขึ้นได้ ทั้งสองจึงกะพริบร่างหายไปต่อสู้กันที่นอกเมืองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“พวกเจ้าสองคน…” มู่ฉียนซีรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย เหนื่อยกับสตรีน่าเบื่ออย่างอวิ๋นฮุ่ยมาก็พักใหญ่ สองบุรุษนี่ยังจะมาผิดใจกันอีก…
แม้ร่างของทั้งสองบุรุษจะไม่ปรากฏให้เห็นแก่สายตาแล้ว แต่เสียงของทั้งคู่ที่ตะโกนออกมาพร้อมกันก็ดังให้ได้ยินว่า “อย่าตามมา!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างระอาใจ “ได้ ไม่ให้ข้ายุ่งข้าก็จะไม่ยุ่ง ถึงเวลาบาดเจ็บขึ้นมาข้าก็จะไม่สนใจพวกเจ้าเลยคอยดูเถอะ!”
มู่เฉียนซีไม่มีความคิดที่จะสนใจทั้งสองคนที่ต่อสู้อย่างดุเดือดเลือดพล่านราวกับเป็นศัตรูกันอีกแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือนางต้องไปดูท่านอาเล็ก
อาถิงใช้พลังพิเศษทั้งหมดยับยั้งพิษโบราณที่อยู่ในร่างของท่านอา ทั้งหมดนั้นระเบิดออกมาแล้วแต่กลับยังทำให้ท่านอาทรมานเป็นอย่างมาก
มู่อวู่ซวงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ซีเอ๋อร์ ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าไม่เป็นไร”
มู่เฉียนซี “ท่านอาต้องไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ”
สถานการณ์ของท่านอาในเวลานี้นั้น จะต้องมีสมุนไพรวิญญาณที่ดีกว่าของจวินโม่ซีถึงจะยับยั้งความเจ็บปวดของท่านอาเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นเกรงว่าคงไม่ถึงหนึ่งเดือน ร่างของของท่านอาจะต้องแหลกสลายไปเป็นแน่
มู่เฉียนซีให้มู่อู่ซวงกินยาปรับสมดุล นางกล่าวว่า “ชิงอิ่ง พาท่านอากลับไปพักผ่อน นับจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามให้ท่านอาใช้พลังเช่นนี้อีก มิเช่นนั้นข้าจะเล่นงานเจ้า”
“ขอรับ” ชิงอิ่งตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เฉียนอิ่งพามู่อวู่ซวงกลับไป จากนั้นมู่อีก็เข้ามารายงานนางถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น “ท่านผู้นำตระกูล ข้าน้อยทำงานพลาด ทำให้โอวหยางหว่านกับมู่หรูเหยียนถูกพวกนั้นช่วยไปได้ขอรับ”
ในที่สุดโอวหยางหว่านกับมู่หรูเหยียนก็หายตัวไปจนได้ อีกทั้งองครักษ์เงาและคนของสำนักไป๋กู่ก็ได้หายตัวไปเช่นกัน พวกเขาฉวยโอกาสตอนที่มู่เฉียนซีกำลังเผชิญหน้ากับคนของสำนักอวิ๋นเยียน เข้ามาช่วยทั้งสองหนีไป
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างโกรธขึ้ง “คนของสำนักอวิ๋นเยียน พวกมันสมควรตายนัก ไม่มีสิ่งใดทำกันแล้วหรือย่างไรถึงได้มาสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ ? แต่ก็ดี ข้าจะไปทำลายรังสำนักอวิ๋นเยียนเสียให้สิ้นซาก”
ในตอนนี้ท่านผู้นำโกรธเป็นฟืนเป็นไฟต้องการจะสังหารคนให้ได้ มู่อีและพวกต่างก็ยืนมองท่านผู้นำตระกูลด้วยความตกใจ
วันนี้คนของสำนักอวิ๋นเยียนมาผิดเวลาอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวเลย แต่เมื่อเวลาที่ท่านผู้นำตระกูลกับนายท่านสามจัดการกับโอวหยางหว่าน มู่หรูเหยียนและพวกสำนักไป๋กู่กลับปรากฏกายออกมา
และท้ายที่สุด นอกจากราชาไป๋กู่แล้ว ผู้กระทำความผิดอีกสองคนยังหลบหนีไปได้
ไฟโกรธในใจมู่เฉียนซีลุกโชนอยู่เต็มอก ทว่าก็สงบลงอย่างรวดเร็ว “มู่อี เจ้านำกำลังคนไปตามตัวสองคนนั่นให้ได้”
“ขอรับ”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นที่อยู่ในอาการบาดเจ็บเดินเข้ามาหานางก่อนจะกล่าวว่า “เฉียนซี มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซี “ตอนนื้จื่อตูเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาก ต้องมีคนที่มีอำนาจคอยจัดการ ไหนจะซวนหยวนจือ เจ้าไปดูเขาหน่อยเถอะ เรื่องเหล่านี้คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว อีกอย่าง ตัวเจ้าเองก็รีบรักษาอาการบาดเจ็บให้หายเร็ว ๆ ด้วยล่ะ”
มู่เฉียนซียัดยาใส่มือซวนหยวนชิงอวิ๋นชุดหนึ่งพลางกล่าว “ข้าบอกเจ้าแล้ว เวลากินยาวิญญาณห้ามตระหนี่เด็ดขาด สหายของเจ้าเป็นถึงหมอปีศาจเจ้ามิต้องกังวลเรื่องหยูกยา”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นรับยามาพลางยิ้มมุมปากเล็กน้อย เขาถามขึ้นว่า “เฉียนซี หมอปีศาจมิใช่พ่อหนุ่มเมื่อครู่คนนั้นหรอกหรือ ?”
มู่เฉียนซี “ข้าเองก็เหมือนกันกับเขา หรือเจ้าคิดว่าฝีมือการปรุงยาของข้าไม่เก่งกาจพอที่จะเป็นหมอปีศาจได้ ?”
“พอ เพียงพอแล้ว” ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ในทันใดนั้นจวินโม่ซีกล่าวขึ้นว่า “มู่เฉียนซีสาวน้อย เรือนหลังของเจ้าไฟกำลังไหม้ เจ้าไม่คิดจะไปดับไฟหน่อยรึ ?”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
มีเสียงดังสนั่นมาจากนอกเมืองราวกับผืนแผ่นพสุธาจะแยกออกจากกัน อาถิงกับจิ่วเยี่ยกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดขึ้นหน้า
มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง “ไฟไหม้เรือนหลังรึ ?”
จวินโม่ซีหัวเราะพลางกล่าว “เจ้าดูพวกเขาสิ คนหนึ่งเป็นรักเก่า อีกคนเป็นรักใหม่ รถไฟมาชนกันเช่นนี้ไม่ดีแน่ กลิ่นอายจิตสังหารนั่นช่างน่ากลัวยิ่งนัก! ข้าว่ามีหวังพวกเขาต้องสู้กันจนฟ้ามืดเป็นแน่แท้”
จวินโม่ซีรู้สึกได้ว่าบุรุษหนุ่มน้อยผู้นั้นต้องรู้จักมู่เฉียนซีมาก่อนและเป็นคนรักเก่าของนางแน่นอน ส่วนจิ่วเยี่ยได้มารู้จักทีหลัง เช่นนั้นก็คงจะเป็นรักใหม่ของนาง
คำพูดของจวินโม่ซีที่ว่ารักเก่ารักใหม่นั้น ทำให้มู่เฉียนซีอดที่จะกระตุกมุมปากมิได้ พวงแก้มของนางขึ้นสีแดงเรื่อ ๆ อย่างห้ามไม่ได้
ร่างของจิ่วเยี่ยมีคำสาปอยู่ เขาใช้พลังในการต่อสู้มากมายเช่นนี้ได้ด้วยหรือ ? ส่วนอาถิง เขาเพิ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อครู่นี้เอง ก่อนหน้านี้เขาไม่มีพลังเพียงพอที่จะออกมาได้ด้วยซ้ำ แต่มาวันนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้น เขากลับออกมาได้อย่างน่าแปลกใจ ก่อนหน้านี้เขาก็บอกอยู่ว่าพลังของเขายังอ่อนแอ เช่นนี้จะรับมือกับจิ่วเยี่ยได้อย่างไร ?
.
Related