เวลาผ่านไป ความหนาวเย็นเริ่มบังคับให้ร่างของทั้งสองที่อยู่ในน้ำ ต้องทำตัวโค้งงอขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีไว้แน่นขึ้นเรื่อย ๆ มู่เฉียนซีนางพบว่าร่างกายของเขาอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะว่าอยู่ในน้ำใช่หรือไม่ ?…
แต่ว่าในเวลานี้ นางกำลังใช้วิชาแยกร่างอยู่ ทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปปรุงยาได้ นางทําได้เพียงสวดภาวนาในใจให้จิ่วเยี่ยสามารถสงบสติอารมณ์ลง บางที… คําอธิษฐานของนางอาจจะส่งผลแล้ว จิ่วเยี่ยสามารถมาถึงขั้นนี้ได้โดยที่ไม่สูญเสียการควบคุมตนเอง
“จิ่วเยี่ย เจ้าทนทรมานอยู่ใช่หรือไม่ ?” นางกล่าวถามขึ้น
จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่เป็นไร แต่เจ้าอย่าได้ทิ้งข้าไปไหน”
“อืม ข้าไม่ทิ้งเจ้า” มู่เฉียนซีกล่าวพลางพิงลำตัวข้าง ๆ เขา
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ในที่สุดความหนาวเย็นก็เริ่มส่งผลขึ้นมาอีกระลอกแล้ว ทว่าผ่านไปอีกไม่นานนัก จิ่วเยี่ยปล่อยตัวจากมู่เฉียนซี จากนั้นนางเห็นจิ่วเยี่ยเดินขึ้นไปบนผิวน้ำ ถอดชุดคลุมที่เปียกปอนของเขาออก ค่อย ๆ ยกชุดคลุมขึ้นอย่างช้า ๆ
ผมสีดําเปียกชุ่มเกิดเป็นสีเหลือบสวยเสมือนผ้าไหมเนื้อดีห้อยปรกลงมาจากไหล่ของเขา เอวนั้นช่างคดโค้งงามสมบูรณ์แบบ มู่เฉียนซีมองสำรวจไปทั่วร่างเขา
ไหล่กว้าง ๆ เอวได้รูป แล้วก็…
การเคลื่อนไหวต่าง ๆ เหมือนจะเชื่องช้าลง ช่างสง่างามและสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง เขาคือบุรุษที่ทำให้ผู้ที่ได้มองคิดอยากกระทำความผิดบางอย่าง สุดท้ายมู่เฉียนซีทนดูต่อไปไม่ไหว เบนสายตาหนีเพราะกลัวใจตนเอง …หากนางมองดูเขาต่อไป นางคงจะพุ่งเข้าไปทำเรื่องบางเรื่องที่ทำให้ผมบนหัวร้อนยุ่งเหยิงเป็นแน่
บางครั้ง ความงดงามนั้นก็สามารถที่จะทำให้ใจของคนเกิดความวุ่นวายขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าไม่กล้า แต่ก็ต้องมองดูว่าความงดงามนั้นถึงขั้นไหนแล้ว
รูปร่าง ใบหน้า และเสน่ห์ระดับจื่อโยวยังคงขาดความเร่าร้อน แต่ว่าจิ่วเยี่ยนั้น… นางรู้สึกได้เลยว่าความต้านทานที่ตัวนางมีต่อเขาลดลงเป็นเส้นดิ่งอย่างรวดเร็ว!
หลังจากที่จิ่วเยี่ยได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มาดึงมู่เฉียนซีขึ้นมาด้วย ทั้งสองยืนอยู่บนผิวน้ำเสมือนยืนอยู่บนพื้นราบ
จิ่วเยี่ยยื่นมือออกมา กำลังที่จะถอดเสื้อให้มู่เฉียนซี นางจับมือเย็นยะเยือกของเขาเอาไว้ รีบกล่าวขึ้น “ไม่ต้อง ไม่เป็นไรเลย ข้าจัดการเองดีกว่า”
ร่างของมู่เฉียนซีขยับเหมือนดั่งจะพุ่งหนีออกไป ทว่าเมื่อนางมองเห็นแนวพุ่มไม้ที่อยู่ริมสระน้ำหนาวเหน็บนั่น กลับถูกจิ่วเยี่ยเข้ามาขวางห้ามเอาไว้
เขากล่าวขึ้น “ข้าอยากฝึก อย่าปฏิเสธข้า”
ในป่าที่มืดมิด จื่อโยวได้ยินเสียงเปลื้องผ้าอย่างชัดเจน มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย ดูเหมือนว่าจิ่วเยี่ยจะเป็นบุรุษที่ ‘ใช้ได้’
เมื่อเคยถอดเสื้อของหญิงสาวออกแล้วครั้งหนึ่ง จิ่วเยี่ยไม่มีปัญหา เขาใส่เสื้อผ้าให้สตรีเป็นแล้ว ความสามารถในการเรียนรู้ของเขานั้นถือว่าอัจฉริยะ
แต่ว่า… เขาสวมใส่อาภรณ์พิลึกพิลั่นอะไรให้นาง ?
เสื้อผ้าที่ถูกจิ่วเยี่ยหยิบออกมามีเพียงผ้าไม่กี่ชิ้น แต่ละชิ้นนั้นโปร่งแสงอย่างที่สุด แม้แต่สีของผิวหนังก็ยังสามารถมองทะลุเห็นได้ ทั้งยังมีร่องรูอีกมากมาย เรียกได้ว่าจงใจเผยให้เห็นเนื้อหนังอย่างยั่วยวนมากกว่า… มากกว่าชุดชั้นในในสมัยใหม่ที่นางจากมาเสียอีก!
มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว กล่าวถามขึ้น “จิ่วเยี่ย เจ้าไปเอาเสื้อผ้าอาภรณ์เช่นนี้มาจากไหนรึ ?”
“จื่อโยวบอกข้าว่าหญิงสาวชอบเสื้อผ้าเช่นนี้”
มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย เจ้าถูกพี่น้องของเจ้าหลอกเข้าเสียแล้ว หญิงสาวชอบมันที่ตรงไหนกัน ? เห็นได้ชัดเลยว่านี่มันเป็นความชอบของเขาชัด ๆ เจ้าจงอย่าได้ไปเลียนแบบเขาเป็นอันขาด”
“อืม”
มู่เฉียนซีพลักร่างจิ่วเยี่ยออกห่างก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าหันกลับไปก่อน ข้าเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ของข้าเองจะดีกว่า”
เดิมทีนางคิดว่าจะไปจัดการกับปัญหาเรื่องการงานที่ถนนจุ้ยเมิ่งพันปี ไป ๆ มา ๆ สุดท้ายได้มาอยู่ที่จวนเยี่ยอ๋องเสียได้ และนี่… มันเป็นเวลาดึกมากแล้ว มู่เฉียนซีนางต้องการจะกลับแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “จิ่วเยี่ย เจ้าดูแลเพื่อนรักของเจ้าให้ดี อย่าให้เขาไปชักจูงผู้คนไปทำเสื่อมเสียและทำให้กิจการของข้าที่ถนนจุ้ยเมิ่งพันปีไม่ดี”
จิ่วเยี่ยพยักหน้า “ต่อไปหากเขายังไปในถิ่นของเจ้า ข้าจะฆ่าเขาเสีย”
ทันใดนั้นลมหนาวพัดโชยมา เกรงว่าลมนั้นคงทำให้ใจของจื่อโยวหวิวโหวงเหวงไม่น้อยเลย ถ้าหากว่าเขาได้มาปรากฏตัวในตอนนี้ คงจะต้องกล่าวออกมา สภาพน้ำตานองว่า ‘เยี่ย เจ้าช่างใจร้ายนัก!’
จิ่วเยี่ยมิได้รบกวนเวลาของมู่เฉียนซีต่อ เขาส่งนางกลับจวนอย่างปลอดภัย เมื่อตอนที่จิ่วเยี่ยกลับออกไป เงาร่างสีม่วงก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขา
“เยี่ย ข้าผ่านไปสถานที่นั้นทุกวัน ๆ เพื่อผงแป้งธรรมดา ๆ ที่จะช่วยชักจูงให้แม่นางผู้นั้นมาที่นี่ เพื่อที่จะให้พวกเจ้าได้พบเจอกัน” “แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร ? เจ้ากลับกล่าวว่าเจ้าเพียงแค่ผ่านไปแถวนั้น”
ใบหน้าจิ่วเยี่ยไร้อารมณ์ ทว่าจื่อโยวพูดพร่ำต่อไป “ข้าช่วยเจ้าสื่อความในใจถึงแม่นางคนงาม สุดท้ายเจ้ากลับรังเกียจและมาโวยวายข้า! หญิงสาวชอบคำพูดคำจาหวาน ๆ เจ้าไม่เคยพูดจาหวาน ๆ แม้สักประโยค แล้วเจ้าจะเอาชนะใจหญิงงามได้อย่างไร ?”
“แต่เรื่องพวกนั้นช่างมันเถอะ ข้าหาธูปหอมมาตั้งมากมาย เจ้าคิดว่ามันง่ายนักหรือ ? ตัวข้าเองยังใช้ไม่ทัน ถึงแม้ว่าธูปหอมพวกนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้า แต่เจ้าแกล้งแสดงหน่อยได้หรือไม่ ถือโอกาสจัดการหญิงงามให้อยู่หมัด เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เจ้าค่อยโทษข้ากับธูปหอมนั่นก็ได้ หากเจ้าลงมืออย่างที่ข้าว่า เจ้าคงจะทำสำเร็จไปนานแล้วมิใช่รึ ?”
“เยี่ย ข้าเสี่ยงชีวิตทำการล่วงเกินพระชายาในอนาคต เพื่อวางแผนทั้งหมดนี้ให้กับเจ้า ทว่าเจ้าล่ะ! เจ้าล่ะ ? เจ้ากลับปล่อยเนื้อที่วางอยู่ข้างปากให้หลุดไป เจ้าจะให้ข้าว่าอย่างไรดี…”
จื่อโยวยังคงพร่ำบ่นไม่หยุด เมื่อเขาหยุด ก็ได้พบว่าจิ่วเยี่ยเดินออกไปไกลแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
……
“พี่ใหญ่!”
วันถัดมาเยวี่ยเจ๋อเข้ามาหามู่เฉียนซีด้วยอาการร้อนรน ทว่าเมื่อได้รู้ว่าเมื่อคืนมู่เฉียนซีนางไม่ได้ค้างคืนที่จวนเยี่ยอ๋อง จึงได้โล่งอกยกใหญ่
“พี่ใหญ่ ท่านกับเยี่ยอ๋อง…”
มู่เฉียนซีรีบกล่าวขัด “ช้าก่อนเยวี่ยเจ๋อ ใจเย็น ๆ ข้ากับจิ่วเยี่ยเป็นเพื่อนกัน แล้วเขาก็ยังเป็นผู้ป่วยของข้าที่ต้องรักษา สถานการณ์ค่อนข้างพิเศษ เจ้าอย่าได้คิดมากไป”
เยวี่ยเจ๋อถึงกับกล่าวอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ใกล้ชิดกันถึงเพียงนั้น จะมิให้เขาคิดมากได้อย่างไรไหว ?
แม้พี่ใหญ่ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่นางเมินเฉยไม่เคยสนใจ แต่ในฐานะชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขายังคงเข้าใจความคิดของบุรุษชุดดำผู้นั้นที่มีต่อพี่ใหญ่ของเขา ความอันตรายกำลังจะถึงขีดสุด และคงจะระเบิดความรู้สึกที่มีต่อกันออกมาในไม่ช้าก็เร็ว
บัดนี้ไม่มีข่าวคราวใดจากทางสำนักตานจี้เลย จึงทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
“หรือว่าสำนักตานจี้ไม่ได้ถูกข่าวเรื่องจุดจบของสำนักอัสนีลึกลับทำให้กลัว ยังคงอยากที่จะกุมวิธีปรุงยาวิเศษระดับสี่ไว้ คิดเบี้ยวไม่จ่ายบัญชี” มู่เฉียนซีบ่นพึมพำกับตนเอง
นางได้รับรายการยามรดกต่าง ๆ จากหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ ใบสั่งยาของยาระดับสี่ในสํานักโอสถนั้นไม่มีค่าอะไรกับนางมากมายนัก ทว่านางมิยอมให้ผู้ใดมาเบี้ยว ไม่จ่ายบัญชีนาง
มู่เฉียนซีลุกขึ้น กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าจะต้องจัดการกับสำนักตานจี้เสียหน่อยแล้ว หอหมอปีศาจจะกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งทวีปเซี่ยโจว แน่นอนว่านักปรุงยานั้นสำนักย่อมต้องการ สำนักตานจี้เองก็มีนักปรุงยาที่ดีพร้อมสำหรับการใช้งานอยู่ไม่น้อยเลย”
“ถ้าหากพวกเจ้าคิดจะเบี้ยวละก็ ข้าไม่ว่า แต่พวกเจ้านำตัวคนมาแลกแล้วกัน”
สําหรับนาง นักปรุงยาที่คุ้นเคยกับการปรุงยานั้นมีสูตรยาที่ให้ไปในใบสั่งยา
มู่เฉียนซีกล่าว “มู่อี เรียกรวมพล พวกเราจะไปสำนักตานจี้กันสักหน”
“ขอรับ”
……
“มู่เฉียนซีไปที่สำนักตานจี้แล้ว ฮ่า ๆ ๆ” เจ้าสำนักอัสนีลึกลับหัวเราะในความโชคร้ายของสำนักตานจี้ หากพวกสำนักตานจี้ตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนั้น เขาก็สามารถทำใจของเขาให้สงบลงได้บ้าง
“ท่านเจ้าสำนัก ทางสำนักตานจี้คิดทำการใดกันแน่ ? เพียงแค่ใบสั่งยาระดับสี่กลับยังไม่สามารถละได้ แล้วยังจะไปทำให้ชาชิงผู้นั้นกรุ่นโกรธ มันจำเป็นด้วยหรือ ?” ผู้อาวุโสบ่นพึมพำ
……
มู่เฉียนซีมาถึงสำนักตานจี้ ทั้งสำนักนั้นเต็มไปด้วยอาคารที่สร้างจากหินหยกสีขาว
รอบ ๆ สถานที่มีเตาปรุงยาอยู่มากมาย ค่อนข้างให้ความรู้สึกในแบบของสำนักปรุงยา ทว่าเมื่อย่างก้าวเข้าไปภายใน กลับรู้สึกได้ว่าทั้งสำนักตานจี้มีกลิ่นอายของความเยือกเย็นรุกล้ำเข้ามาในจิตใจ
.
Related