— ปัง! —
จวินโม่ซีหมั่นไส้นัก อดไม่ไหวตบเข้าไปหนึ่งที
“รีบไปใย! กินเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ ฆ่าคนก่อนกินอาหาร มันจะส่งผลต่อความอยากอาหารเป็นอย่างมาก”
‘มันส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารของเจ้า แต่การที่พวกข้ารอความตาย ทรมานยิ่งกว่าไม่รู้เรอะ ?!’ เหล่านักฆ่าแสนเบื่อหน่าย หมดคำจะกล่าว ได้แต่คิดในใจกันไปเช่นนั้น
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉียนซีจะปล่อยให้พวกนักฆ่าอยู่อย่างนั้น เมื่อเริ่มย่างเนื้อ นางคิดจะให้เจ้าคนเห็นแก่กินสังหารหนึ่งในนั้นให้ตายไปสักคน แน่นอนว่าเวลาต่อมา กลิ่นเนื้อย่างหอม ๆ ลอยโชยไปตามลม ทําให้มือสังหารกลุ่มนี้ทนไม่ไหว
พวกเขาดิ้นรนเอาตัวรอด ทว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังลิ้มอาหารรสเลิศ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทนได้จริง ๆ!
อู๋ตี้และเสี่ยวหงก็อยากที่จะออกมามีส่วนร่วมกับอาหารเลิศรสด้วย ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสามก็ตีกันเอง
จวินโม่ซีกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “บัดซบ พวกเจ้าสองตัวบังอาจมาแย่งข้า”
อู๋ตี้ “ข้าเป็นถึงอู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็ก ๆ มากินอาหารร่วมกับข้าได้ นั่นถือเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว”
“ใช่แล้ว ใช่ ๆ!” เจ้าหมูเสี่ยวหงรีบกล่าวสำทับ
“พวกเจ้าสองคนไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
“นั่นขากระต่ายของข้า บัดซบ!”
“ฮ้า!”
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงเนื้อย่างเปิดฉากขึ้น ทะเลาะกันเสียงสนั่นหวั่นไหว แต่สำหรับพวกมือสังหารที่รอคอยความตาย กลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด พวกเขารู้สึกเหลืออด เหตุใดจึงต้องทรมานกันมากเพียงนี้
ทั้งจวินโม่ซี อู๋ตี้ และเสี่ยวหงได้กินกันจนอิ่มพุงแน่นท้อง ส่วนมู่เฉียนซี นางไม่ได้ยัดอาหารเข้าปากมั่วซั่วเฉกเช่นทั้งสาม เมื่ออิ่มท้อง นางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนช้า ๆ กล่าวถามพวกนักฆ่า “พวกเจ้าจงบอกข้ามา ใครเป็นคนสั่งให้พวกเจ้ามาลอบฆ่าข้า ?”
“ตระกูลโอวหยางถูกกลุ่มคนนิรนามทำลายล้างเสียสิ้น พวกเจ้าก็คงจะเปลี่ยนนายไปแล้วกระมัง!”
“พวกเราเป็นนักฆ่ามืออาชีพมีจรรยาบรรณ ย่อมไม่ขายผู้เป็นนายอย่างแน่นอน” พวกเขากล่าวด้วยเสียงเย็นชา เหล่านักฆ่ากัดยาพิษร้ายแรงที่ซ่อนอยู่ในฟันของพวกเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทว่าต้องพบกับความผิดหวัง กัดไปเต็มปากเต็มคำกลับไม่เป็นอะไรเลย เป็นไปได้อย่างไร ? ยาพิษสำนักเอียนหลัวของพวกเขาไม่ควรเกิดความผิดพลาดเช่นนี้
มู่เฉียนซีหัวเราะเบา ๆ “หึ ๆ ข้าบอกแล้วว่าการที่วันนี้พวกเจ้าพ่ายแพ้อย่างอนาถ มันเป็นเพราะพวกเจ้าดูถูกพิษของหมอปีศาจมากเกินไป”
เหล่านักฆ่ารู้สึกหมดสิ้นความหวัง “เจ้า ฆ่าพวกข้าเสียเถอะ! ให้ตายอย่างไรพวกข้าก็ไม่ยอมเปิดปากพูด”
“อันที่จริงการที่จะให้พวกเจ้าพูดออกมานั้นง่ายมาก”
ในมือมู่เฉียนซีมีเข็มฉีดยาอยู่อีกอันหนึ่ง เข็มฉีดยานั้นปักเข้าร่างกายของนักฆ่าที่นอนอยู่บนพื้น นางกล่าว “ไม่นานนัก ยาสะกดจิตจากเข็มยาจะเริ่มออกฤทธิ์”
นัยย์ตาของนักฆ่าเริ่มพร่ามัว จังหวะนั้นมู่เฉียนซีเอ่ยถาม “บอกข้ามา สรุปเป็นใครกันที่ส่งพวกเจ้ามาฆ่าข้า”
“ข้าไม่รู้ มีเพียงพี่ใหญ่ของข้าเท่านั้นที่รู้”
“หากเช่นนั้น ใครเป็นพี่ใหญ่ของพวกเจ้า ?” มู่เฉียนซีคาดคั้น นักฆ่าชี้ไปที่ชายชุดตำผู้ซึ่งถูกแขวนลอยอยู่บนตาข่าย เขากล่าว “เขา… เขาเป็นพี่ใหญ่พวกเรา”
“ดี! เจ้าเชื่อฟังดีมาก” มู่เฉียนซีดึงเข็มยาออกจากคอของเขาและโยนไปใส่ศีรษะนักฆ่าคนอื่น ๆ
— ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! —
พวกเขาหลบหลีกอย่างบ้าคลั่ง น่าเศร้าที่เข็มของหมอปีศาจใช่ว่าจะหลบหลีกได้ง่าย ๆ ชายที่อยู่ตรงหน้ามู่เฉียนซีเลิ่กลั่ก พยายามดิ้นรนเพื่อต่อต้านฤทธิ์ของเข็มสะกดจิตแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างช้า ๆ “บอกข้ามา ใครสั่งให้สำนักเอียนหลัวมาฆ่าข้า”
“ตระกูล… ตระกูลอวิ๋น อวิ๋นซินหราน”
“เหอะ! เขาเองรึ ?” มู่เฉียนซีพึมพําเบา ๆ
เวลานี้ ดวงตาของชายผู้เป็นพี่ใหญ่เหล่านักฆ่าเบิกกว้าง ทั้งตัวของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง เขาทำลายตาข่ายนั่นออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พลันพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีอย่างคลุ้มคลั่ง
“ในเมื่อตัวตนของผู้จ้างวานฆ่าถูกเปิดเผยแล้ว เช่นนั้นวันนี้ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้”
ขณะที่เขาพุ่งเข้ามา มู่เฉียนซีชักกระบี่มังกรเพลิงออกจากฝักในทันใด
“บนตาข่ายพวกนั้นมีพิษแฝงอยู่ แม้ว่าเจ้าจะหลุดออกมาได้ แต่เจ้าก็เหมือนดั่งดอกธนูสุดระยะสิ้นแรง จะจู่โจมข้ายังถือว่าขาดพลังไปอยู่บ้าง”
— ฉึก! —
กระบี่มังกรเพลิงแทงทะลุหน้าอกของเขาออกมา
— ผ่าง! — เมื่อนักฆ่าผู้นั้นล้มลงกับพื้น ปลายดาบขึ้นสนิมในมือมู่เฉียนซีแปล่งแสงสีแดงฉานออกมา เปลวไฟแดงฉานพุ่งทะยานขึ้นไปที่ขอบฟ้าส่งเสียงดัง ‘หึ่ง ๆ’ ปลายกระบี่ขยับเล็กน้อย ส่งเสียงเสมือนยังไม่รู้สึกเพียงพอ
หลังจากนั้น มันส่งเสียง ‘ฟิ้ว!’ พลันพุ่งตรงไปยังเหล่านักฆ่าที่ถูกตรึงเอาไว้
“อ๊าาาา!”
เกิดเสียงร้องโหยหวน นี่เป็นเสียงสุดท้ายของเหล่านักฆ่า ทั้งหมดตายด้วยกระบี่เล่มนี้…
กระบี่มังกรเพลิงลอยกลับมายังข้างกายมู่เฉียนซี นางมองกระบี่มังกรเพลิงที่อยู่ตรงหน้าตนก่อนจะเห็นว่าที่ด้ามและตัวกระบี่ยังคงเป็นสนิมอยู่ดังเดิม ทว่าที่ปลายกระบี่กลับส่องแสงสีเหลืองเจิดจ้า
“มีอะไรรึ ? หรือว่าเจ้าต้องการจะฆ่าข้าด้วย ?”
“หึ!” เมื่อดาบยกตัวตรงขึ้น มันชี้ตรงมาที่คอของมู่เฉียนซี
จวินโม่ซีซีดเผือดไปทั้งร่าง กล่าวขึ้น “มู่เฉียนซี…”
“นายท่าน!”
ดาบมังกรเพลิงยังมิได้จับผู้ใดเป็นคู่หู อาถิงจึงกล่าวขึ้น “หญิงโง่! กระบี่มันให้เจ้ายอมรับในพันธความเป็นเจ้าของ ไม่ใช่จะฆ่า”
มู่เฉียนซีนางไม่เข้าใจ ขมวดคิ้วถาม “ยอมรับในความเป็นนายของมันรึ ? ข้าต้องทำอย่างไร ?”
“เอานิ้วของเจ้าไปกรีดที่คมปลายกระบี่ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพันธสัญญา”
มู่เฉียนซีถามต่อ “กระบี่เล่มนี้ช่างชั่วร้ายนัก ทำพันธสัญญาจะไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ รึ ?”
อาถิง “มันชั่วร้ายมาก วิญญาณของคนที่มันฆ่าจะถูกมันกลืนกิน ก็คงจะเป็นเช่นนั้น…”
“เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากเป็นเจ้าหมอนั่น คงไม่มีทางกลายเป็นคนน่าสังเวชขนาดนั้นได้” อาถิงพึมพํากับตัวเอง
“พลังของมันไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก มีข้าอยู่มันทำอะไรเจ้าไม่ได้ กลับกัน การที่เจ้าได้มันมา มันจะกลายเป็นขุมพลังอันยิ่งใหญ่ของตัวเจ้าเอง”
มู่เฉียนซีกระชับกระบี่มังกรเพลิงในมือแน่น นางกรีดปลายนิ้วตนเองทำให้โลหิตสีแดงสดรวมตัวเข้ากับแสงสีแดงที่ปลายกระบี่เป็นหนึ่งเดียว อาถิงครอบครองสัญญาชีวิตของนางไว้ กระบี่มังกรเพลิงจึงทําได้เพียงยอมรับความเสมอภาคในเรื่องสัญญากับอาถิง จากนั้นแสงสีแดงห่อหุ้มร่างของพวกเขาทั้งสอง
ภาพเลือนรางปรากฏขึ้นในหัวของมู่เฉียนซี กระบี่นั้นถูกกวัดแกว่งไปมา ก่อเกิดท่ากระบี่ที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินสำแดงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
“กระบี่มังกรเพลิง หลงเหยียนพิฆาต!”
— ตูม! ตูม! —
ป่าไม้เบื้องหน้าของพวกเขาตกอยู่ในทะเลเพลิงโดยพลัน
จวินโม่ซีเดินเข้ามาหามู่เฉียนซี กล่าวขึ้นอย่างตกตะลึง “ช่างเป็นพลังธาตุอัคคีที่แข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งนัก แม้เจ้าจะมีความแข็งแกร่งเพียงผู้บำเพ็ญภูตระดับสาม แต่เจ้าคงสามารถกวาดล้างจอมภูตได้ ช่างท้าทายสวรร์คจริง ๆ”
มู่เฉียนซีกลืนยาฟื้นฟูพลังวิญญาณลงไปหนึ่งขวด นางกล่าว “แต่กระบี่เล่มนี้ใช้พลังวิญญาณของข้าไปทั้งหมด ข้าสามารถใช้พลังนั้นได้เพียงครั้งเดียวต่อการใช้กระบี่หนึ่งครั้งเพียงเท่านั้น”
“อย่างไรมันก็ให้โอกาสเจ้าได้กลายเป็นนักฆ่า ไม่เลวเลย!” จวินโม่ซียิ้ม
มู่เฉียนซีเปลี่ยนเรื่อง “อาหารย่อยกันหมดแล้วรึ ? ถ้าหากย่อยแล้วก็รีบเดินทางกันต่อได้แล้ว”
“ได้!”
เหล่าบรรดายอดฝีมือของสำนักเอียนหลัวถูกฆ่าสังหารเสียสิ้น สำนักเอียนหลัวเองก็รู้ดีว่าไม่เป็นการดีที่จะไปยั่วยุมู่เฉียนซี ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังเดินทางกลับแคว้น สำนักเอียนหลัวไม่ได้ส่งใครมาลอบฆ่านางอีก
มู่เฉียนซีเดินทางกลับแคว้นอย่างราบรื่น ข่าวการแสดงฝีมือของนางถูกป่าวประกาศโดยปากของรองอาจารย์ใหญ่ มาบัดนี้มู่เฉียนซีกลายเป็นแบบอย่างของคนทั่วทั้งแคว้นไปเสียแล้ว
มู่เฉียนซีเอามือคลึงที่ขมับ มันเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบ “ตาเฒ่านั่นกําลังสร้างปัญหาให้ข้า มู่อี เจ้าไปที่สำนักศึกษา ให้ผู้เฒ่าผู้นั้นรีบทำเรื่องจบการศึกษาให้ข้าด่วน”
“ขอรับ”
เข้าวันที่สองที่มู่เฉียนซีกลับแคว้นจื่อเยี่ย มีบัญชามาจากในวัง
“ผู้นำตระกูลมู่ องค์ฮองเฮาประสงค์เชิญท่านเข้าไปในวังขอรับ”
.