เมื่อฉินเทียนอี้เห็นมู่เฉียนซีกินยาวิเศษฟื้นฟูทั้งระดับสามและระดับหนึ่ง เขาแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา
กลยุทธ์เมื่อครู่ของเขา ช่างเสียแผนเสียจริง ๆ!
เขารู้ว่าสำหรับในแคว้นจื่อเยี่ยนั้น ตระกูลมู่ถือว่าค่อนข้างมีเงินมากทีเดียว แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่ามู่เฉียนซีจะมีเงินทองถึงขนาดนี้ ขนาดที่สามารถกินยาวิเศษระดับสามได้ตามอำเภอใจ
มู่เฉียนซีมียาวิเศษไม่ขาดมือ แต่ยาฟื้นฟูพลังวิญญาณของเขานั้น บัดนี้ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวหยอกเย้า “ฮิ ๆ ๆ คุณชายฉิน ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มียาฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้วสิท่า สนใจจะมาซื้อยาของข้าไปสักหน่อยหรือไม่ล่ะ ข้าไม่เอาเงินเจ้ามากมายนักหรอก หนึ่งเม็ดห้าหมื่นตำลึงทองแล้วกัน” ผู้คนรอบข้างอ้าปากค้าง ไม่เสียทีที่มู่เฉียนซีเป็นถึงหัวหน้าตระกูลเศรษฐีอันดับหนึ่งของแคว้น แม้ในเวลาเช่นนี้ นางก็ยังไม่ลืมเรื่องธุรกิจเงินทอง
ใบหน้าฉินเทียนอี้ซีดเป็นไก่ต้ม นางถือโอกาสนี้มาปล้นเขาชัด ๆ!
แน่นอนว่าฉินเทียนอี้ไม่สามารถซื้อยาวิเศษนั่นได้ไหว เขาได้แต่เฝ้ามองพลังวิญญาณของตัวเองถูกใช้จนลดลงไปเรื่อย ๆ ความเร็วของเขานั้นก็ยิ่งช้าลงไปเรื่อย ๆ เช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ถูกมู่เฉียนซีตามทันจนได้ “ผนึกมังกรวารี!”
สิ้นเสียงใส มังกรวารีสีฟ้าพุ่งเข้าหาฉินเทียนอี้อย่างดุดันด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทานได้
เพียงไม่นาน ฉินเทียนอี้รู้สึกว่าร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มด้วยพลังเย็นยะเยือก เขากระเด็นลอยออกไปก่อนจะกระอักเลือดออกมา
— ตุบ! —
ร่างฉินเทียนอี้ร่วงหล่นลงบนเวทีปะลองอย่างแรง ถึงขั้นทะลุลงไป ทำให้พื้นเวทีเป็นรอยลึกบุ๋มลงไปอย่างน่าเวทนา
มู่เฉียนซียืนอยู่บนเวที แสยะยิ้มมุมปากสะใจ
“สำนักศึกษาแคว้นชิงมีดีแค่นี้เองน่ะหรือ ? ไหน ? ยังมีใครอยากจะขึ้นมาท้าประลองสำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยอีกไหม ?”
คนที่เหลือของแคว้นชิงมองหน้ากันไปมา แม้แต่ฉินเทียนอี้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขายังพ่ายแพ้แก่นาง หากพวกเขาขึ้นไปบนนั้น มิใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ ?
พวกเขาคงไม่ถือโอกาสที่พลังวิญญาณของนางหมดลงกระโดดโลดขึ้นไปท้าสู้บนเวที เมื่อเห็นนางปีศาจผู้นั้นกินยาระดับสามเข้าไป
เหวินตี๋เฟยกล่าว “วันนี้นอกจากเราจะได้ทำการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันระหว่างสำนักศึกษาทั้งสองแล้ว ยังมีของอีกสิ่งหนึ่งที่จะขอมอบให้แก่สำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ย”
เขาหยิบเอาหนังสือเชื้อเชิญออกมาหนึ่งฉบับ แล้วส่งให้แก่รองอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษา จากนั้นรีบพานักเรียนของตนจากไป เมื่อพ่ายแพ้ย่อยยับเช่นนี้ ก็ไม่มีหน้าอยู่ให้เป็นที่หัวร่อต่อกระซิกของคนแถวนั้นแล้ว
พวกเขาจากไปจากรวดเร็ว ทำให้ทั้งสำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยครึกครื้นขึ้นมาก
“มู่เฉียนซีเก่งมาก!”
“ยอดเยี่ยม!”
“สหายมู่เจ๋งมาก!”
ในที่สุดสำนักศึกษาของพวกเขาได้ระบายความแค้นที่อัดอั้นมานานเสียที
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “อาจารย์ใหญ่ แคว้นชิงส่งอะไรมาหรือ ?” อาจารย์ใหญ่เปิดจดหมายเชิญนั้นออก ดวงตาฉายแววตกตะลึง “เจ็ดสำนักศึกษาใหญ่ของแคว้นชิงจะจัดการแข่งขันใหญ่ขึ้น จึงมีความตั้งใจที่จะมาเรียนเชิญเราไปเข้าร่วมแข่งขันด้วย เมื่อปีก่อน ๆ นั้นพวกเขาจัดการแข่งขันกันเองภายใน คิดไม่ถึงเลยว่าปีนี้จะมาชวนพวกเราไปด้วย” สำนักศึกษาในแคว้นชิงนั้นมีทั้งหมดเจ็ดแห่งที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่ารวมสำนักศึกษาแคว้นชิงอยู่ในนั้นด้วย แต่ว่าสำนักศึกษาที่พอมีฝีมือในแคว้นจื่อเยี่ย กลับมีเพียงสำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยเท่านั้น
รองอาจารย์ใหญ่มองทุกคนด้วยใบหน้าหม่นเศร้า ถ้าหากพวกเขาไม่ไป เจ้าคนโอหังแคว้นชิงพวกนั้นคงคิดว่าพวกเขาเกรงกลัวเป็นแน่
แต่ถ้าหากไปร่วมด้วย การแข่งขันครั้งนี้คงไม่ง่าย รองอาจารย์ใหญ่กล่าวว่า “นักเรียนมู่เฉียนซี เจ้ามากับข้าหน่อยได้หรือไม่ ?”
“ได้” มู่เฉียนซีกล่าวตอบก่อนจะเดินตามไป
“เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ?” รองอาจารย์ใหญ่ถามไม่อ้อมค้อม
มู่เฉียนซี “ในแคว้นจื่อเยี่ยนั้น ข้าไม่ค่อยมีคู่ต่อสู้ในวัยเดียวกันให้สู้แล้ว ดังนั้นการไปยังแคว้นชิงเพื่อหาประสบการณ์การต่อสู้ถือว่าไม่เลว แม้ว่าแคว้นจื่อเยี่ยจะเล็ก ถึงอย่างไรตระกูลมู่ของข้าก็หยั่งรากอยู่ที่นี่ ข้าไม่อาจยอมให้แคว้นอื่นมารังแกได้ หากรองอาจารย์ใหญ่จะส่งคนไปร่วมการแข่งขันครั้งนี้ที่แคว้นชิง ก็นับข้าด้วยคนหนึ่ง”
รองอาจารย์ใหญ่ยิ้มแพรวพราว แววตาเป็นประกาย “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี เป็นเด็กที่น่ารัก เจ้าไปร่วมการประลองใหญ่ที่แคว้นชิงในครั้งนี้ ไม่ว่าผลของมันจะออกมาเป็นเช่นไร การสอบปลายภาคครั้งนี้เจ้าได้คะแนนเต็มทั้งหมด เจ้าอยากจะจบการศึกษาเมื่อไร ก็จะได้จบด้วยผลการเรียนยอดเยี่ยมที่สุด”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้อเสนอของรองอาจารย์ใหญ่ช่างดึงดูดข้านัก พอดีว่าข้านั้นกำลังจะเป็นผู้ใหญ่และต้องรับหน้าที่ดูแลตระกูลต่อ เช่นนั้นคงไม่อาจมาที่สำนักศึกษาได้อีก เรียนจบไว ๆ ได้ก็ไม่เลวเลย” สีหน้าของรองอาจารย์ใหญ่ฉายแววตื่นตะลึง ยามนี้เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวที่น่าตื่นตะลึงผู้นี้ อายุนางยังไม่ถึงสิบหกปีเสียด้วยซ้ำ นางยังถือว่าเด็ก ๆ อยู่เลย อายุเพียงเท่านี้กลับมีพรสวรรค์ถึงขั้นนั้น แทบเรียกได้ว่าเป็นมารทำให้คนตกใจตายได้เลยทีเดียว!
ครานี้ทางแคว้นชิงมาเรียนเชิญพวกเขาไป เพื่อที่จะให้พวกแคว้นจื่อเยี่ยมาเป็นอันดับโหล่ แต่เขามีลางสังหรณ์ว่าการที่มู่เฉียนซีไปรากฏตัวที่นั่น จะต้องทำให้พวกนั้นผิดหวังเป็นแน่
ครานี้สำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยสามารถส่งคนไปเข้าร่วมได้สิบคน รองอาจารย์ใหญ่จึงเลือกผู้ที่ไปร่วมอย่างรอบคอบโดยดูจากความสามารถ
ในเมื่อไม่มีการสอบปลายภาคแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้ออกจากสำนักศึกษาไปเตรียมการในเรื่องบางเรื่อง แล้วจึงไปที่หอหมอปีศาจต่อ
“อา… น้ำศักดิ์สิทธิ์… น้ำศักดิ์สิทธิ์! เจ้าได้น้ำศักดิ์สิทธิ์มารึ ?” จวินโม่ซีไม่เก็บอาการตื่นเต้นเลย เขากระโดดโลดเต้นไปมาเหมือนกับลิงทะโมน
มู่เฉียนซีกระตุกมุมปาก กล่าวว่า “เงียบหน่อยสิ เจ้ามีวิธีอะไรหรือเปล่า ?”
จวินโม่ซีกล่าวเสียงต่ำ “เกรงว่าบนโลกใบนี้เราคงทำอะไรที่จะให้ผลดีกว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว”
“เจ้ามีวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์ในการยับยั้งคําสาปหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วถาม
จวินโม่ซี “ข้าขอย้ำ ในโลกนี้เกรงว่าคงไม่สามารถสร้างอะไรที่มีประสิทธิภาพมากกว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้อีกแล้ว”
มู่เฉียนซี “ถ้าหากบนโลกนี้ไม่มี ข้าก็ทำให้มันมีเสียก็จบ เจ้าคนกินสิ้นเปลืองนี่พึ่งอะไรไม่ได้จริง ๆ ข้าคงต้องไปคิดหาวิธีเอาเอง”
“ข้าต้องบอกตรง ๆ ว่าความสามารถในการปรุงยาของเจ้านั้นท้าทายฟ้าดินยิ่งนัก เจ้าเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์มาเป็นวัตถุดิบหลัก อาจจะทำให้เจ้าไปงมได้อะไรมาก็ได้ แต่ว่าความสามารถของเจ้ามีขีดจำกัด หากเจ้าสามารถหามันเจอได้…”
มู่เฉียนซีมุมปากกระตุกเล็กน้อย นางพูดต่อจากเขา “ถ้าข้าได้หม้อเทพนิรันดร์มา บางทีข้าอาจจะพอมีวิธี”
จวินโม่ซีถาม “หืม เจ้ารู้ด้วยรึ ?” มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเดาว่าต้องเป็นเช่นนั้น”
พิษที่อยู่ในตัวท่านอาเล็ก ไม่ว่าจะผนึกของจิ่วเยี่ย รวมทั้งวิธีการปรุงยาของตัวนางในตอนนี้ ไม่มีอะไรที่จะสามารถรักษาอาการนั้นได้ เช่นนั้นก็ต้องหาหม้อเทพนิรันดร์โบราณในตํานานนั้นให้เจอ
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ข้าจะให้หน่วยข่าวกรองของตระกูลมู่ค้นหามัน แต่ว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก คิดจะหาให้เจอ โอกาสนั้นน้อยมาก”
บิดานางมาตั้งรกรากอยู่ในแคว้นจื่อเยี่ย เขาคิดจะให้นางกลายเป็นหนอนในถังข้าว ได้อยู่กินที่นี่อย่างสุขสบายจนวันตาย คาดไม่ถึงว่านางจะสามารถทำเรื่องที่จะทำให้ทวีปเซี่ยโจวสั่นสะท้านไปทั้งทวีปได้
เครื่อข่ายหน่วยข่าวกรองของตระกูลมู่มีอยู่เพียงแค่ในแคว้นจื่อเยี่ยเท่านั้น หากคิดจะหาของที่พิเศษเช่นนั้น ตระกูลมู่ต้องขยายอำนาจออกไปถึงจะมีโอกาสมากขึ้น
มู่เฉียนซีขบคิดว่า นางกลับจวนไปปรึกษากับท่านอาเล็กสักหน่อย ก็คงจะเริ่มปฏิบัติการเรื่องนี้ได้
จวินโม่ซีพึมพํากับตัวเอง “โอกาสน้อยมาก อา… แต่มันก็ไม่แน่”
มู่เฉียนซีเงยหน้ามองราชาโอสถก่อนจะกล่าวว่า “จวินโม่ซี เจ้าว่าอย่างไรนะ อะไรไม่แน่ ?”
จวินโม่ซียิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าจะบอกว่ารอให้เจ้าได้เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในทวีปเซี่ยโจวเสียก่อน หากเป็นเช่นนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวเลยว่าจะหาไมเจอ เจ้าจงสู้เข้าล่ะ!”
“เหอะ… โลกนี้ใหญ่มาก ไม่ได้มีแค่เพียงทวีปเซี่ยโจวทวีปเดียว สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหม้อเทพนิรันดร์อยู่ที่ไหน” มู่เฉียนซีเบ้ปาก
“ท่านอาเล็ก!” เมื่อกลับถึงจวนตระกูลมู่ มู่เฉียนซีรีบรุดไปหามู่อวู่ซวงที่เรือนอวู่โยว
.