ในตอนที่อันตรายอย่างที่สุดนี้ เสียงของอาถิงพลันดังลั่น
“หญิงโง่! ข้าพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าจะสามารถสังหารพวกมันได้กี่คนก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หลังจากที่ข้าลงมือ ข้าจะเข้าสู่ภาวะหลับใหลไปสักพัก เจ้าจงอย่าปล่อยให้ตนเองโดนคุมตัวได้ในตอนที่ข้าหลับอยู่ก็แล้วกัน”
มู่เฉียนซี “หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว รีบลงมือเร็ว ๆ เลย พวกมู่อีเอาไม่อยู่แล้วเจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร ?!”
สายลมอันสะอาดสดชื่นพัดมา เพียงเวลาไม่นาน ทุกสิ่งอย่างรอบ ๆ ที่แห่งนั้นเสมือนเงียบสงบลง เงาสีม่วงของมู่เฉียนซีขยับตัว เข็มยาทั้งหมดก็พุ่งมุ่งตรงไปยังศัตรูที่แข็งแกร่งรอบด้าน
นางเหมือนกับยมทูตยามค่ำคืนไม่มีผิด ร่างสีม่วงเริ่มคร่าชีวิตของคนเหล่านั้น
— ปัง! —
ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดถูกโจมตีจนถึงแก่ชีวิตในคราวเดียว แต่ประมุขแห่งสํานักนิกายเพลิงไฟกลับใช้พลังวิญญาณปกป้องร่างไว้ได้ทันท่วงที ตัวของเขานั้นไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใด ๆ เข็มยาของนางไม่สามารถเข้าไปใกล้ตัวของเขาได้เลย
เมื่อมู่เฉียนซีโจมตีอีกครั้ง กาลเวลาก็กลับมาเดินเป็นปกติเช่นเดิมแล้ว จี๋ซ่านมองเห็นนางเป็นแค่ผู้บำเพ็ญภูตกระจอก ๆ คนหนึ่ง แล้วยังกล้ามาออกไม้ลงมือกับเขาอีก
ไม่รอช้า เขาบันดาลโทสะตบพลังเข้าใส่นางฝ่ามือหนึ่ง
“รนหาที่ตายนัก!”
พลังจิตวิญญาณระดับจักรพรรดิพัดผ่านมา มู่เฉียนซีรู้สึกว่าร่างกายและอวัยวะภายในของตนกำลังจะแตกสลาย
“พรวด!” นางกระอักเลือดออกมาคำโต
เงาสีเขียวครามเงาหนึ่งรุดมาป้องร่างมู่เฉียนซีที่ด้านหน้าของนาง ว่องไวปานสายฟ้าแลบ
— ปัง! —
เขาใช้ร่างกายของเขาเพื่อป้องกันการโจมตีของจี๋ซ่านในครั้งนี้
เงาสีเขียวนั่นเหาะออกไปพร้อมกับมู่เฉียนซี จี๋ซ่านเองก็ถอยหลังไปสองสามก้าว เขากล่าวออกมาด้วยใบหน้าตกตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร ?! ร่างกายของเจ้านั่น เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ ?”
แม้จะพูดไปเช่นนั้น เขาก็ไม่รู้เลยว่ายังจะมีสิ่งที่ทำให้เขาตะลึงได้มากกว่านั้นรออยู่อีกในตอนหลัง
เหล่าผู้อาวุโสทั้งเจ็ดของเขาล้มลงกับพื้นไปทีละคน ๆ
— ฟุ่บ! ตุบ! ตุบ! —
ริมฝีปากของทุกคนเป็นสีม่วงราวกับว่าพวกเขาถูกวางยาพิษ
“สรุปแล้วเมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเพียงชั่วพริบตา พวกเขาเหล่านั้นโดนพิษเข้าเสียทั้งหมด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างนั้นรึ ?”
คู่ต่อสู้ตรงหน้าอยู่ดี ๆ ก็ล้มลงเสียดื้อ ๆ อู๋ตี้กับเสี่ยวหงรีบมากำบังที่หน้าร่างกายของผู้เป็นนายที่ได้รับบาดเจ็บหนัก ขณะที่ร่างของจวินโม่ซีขยับอย่างฉับพลันไปล้อมอยู่ด้านหลังของจี๋ซ่าน
เขายิ้ม กล่าวขึ้น “พวกผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิของสำนัก พวกเจ้าโดนวางยางไปหมดแล้ว แค่ข้าจัดการเจ้าสำเร็จ ภารกิจของข้าก็เสร็จสิ้น กินดีอยู่ดีแล้ว”
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?” จี๋ซ่านรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ต้องเป็นฝันร้ายอย่างแน่นอน มู่เฉียนซีลุกขึ้นช้า ๆ พลางเช็ดเลือดที่มุมปากของนางก่อนจะกล่าวว่า… “ถ้าเจ้าอยากรู้ เจ้าไปลงนรกก่อน แล้วค่อยไปถามพญายมเอาเถอะ!” กล่าวไปเช่นนั้นแล้ว มู่เฉียนซีคว้ายาออกมาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตน ขณะเดียวกันนางก็แบ่งให้ชิงอิ่งไม่น้อยเลย
นางกล่าวกับชิงอิ่ง “ชิงอิ่ง เจ้ายังสู่ไหวหรือไม่ ? ถ้าไหวก็กัดฟันอีกสักหนึ่งฮึด จัดการไอ้เฒ่านั่นซะ!”
ชิงอิ่งกระดกยาวิเศษดั่งดื่มน้ำเพื่อฟื้นฟูพลัง เมื่อจี๋ซ่านได้เห็นทั้งสองกระดกดื่มกินของวิเศษมากมายเช่นนั้น พลันยิ้มแหย ๆ …คนพวกนี้นี่มันอะไรกัน ?!
“จัดการ!” มู่เฉียนซีตะโกนก้อง เวลาเพียงชั่วพริบตา จี๋ซ่านถูกโจมตีจากทั้งสี่ทิศทาง
จวินโม่ซี ชิงอิ่ง และเสี่ยวหงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขา กอปรกับการโจมตีอย่างรวดเร็วของอู๋ตี้ จี๋ซ่านจึงตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากในทันใด
เสี่ยวหงกล่าวขึ้นก่อน “ดูวิชาลับของข้าหน่อยสิ เพลิงคลั่งเผาสวรรค์!”
เปลวเพลิงสีแดงเข้มลามไปทางเจ้าสำนักนิกายเพลิงไฟ เสี่ยวหงเข้าโจมตีอย่างเต็มแรง ร่างของชิงอิ่งกลายเป็นภาพเงาลวงตานับไม่ถ้วน
— ปัง! ปัง! ปัง! —
และโจมตีจี๋ซ่านอย่างต่อเนื่อง — ฟึ่บ! —
กรงเล็บแมวของอู๋ตี้คว้าคอจี๋ซ่านอย่างแรง แน่นอนจี๋ซ่านรีบหลบ หากแต่ใบหน้ากลับมีรอยกรงเล็บแมวเลือดซิบซึมอยู่สามรอย
“อ๊า!” เสียงร้องโหยหวนดังออกมา ใบหน้าของจี๋ซ่านเต็มไปด้วยเลือดสด ๆ
ในตอนนั้นเอง แสงจันทร์ส่องประกายบนกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง กระบี่ยาวเล่มนั้นพุ่งไปที่หน้าอกของจี๋ซ่าน
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเพียงนักชิมอาหารกินยาเข้าไป ก็สามารถใช้กระบี่ได้ไม่เลว”
“อ๊าก!” กระบี่อันน่าตื่นตะลึงเล่มนี้ ทำให้จี๋ซ่านไม่สามารถหลบหลีกไปไหนได้ เขาตะโกนลั่น “ใต้เท้า… ช่วยข้าด้วย…” “ช้วยข้าด้วยเถิด ข้ายังไม่อยากตาย…”
— ตูม! —
หลังจากที่จี๋ซ่านล้มลงกับพื้น ทันใดนั้นมีเสียงกึกก้องกัมปนาทลอยมาจากทางสำนักนิกายเพลิงไฟ เงาดำขนาดมหึมาหลบใต้แสงจันทร์ ความมืดก็ม้วนตัวเข้ามา พร้อมด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายแผ่ปกคลุม
“ใครกันที่ทําให้เจ้าตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ หรือว่าอาหารของข้าจะมาถึงที่นี่แล้ว ? อา… ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดถึงไม่ปลุกให้ข้าตื่นขึ้นมาแต่แรก”
เสียงอึกทึกครึกโครมที่น่าหนวกหูนั้นลอยมา ทำให้ผืนแผ่นพสุธาสั่นสะเทือน
จี๋ซ่าน “คนผู้นั้นยังไม่มา” “เจ้าขยะ คนผู้นั้นยังไม่ทันได้มาก็ทําให้เจ้าน่าสมเพชเช่นนี้แล้ว”
พลังแห่งความมืดกลืนกินเหล่าศิษย์ของสำนักนิกายเพลิงไฟที่โดนวางยาพิษ พวกเขานอนกองอยู่บนพื้นอย่างน่าอนาถแก่สายตา
“นายท่าน นี่เป็นศิษย์ของสำนักนิกายเพลิงไฟ พวกเขาถูกวางยาพิษแต่ยังไม่ตายขอรับ”
ศิษย์ของเขาถูกกลืนกินทีละคน รวมถึงผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิเจ็ดคน เขารู้สึกเจ็บปวดใจแทบทนไม่ไหว
“พวกมันก็เป็นแค่ขยะเท่านั้น กินพวกมันเข้าไปแล้วจะทำไม ?! เจ้ามีวันนี้ได้เพราะความช่วยเหลือของข้า ทำให้สำนักของเจ้าเป็นที่หนึ่งในทวีปเซี่ยโจว เป็นสำนักอันดับหนึ่งในแดนใต้ แล้วยังจะไปเสียดายพวกไร้ค่าพวกนี้อีกเรอะ ?!” เสียงนั้นบ้าคลั่งขึ้นอย่างผิดปกติ
จี๋ซ่านกล่าวตอบ “นายท่านพูดถูก”
พลังที่มืดมิดนั้น เหมือนทำให้จี๋ซ่านที่กำลังใกล้ตายฟื้นคืนโอกาสรอดชีวิต เขารอดมาได้ก็ดีแล้ว คนอื่น ๆ จะมีชีวิตอยู่หรือตายมันเกี่ยวอะไรกับเขา ?
เสี่ยวหงกล่าวเสียงต่ำ “นายท่าน หนีไป! สิ่งที่น่าขยะแขยงนี่มันทําให้ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี”
แม้แต่จวินโม่ซีก็ยังขมวดคิ้ว “นี่มันเรื่องผิดแปลกอันใดกัน ?”
“ผู้นำตระกูล!” พวกองครักษ์เงาในเวลานี้ ระมัดระวังเป็นอย่างมาก
สำนักนิกายเพลิงไฟมีผู้อยู่เบื้องหลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงกล้าที่จะแข็งข้อกับแคว้นจื่อเยี่ย และกับจิ่วเยี่ยด้วย! สำหรับผู้อยู่เบื้องหลังนั้น เป็นตัวประหลาดมีร่างกายสีดำสนิท พลังอันแข็งแกร่งที่มันมี มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถต่อกรได้ในขณะนี้
มู่เฉียนซีตะโกนลั่น “ถอยไป!”
จี๋ซ่านกล่าว เขาเร่งรีบอย่างที่สุด “นายท่าน อย่าปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้ขอรับ!”
พื้นที่ทั้งหมดดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยพลังแห่งความมืด และกลายเป็นพื้นที่ที่เหนียวเหนอะหนะ สิ่งประหลาดนั้นยิ้มอย่างโหดเหี้ยมพร้อมกล่าวว่า… “พวกเจ้าไม่มีทางหนีพ้น… มา… กลายเป็นอาหารให้ข้าฟื้นตัวเสียดี ๆ เถอะ”
สัตว์ประหลาดตัวนั้นเดินออกมาจากกลุ่มหมอกมืด มู่เฉียนซีและพวกได้เห็นรูปร่างของมันอย่างชัดเจน มันมีใบหน้าเหมือนลิงอุรังอุตัง แต่มีเขาและมีสี่ขาเหมือนวัว ทว่ามีสี่มือ ร่างกายช่วงลำตัวเหมือนสิงโตมีขนยาว มันเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่น่าขนลุกขนพอง
จี๋ซ่านชี้นิ้วไปที่มู่เฉียนซี “นางผู้นี้เป็นหญิงของชายผู้นั้น ฆ่านาง! แล้วเขาจะมาติดกับเอง”
“แค่ก ๆ ๆ! จริงรึ ?” สัตว์ประหลาดสี่ขาหัวเราะอย่างดุร้าย มือทั้งสี่ของมันยาวขึ้นกะทันหันพลันจับร่างมู่เฉียนซีไว้
“โฮก!” เสี่ยวหงคํารามโกรธเกรี้ยว มันพ่นเปลวไฟสีแดงออกมาอย่างไม่ลังเล “เจ้าพวกน่าขยะแขยง อย่าได้คิดแตะต้องนายท่านของข้าเชียว!”
เปลวเพลิงนั่นไม่เหมือนกับความเสียหายจากสัตว์ประหลาดสี่ขา มันเหมือนกับเปลวเพลิงเล็ก ๆ
สัตว์ประหลาดกล่าวดูถูกดูแคลน “เจ้าหมูโง่ ยังกล้าขวางทางข้าอีก!”
— ปัง! —
ร่างของเสี่ยวหงถูกตบออกไปไกล
“ขัดตานัก ไสหัวไปให้หมด!”
เมื่อมองไปยังพวกอู๋ตี้และจวินโม่ซี มือทั้งสี่ของเขาพุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างแรง
— ปัง! ปัง! ปัง! —
มันเร็วมากจริง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่จวินโม่ซีกับชิงอิ่งจะสามารถหลบได้ ความแข็งแกร่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สัตว์ประหลาดสี่ขาเข้ามาใกล้มู่เฉียนซีแล้ว มู่เฉียนซีเองก็ไม่สามารถหลบหนีได้เช่นเดียวกัน
“สาวน้อย… เจ้าว่ามาจะให้ข้าฉีกแขนของเจ้า หรือจะฉีกมือของเจ้าก่อนดี ?” สัตว์ประหลาดสี่ขาจ้องมองมู่เฉียนซีพลางกล่าวถาม
ในตอนนั้นเอง ผมสีดําของมู่อวู่ซวงที่อยู่ข้าง ๆ พลันเปลี่ยนกลายเป็นสีม่วงเงิน เปลือกตาของเขาค่อย ๆ เปิดขึ้น
ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็นสีม่วงเงินเช่นเดียวกัน
.