ที่ที่เหมาะสำหรับให้นางกับเขาหาความสำราญ… ???
หาความสำราญอย่างไร ? มุมปากของมู่เฉียนซีค่อย ๆ กระตุก คำกล่าวนี้ดูเหมือนจะทะแม่ง ๆ อยู่สักหน่อย
แต่จิ่วเยี่ยกลับมีสีหน้าเรียบเฉย มู่เฉียนซีนางเอนตัวพิงแพไม้ไผ่อย่างเมื่อยล้า กล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ในเมื่อเป็นการหาความสำราญทั้งที เช่นนั้นก็ต้องมีอาหารชั้นดีสุราชั้นเลิศด้วยสิ”
จิ่วเยี่ยเพียงโบกมือ อาหารเลิศรสมากมายทุกชนิดก็มีวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้านาง
สุราชั้นดีก็มีอยู่หลายไห ยังไม่ทันได้เปิดจุกเหล้า กลิ่นหอมเข้มข้นรัญจวนจมูกลอยมาแล้ว
“อาหารเลิศรสสุราชั้นดี ไม่มีคนงามก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าแสวงหาความสำราญใส่ตัว”
นิ้วเรียวยาวของจิ่วเยี่ยจับบนหน้ากากของเขา เขาถอดหน้ากากปีศาจนั่นออก ดวงตาสีฟ้าที่งดงามคู่นั้นมองมู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวว่า…
“แต่มีข้าอยู่”
“พรวด!”
มู่เฉียนซีไม่สามารถทนได้อีกต่อไป นางไม่คิดเลยว่าชายปีศาจผู้นี้จะกล่าวว่าตนเองเป็นคนงาม
มู่เฉียนซีเพิ่งจะหุบยิ้ม ก็รู้สึกได้ว่าเหนือศีรษะของนางถูกปกคลุมไปด้วยเงา
ใบหน้าของจิ่วเยี่ยอยู่ใกล้นางมาก นางรู้สึกได้ว่าปลายจมูกของตนเองสัมผัสกับผิวที่ละเอียดอ่อนของเขาเข้าแล้ว
ซวนหยวนจิ่วเยี่ยส่งเสียงที่เย็นชาและแข็งกระด้างเข้ามาในหูของนาง “เจ้าไม่พอใจในตัวข้าหรือ ?”
“แน่นอนข้าพอใจ จิ่วเยี่ย เจ้าเป็นชายที่ดูดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็น” มู่เฉียนซียิ้ม แต่นางพูดเสริมในใจว่า ‘ยกเว้นท่านอาเล็กของข้า!’
นางยังคงเข้าข้างคนในครอบครัวของนาง คนในครอบครัวนางอย่างท่านอาเล็กย่อมรูปงามที่สุด
“มู่เฉียนซี หญิงเลว! หญิงอัปลักษณ์! เจ้ามัน… เจ้าให้ข้าอยู่ในสถานะอะไร ?! ตอนนี้เจ้าใช้รูปร่างและใบหน้าของข้า เอาไปพูดเรื่องโกหกเช่นนี้เพื่อเอาใจชายผู้นี้อีก” เสียงโกรธของอาถิงดังเข้ามาในสมองของนางผ่านการผูกพันธสัญญาของพวกเขา
‘เจ้าบ้าอาถิง เจ้าคนหลงตัวเอง!’ มู่เฉียนซีพึมพําอยู่ในใจ
ริมฝีปากที่สวยงามของจิ่วเยี่ยยกขึ้นเล็กน้อย เขาพอใจกับคําตอบของมู่เฉียนซีอย่างมาก
มือของจิ่วเยี่ยจับบนใบหน้ามู่เฉียนซี กล่าวเสียงต่ำเข้ม “เปลี่ยนกลับไป ข้าไม่อยากเห็นเขา”
มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อนางเห็นร่องรอยของความรังเกียจที่ออกมาจากดวงตาสีฟ้างามคู่นั้น
มันหายาก… หายากมาก!
ครานั้นตอนที่พบกันครั้งแรก จิ่วเยี่ยไม่ใช่ว่าต้องการศาลาเลือนรางเก้าชั้น จิ่วฉงหุ้นตุ้นถิงหรอกรึ ?
นางไม่คิดว่าเขาจะเกลียดรูปร่างของอาถิงถึงเพียงนี้
“ได้! อย่างไรเสียที่นี่ก็มิใช่มีคนอื่น ถึงแม้ใช้รูปกายภายนอกของอาถิงจะสะดวกในการแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นชาย แต่อย่างไรก็ใช้ใบหน้าของตัวเองสบายกว่า” มู่เฉียนซีขยับจิตของนาง นอกจากเสื้อผ้าที่ยังไม่เปลี่ยนแล้ว การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไปได้อย่างสมบูรณ์
จิ่วเยี่ยมองใบหน้าละเอียดอ่อนของมู่เฉียนซี เช่นนี้ค่อยสบายตาหน่อย
เขาพูดอย่างผ่อนคลาย “อาหารรสเลิศ สุราชั้นดี คนงาม ข้าเตรียมพร้อมหมดแล้ว เจ้าจะเตรียมอะไร ?”
เสียงเย็นชาถามออกมา นี่เป็นประโยคยาวที่สุดที่มู่เฉียนซีได้ฟังจากจิ่วเยี่ย แต่ยังคงอธิบายได้ไม่ละเอียดอยู่วันยังค่ำ แม้เขาจะไม่ได้แสดงความหมายของตนอย่างชัดเจน แต่ด้วยประสบการณ์ที่มู่เฉียนซีมี นางก็สามารถคาดเดาความหมายของเขาได้
มุมปากนางกระตุกเล็กน้อย นางทำเป็นไม่รู้อะไรเลยได้หรือไม่ ?
“เจ้าก็รู้”
จิ่วเยี่ยรู้ว่ามู่เฉียนซีกําลังคิดอะไรอยู่ในใจ จึงพูดตัดทางของนางในทันที
สิ่งสำคัญในการแสวงหาความสำราญ อาหารรสเลิศ เหล้าชั้นดี คนงาม และยังมีการเต้นรําเพลงไพเราะด้วยท่วงท่าสวยงาม สิ่งเหล่านี้ล้วนจำเป็นต้องมี
จิ่วเยี่ยรับผิดชอบสามข้อแรก ดังนั้นข้อข้างหลังนี้…
มู่เฉียนซีรู้สึกเหมือนตกลงไปในร่องน้ำ จิ่วเยี่ยเย็นชามาโดยตลอด วันนี้นางเพิ่งค้นพบว่าชายคนนี้มีด้านมืดเหมือนคนอื่น ๆ
มู่เฉียนซียิ้มอย่างเขินอาย “ข้าร้องเพลงเพี้ยนจนคนต้องวิ่งหนี เกรงว่าจะทําให้เจ้าหัวเราะเยาะ”
ในยุคปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่า มู่เฉียนซีหัวหน้าสํานักแพทย์ปีศาจผู้เป็นหนึ่งด้านยาพิษ ในความเป็นจริงนั้นร้องเพลงเพี้ยนจนคนต้องวิ่งหนี
แม้…
แม้ว่าจะหลบไปฝึกฝนที่ ‘ห้องร้องคาราโอเกะ’ คนเดียวอย่างหนักเป็นเวลาสามวันสามคืน แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ดังนั้นนางจึงต้องยอมแพ้เรื่องร้องเพลง
จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชา “ร้องไปเถอะ ข้าไม่ถือสา”
“แต่ว่า… เพลงที่ข้าร้องได้มีไม่กี่เพลง เกรงว่าเจ้าจะไม่ชอบมัน”
“เจ้าต้องร้อง”
“อ่า… แต่ข้ายังลืมเนื้อร้องอีกด้วย เกรงว่าข้าจะไม่สามารถร้องจนจบเพลงได้”
“ไม่เป็นไร”
ไม่ว่ามู่เฉียนซีจะดิ้นรนอย่างไร จิ่วเยี่ยก็ใช้ใบหน้าไร้อารมณ์และน้ำเสียงเย็นชาของเขาเพื่อปิดกั้นนาง
มู่เฉียนซี “ดูเหมือนว่าข้าคงต้องสละชีพเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว”
“แต่กินให้เสร็จก่อนค่อยว่ากัน!” มู่เฉียนซีเริ่มกวาดล้างอาหารบนโต๊ะ ไม่เว้นแม้แต่สุราชั้นดี
สุราที่จิ่วเยี่ยส่งมา ไม่เพียงแต่มีกลิ่นหอมเท่านั้น รสชาติยังดีมากอีกด้วย มู่เฉียนซีรู้สึกมึนเมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่านางจะมีความกล้าหาญมากขึ้น นางยืนอยู่บนดาดฟ้า ผมยาวสีดําของนางปลิวไสวไปตามลม
ลมพัดไปมา มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าจะเริ่มแล้วนะ”
“อืม”
“ข้ากําลังจะเริ่มจริง ๆ แล้วนะ”
“อืม!”
“ข้า…” เสียงเพลงไพเราะดังออกมา “ผีเสื้อหางหงส์บนปลายนิ้ว มันบอกว่าฟ้ารุ่งจะไกลออกไป เพื่อตามหาสวรรค์ที่เจ้าอยู่ ตลอดชีวิตสั้นเหมือนกระแสน้ำ อย่าลอกแบบตํานานหนังสือ ตํานานโบราณมีน้อยเพียงใด ข้าเพียงเผลอพบเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ”
มู่เฉียนซีไม่พูดมากอีกต่อไป ก้าวเข้าสู่การร้องเพลง แม้นางจะบอกว่าตนร้องไม่เพราะจนคนเดินหนี แต่เสียงของนางก็ค่อนข้างดี สามารถชดเชยข้อบกพร่องบางส่วนได้บ้าง
ในตอนนั้นเอง จิ่วเยี่ย ก็หยิบกู่ฉินพิณเจ็ดสายออกมา เริ่มบรรเลงร่วมตามเสียงร้องเพลงของมู่เฉียนซี ทำให้เพลงนี้ที่นางร้อง โดดเด่นขึ้นอีกหลายเท่าตัว
บนเรือสีม่วงเข้มที่งดงาม มีหญิงสาวสวมชุดสีม่วงยืนอยู่ท่ามกลางสายลม มีเสียงร้องเพลงดังออกมาจากปากของนาง
ชายชุดดําที่ดูงดงามไม่เป็นรองใครผู้นั้น นั่งอยู่บนพื้นเล่นพิณเข้าจังหวะกัน
ขณะที่กําลังเล่นดนตรีตามเสียงเพลงของมู่เฉียนซีนั้น ความน่าหวาดกลัวอันเย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยก็หายไปอย่างกะทันหัน กลายเป็นความอ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขามองไปยังด้านหลังของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบนั้นดูเย็นชาน้อยลงสามส่วน ความอ่อนโยนเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน
มู่เฉียนซีพยายามอย่างเต็มที่ที่จะร้องเพลงนี้โดยไม่ได้สังเกตเห็นอะไรแปลก ๆ ที่อยู่ข้างหลังนาง
“เรื่องบนโลกนี้สับสนไปหลายส่วน ไม่ทอดทิ้ง… จิตวิญญาณที่โดดเดี่ยวตามสายลมเอย ใครจะไปคิดว่าคนรักสนามรบฮุยหงนี้ ทัพทหารแกร่งกล้าเกรียงไกร มีใครสามารถเรียกกษัตริย์ผ่านความรัก ใครกล้าที่จะบุก หวังหมิงเยี่ยหัวใจเศร้า…”
ทันใดนั้น เพลงของมู่เฉียนซีก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเพลงหรือทำนองเพลง หน้าหลังชักจะไม่ปะติดปะต่อกันแล้ว
ทว่าปลายนิ้วของจิ่วเยี่ยยังขยับเปลี่ยนไปตามมู่เฉียนซี
“ความเกลียดชังนับพันปี หลับตาลง ใครบ้าที่สุด โลกนี้ไม่แน่นอน โลกนี้ไม่แน่นอนถึงวาระที่จะกล้ารัก”
มู่เฉียนซีหันกลับมายิ้มจาง ๆ ให้จิ่วเยี่ย กล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ข้าร้องเพลงนี้จนจบแล้ว ข้าทําสําเร็จแล้ว”
เพราะฤทธิ์เหล้า ผิวขาวราวหิมะของมู่เฉียนซีกลายเป็นสีชมพูอ่อน รอยยิ้มที่บานสะพรั่งบนใบหน้านั้น ทําให้ดวงตาสีฟ้างดงามและลึกซึ้งนั่น เกิดระลอกคลื่นขึ้นเล็กน้อย
เมื่อก่อนนางดื่มเหล้าได้ไม่เลว แต่มู่เฉียนซีกลับไม่คิดว่าร่างกายของนางตอนนี้อ่อนต่อเหล้ามาก
สมองว่างเปล่าจนลืมไปว่าเยี่ยอ๋องที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาและทําลายได้ทั้งเผ่าพันธุ์ยืนอยู่ตรงหน้า นางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจิ่วเยี่ย กล่าวอย่างลำพอง
“จิ่วเยี่ย แท้จริงแล้วไปที่ลานเฟิงเยี่ยก็เพื่อแสวงหาความสำราญ หญิงงามไม่ได้มีไว้ดู แต่มีไว้เพื่อเล่นสนุก”
.