มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าก็ไม่ได้บอกว่ามันคือทางออก ก่อนไปเราต้องหาอะไรสนุก ๆ ทำก่อน เพื่อความสะใจอย่างไรล่ะ ในเมื่อโอวหยางเฉียงกล้าทำลายหอหมอปีศาจของข้า ข้าก็กล้าเผาจวนโอวหยางให้วายวอด”
นางหยิบถังน้ำมันขึ้นมา “รีบลงมือเถอะ ตรงนี้ไม่มีใครเฝ้าอยู่ เรารีบลงมือแล้วเราก็รีบเผ่นเลยเป็นอย่างไร ?”
เยวี่ยเจ๋อพยักหน้า เขาลงมือทันที
หลังจากที่ราดน้ำมันจนทั่วแล้ว มู่เฉียนซีก็จุดชนวนไฟและรีบพาเยวี่ยเจ๋อวิ่งไปที่ประตูจวนตระกูลโอวหยาง
“ท่านผู้นำตระกูลมู่ ท่านไม่ได้กลับไปแล้วหรอกหรือ ?” พ่อบ้านจวนโอวหยางเดินเข้ามาถามเมื่อมองเห็นทั้งสอง
“ท่านผู้นำตระกูลโอวหยางใจจืดใจดำยิ่งนักไม่ยอมออกมาส่งข้า จวนโอวหยางกว้างใหญ่เช่นนี้ข้ากับน้องข้าหลงทางอยู่นานกว่าจะหาทางออกมาได้” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ แสร้งทำสีหน้าทุกข์ร้อน
นางสะบัดแขนเสื้อก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า “ต่อไปจวนโอวหยาง ข้าจะไม่มาเหยียบอีกแล้ว”
มุมปากพ่อบ้านกระตุกอย่างแรง เขาคิดในใจ ‘เหอะ! ต่อให้เจ้าจะมา ท่านผู้นำของข้าก็ไม่ต้อนรับเจ้าหรอก’
หลังจากที่มู่เฉียนซีและเยวี่ยเจ๋อออกไปจากจวนโอวหยางไม่นานนัก จวนโอวหยางก็วุ่นวายขึ้น ผู้คนแตกตื่นลนลาน
“ไฟไหม้จวน! ไฟไหม้จวนแล้ว! ”
“น้ำ! น้ำอยู่ไหนรีบมาช่วยกันดับไฟเร็วเข้า”
เปลวไฟลุกโชนทั่วจวนโอวหยาง เปลวไฟนี้โหมกระหน่ำอย่างมิอาจหาที่เปรียบได้ แม้แต่น้ำก็มิอาจดับไฟนี้ได้
ท้ายที่สุดโอวหยางจูทำได้เพียงเรียกพลังจอมภูตออกมาเพื่อดับไฟ เขาถึงกับเสียพลังไปมาก แต่ถึงกระนั้น จวนโอวหยางก็มอดไหม้ไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง กล่าวได้ว่าจวนโอวหยางได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ดูเหมือนว่าตอนนี้ตระกูลโอวหยางไม่เพียงแต่จะอดอยาก ทว่าที่ซุกหัวนอนก็แทบจะไม่มีแล้ว
เมื่อเยวี่ยเจ๋อทราบข่าวไฟไหม้จวนโอวหยาง เขาอุทานออกมาทันที “อนาถ! น่าอนาถใจแท้!”
นี่เยวี่ยเจ๋อซึมซับจากท่านพี่แล้วรึ ?! ยิ่งอยู่ยิ่งมีความสุขกับความทุกข์ของผู้อื่น
“มู่เฉียนซี เจ้าจะเอาอย่างไรกับข้ากันแน่!” ผู้นำตระกูลโอวหยางยืนมองจวนโอวหยางที่พังพินาศและกล่าวด้วยอารมณ์คุกรุ่นโกรธแค้น
ถึงแม้ว่ายังหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ แต่โอวหยางจูมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าเป็นฝีมือของมู่เฉียนซีสตรีโอหังผู้นั้น ทว่าเขากลับหาหลักฐานไม่ได้เลย คิดไม่ถึงว่านางสตรีผู้นั้นจะรอบคอบไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้
โอวหยางจูโกรธจนใบหน้าหม่นคล้ำ ขบคิดในใจ ‘มู่เฉียนซี เจ้าจะอะไรนักหนา!’
……
ซวนหยวนจือในเวลานี้สีหน้าเบิกบานสดใสราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง แม้ฮ่องเต้อย่างเขาจะสูญเสียไปไม่น้อย อีกทั้งยังโดนยั่วยุจนบันดาลโทสะกระอักเลือดไปสามระลอกอย่างอนาถ ทว่าตระกูลโอวหยางในตอนนี้นั้นน่าอนาถกว่าเขาไม่น้อยเลย
ความคิดนี้ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
เพียงแต่ว่า…
ประกายแสงวาบในดวงตาของซวนหยวนจือ ตราบใดที่ตระกูลมู่ยังอยู่ ก็ยังมิอาจวางใจ ตระกูลมู่เปรียบเสมือนหนามยอกอกของราชวงศ์ซวนหยวน!
หึ! ต้องหาทางกำจัดมู่เฉียนซีกับมู่อวู่ซวงออกไปให้เร็วที่สุด และหาทางเอาสมบัติกลับคืนมาให้ได้จึงจะวางใจ
……
หลังจากที่มู่เฉียนซีและเยวี่ยเจ๋อกลับมาถึงจวนตระกูลมู่ ทั้งคู่มองเห็นหน้าประตูจวนเต็มไปด้วยผู้คนมารุมล้อม
“รีบเก็บกวาดใบไม้พวกนี้ให้สะอาด”
“เช็ดกระเบื้องเคลือบให้สะอาดสะอ้านด้วยล่ะ เจ้าน่ะ”
“ดอกไม้ที่ประตูจวน เปลี่ยนให้เรียบร้อยด้วย”
“เดี๋ยวคุณหนูใหญ่ก็จะกลับมาแล้ว หากคุณหนูใหญ่ไม่พอใจ มีหวังพวกเจ้าต้องโดนไล่ออกจากจวน”
มู่เฉียนซีเห็น นึกฉงนสงสัย ถึงแม้ว่าท่านผู้นำตระกูลมู่อย่างนางจะหายไปจากจวนตระกูลมู่เป็นเวลากี่เดือนก็ตาม นางก็ยังไม่เคยเห็นข้ารับใช้เหล่านี้ทำความสะอาดจวนตระกูลมู่เป็นพิเศษเยี่ยงนี้เลย
วันนี้มันวันอะไรกัน ?…
แสงเย็นวาบประกายในดวงตาดำขลับของมู่เฉียนซี
เยวี่ยเจ๋อเดินเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “คุณหนูใหญ่รึ ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลมู่มีคุณหนูใหญ่ ใครกัน ?”
จางจั๊วะกล่าวตอบ “นี่เจ้ามาจากตระกูลใดถึงไม่รู้จักคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลมู่ คุณหนูใหญ่ของข้าเป็นถึงสตรีอัจฉริยะอันดับสองในแคว้นจื่อเยี่ยเชียวนะ”
ถึงแม้ว่าช่วงนี้เยวี่ยเจ๋อจะเข้าออกจวนตระกูลมู่บ่อยครั้ง ทว่าข้ารับใช้เหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้ารับใช้ในเรือนฝั่งตะวันตกของท่านผู้เฒ่าทั้งนั้น ข้ารับใช้เหล่านี้จึงไม่รู้จักมักคุ้นใบหน้าของเขา
“คุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลมู่เป็นเทพธิดาบนสวรรค์ที่จุติมาเกิดบนโลกมนุษย์ พวกข้าจะต้องทำความสะอาดจัดแต่งจวนให้สะอาดงามตา มิเช่นนั้นจะดูไม่เหมาะกับคุณหนูใหญ่ของพวกข้า”
ทันใดนั้นน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกดังขึ้น “เหอะ! ในเมื่อคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าไม่เหมาะกับตระกูลมู่ของข้า เช่นนั้นก็ไสหัวออกไปจากจวนของข้าเสียสิ!”
เมื่อข้ารับใช้เหล่านี้เห็นร่างสตรีชุดสีม่วงเจ้าของวาจาเมื่อครู่ พวกเขาก็ดูไม่ออกว่าเป็นใคร ทว่าวาจาของนางที่เอื้อนเอ่ยคำว่าตระกูลมู่ของข้า เหล่าบรรดาข้ารับใช้รู้ทันทีว่านางเป็นใคร
สีหน้าของเหล่าข้ารับใช้ตะลึงอึ้งงันไปตาม ๆ กัน
“ท่านผู้นำตระกูล!”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินมาว่าท่านผู้นำตระกูลไม่เหมือนท่านผู้นำตระกูลคนเดิมแล้ว ทว่าในใจลึก ๆ พวกเขาก็ยังคงดูถูกนางอยู่
ถึงแม้ว่าตอนนี้ท่านผู้นำตระกูลเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทว่าในสายตาพวกเขา นางก็ยังมิอาจเทียบกับคุณหนูใหญ่ เทพธิดาบนสวรรค์ที่จุติมาเกิดบนโลกมนุษย์ของพวกเขาได้
“มีใครอยู่แถวนี้มานี่หน่อยเร็ว ลากตัวข้ารับใช้พวกนี้ออกไปโบยคนละห้าสิบไม้แล้วไล่ออกจากจวนไปให้หมด” มูเฉียนซีกล่าวอย่างเฉยเมย
“ซีเอ๋อร์ เป็นเพราะข้าเองพวกนางจึงได้บังอาจกล่าววาจาเช่นนั้นออกไป หากเจ้าจะลงโทษก็ลงโทษข้าเถิด”
เสียงแข็งแกร่งทว่าแฝงความนุ่มนวล น้ำเสียงดูจะซ่อนเร้นความทุข์ชวนให้คนสงสารดังขึ้น
— กริ๊ง! —
เสียงกระดิ่งลมดังขึ้น รถม้าคันหนึ่งค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาอย่างช้า ๆ
สายลมพัดมาพาให้รู้สึกสดชื่น ม่านสีขาวปลิวไสวตามสายลมทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเทพธิดากำลังจะปรากฏตัว
ดวงตาของเหล่าบรรดาข้ารับใช้เปล่งประกายขึ้นในทันใด ‘คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว พวกเรามีคนช่วยแล้ว’
ด้วยความใจดีมีเมตตาของคุณหนูใหญ่ พวกนางคงไม่โดนท่านผู้นำตระกูลผู้เหี้ยมโหดลงโทษโบยตีเป็นแน่
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วเล็กน้อย นางหันไปมองรถม้าคันนั้น
ม่านของรถม้าถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างสตรีชุดขาวบริสุทธิ์ปรากฏตรงหน้าของทุกคน
สตรีผู้นี้งดงามบริสุทธิ์ผุดผ่อง เส้นผมรวบเข้าด้วยกัน ปักด้วยปิ่นหยกขาวเรียบง่าย ดวงตาสดใส ฟันสีขาวสะอาด อีกทั้งคิ้วโค้งโก่งงอนเป็นธรรมชาติดูสวยงาม
ดวงตาสดใสเปล่งประกายดูไร้เดียงสา ทว่าซ่อนความน่าสงสารอยู่ภายในนั้น กระโปรงยาวเผยให้เห็นรูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งทรงเสน่ห์ นางดูสง่างามดุจนางฟ้าที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆก็มิปาน
“คุณหนูใหญ่!”
“คารวะคุณหนูใหญ่”
เมื่อเหล่าบรรดาข้ารับใช้เห็นนาง ราวกับเห็นเทพธิดามาช่วยชีวิต ต่างรีบก้มหัวค้อมตัวทำความเคารพนางกันจ้าละหวั่น
เยวี่ยเจ๋อมองมู่หรูเหยียน กล่าวขึ้นอย่างแปลกใจ “คุณหนูใหญ่อย่างนั้นหรือ ? เจ้าเองหรือที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่ ?”
มู่หรูเหยียนมองดูเยวี่ยเจ๋อที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามอย่างละเอียดถี่ถ้วน หน้าตาของบุรุษผู้นี้งดงามดุจดั่งเจ้าชาย อีกทั้งความสามารถของเขาก็ไม่เลวเลย
มู่หรูเหยียนค่อย ๆ จัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ จากนั้นก็กล่าวว่า “ข้ามู่หรูเหยียนเคยเจอคุณชาย”
ทันใดนั้นเสียงอันเย็นยะเยือกก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“คุณหนูใหญ่อย่างนั้นรึ ? เหอะ! ตระกูลมู่มีคุณหนูใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? นี่ข้ามีพี่สาวด้วยรึ ?!”
มู่หรูเหยียนเม้มปากเล็กน้อย ดวงตาของนางหลุบต่ำลง ดูชุ่ม ๆ เสมือนมีน้ำตาจาง ๆ คลออยู่ภายในดวงตาคู่นั้น
นางมองมู่เฉียนซีด้วยสายตากล้ำกลืนประหนึ่งเก็บงำความเสียใจไว้นาน นางกล่าวว่า… “ซีเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าเย็นชากับข้าถึงเพียงนี้ ? ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือ ?”
“ดูเหมือนว่าเจ้ายังพอมีสำนึกอยู่บ้างนะ” มู่เฉียนซีมองนางด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ทุกคนฟังข้าให้ดี นับตั้งแต่นี้ต่อไปตระกูลมู่ของข้ามีเพียงข้ามู่เฉียนซีเป็นผู้นำตระกูล และท่านอาเล็กของข้า มู่อวู่ซวงเท่านั้น! หากมีแมวมีสุนัขตัวใดเสแสร้งอ้างตัวว่าเป็นญาติพี่น้องข้าอีกละก็ จัดการกับมันผู้นั้นและไสหัวมันออกไปจากจวนตระกูลมู่โดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น”
เยวี่ยเจ๋อขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “เกิดมาหลายปีข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย หลานสาวของข้ารับใช้ตระกูลมู่ตั้งตนว่าเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูล”
มู่หรูเหยียนได้ยินวาจาของเยวี่ยเจ๋อ นางรู้สึกกระทบตนเองอย่างรุนแรง จึงตกใจร่นตัวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตานางเบิกกว้าง กัดริมฝีปากล่างด้วยความกล้ำกลืน จากนั้นไม่นาน นางก็กล่าวขึ้น “ข้า…”
“เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกรึ ?”
มู่เฉียนซีจ้องมองมู่หรูเหยียน นัยน์ตาดำขลับดุจน้ำหมึกมีเพียงความเย็นชา
.