เมื่อได้ยินคําพูดของมู่เฉียนซี ผู้ชมพลันอุทาน สีหน้าตระหนกตกใจ “ไอ้หยา! ข้าได้ยินไม่ผิดไปใช่หรือไม่ ? ผู้นำตระกูลมู่เองก็มีสัตว์พันธสัญญาด้วย!”
“ถ้าผู้นำตระกูลมู่มีสัตว์พันธสัญญา การประลองต่อไปนี้คงยิ่งน่าตื่นเต้น!” ผู้ชมทั้งหลายจ้องมองมู่เฉียนซี ใบหน้าทาบทาความตื่นเต้น
“อู๋ตี้ เจ้าออกมา” มู่เฉียนซีเอ่ยเรียกเบา ๆ
ประกายแสงสีดําขาวกะพริบสลับกัน เจ้าแมวขาวราวหิมะปรากฏตัวขึ้นในอ้อมแขนมู่เฉียนซี ขนของมันนุ่มลื่นสลวยดุจแพรไหม หางปุยเสมือนไม้กวาดเล็ก ๆ ที่แกว่งไปมาอย่างช้า ๆ อยู่ด้านหลังร่างน้อย ๆ หูเล็ก ๆ กลม ๆ ตั้งตรงดูขี้เล่น รูปกายภายนอกน่ารักน่าชังหาที่เปรียบมิได้ อีกทั้งดวงตาสีม่วงคู่นั้น… ราวกับอัญมณีสีม่วงใสส่องประกายเจิดจ้า
ดูน่ารักไปหมด!
ราวกับว่าไม่มีพลังในการต่อสู้แม้เพียงนิด ออกแรงเล็กน้อยกับเสืออัคคีหงถิงสัตว์วิญญาณระดับสามที่ยืนตระหง่านตรงหน้า ก็คงไม่เพียงพอจะเอาชนะได้
เจ้าแมวอู๋ตี้ปรากฏตัวขึ้น แทบทุกผู้คนโดยรอบ เดิมทีเต็มไปด้วยความคาดหวัง กลับตระหนกตกตื่นแทบกลิ้งตกเก้าอี้ เยวี่ยเจ๋อเห็นก็แสยะยิ้ม ‘เหอะ! ดูน่ารักเช่นนี้ จะสู้กับสัตว์วิญญาณระดับสามได้หรือ ?’
“ฮ่า ๆ ๆ!” โอวหยางเหว่ยหัวเราะ สีหน้าหยามเหยียดไม่ปกปิด “มู่เฉียนซี เจ้าในตอนนี้คงหมดหนทางแล้วกระมัง ? ถึงกับต้องใช้เจ้าแมวไร้ประโยชน์ตัวนี้เพื่อต่อสู้ดิ้นรน เห็นทีเจ้าจะพ่ายแพ้ข้าก็ครานี้ล่ะ”
มู่เฉียนซีจ้องเจ้าเหมียวอู๋ตี้ กล่าวว่า “อู๋ตี้ เจ้าเคยลอบกลืนกินผลึกพลังวิญญาณของข้าไปตั้งมากมาย ได้เลื่อนระดับเป็นถึงสัตว์วิญญาณระดับสาม ในที่สุดข้าก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากเจ้าได้เสียที แต่เจ้าแน่ใจรึว่าจะเอาชนะเสือนั่นได้ ?”
แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ร่างเล็ก ๆ ของมันช่างไม่น่าไว้ใจ! …หากเจ้าเหมียวอู๋ตี้แพ้พ่าย มู่เฉียนซีคงต้องวางไพ่ใบสุดท้าย
“เหมียว… นายท่าน ท่านดูถูกข้าเกินไปแล้ว ข้าคือท่านเหมียวอู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า สัตว์วิญญาณระดับสามตัวเดียวหาใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เจ้าเหมียวอู๋ตี้ยืดอกกระดกหาง กล่าวกับมู่เฉียนซีอย่างมั่นใจ
มู่เฉียนซีพูดต่อทันที “งั้นก็ดี รีบฆ่าเสือน้อยตัวนี้เร็วเข้าเถอะ”
“มู่เฉียนซี เจ้าก็พูดเกินไป เสือน้อยรึ ? หึ! รอให้หงถิงของข้าเขมือบเจ้าก่อนเถอะ ดูซิว่าเจ้ายังจะกล้าบอกว่ามันเป็นเสือน้อยอีกไหม ?” โอวหยางเหว่ยสาดวาจาเกรี้ยวกราด กล่าวจบนางออกคำสั่งเสียงดุดัน
“หงถิง เขมือบพวกมันสองคนซะ!”
“โฮก!”
เสืออัคคีหงถิงพุ่งตรงเข้าหามู่เฉียนซี เหล่าผู้ชมจ้องไปยังเวทีประลองเป็นตาเดียว ร่างสีแดงกับร่างสีม่วงเผชิญหน้า งัดสัตว์พันธสัญญาออกมาสู้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนผู้นำตระกูลมู่ผู้นั้น
สัตว์วิญญาณระดับสามนี้ มู่เฉียนซีไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้ ถ้านางมั่นใจในเจ้าแมวขาวของนางมากเกินไปจริง ๆ นั่นไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย
ขณะนั้น ร่างกลมเล็กสีขาวเผชิญหน้ากับเสือใหญ่ไม่กลัวเกรง
เสืออัคคีหงถิงพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวจากอสูรน้อยที่พุ่งเข้ามาหามัน ร่างใหญ่สะบัดสั่นสะท้าน แต่กลับพบว่าแมวน้อยตัวนั้นหายไปแล้ว
‘เจ้าแมวขี้โอ่บัดซบนั่นอยู่ไหนแล้ว ? เหตุใดมันหายไปอย่างกะทันหันเช่นนี้!’ เสืออัคคีหงถิงผุดความคิด สถานการณ์เช่นนี้ หากเสืออย่างมันเหงื่อออกได้ คงเหงื่อออกไปแล้ว
เสียงผู้ชมแสดงความสงสัยไม่ต่างกัน “เกิดอะไรขึ้น ? หรือเจ้าแมวขาวนั่นจะล่องหนได้ ?”
“จะล่องหนได้หรือไม่ได้ไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของมันด้วยซ้ำ…”
ผู้ชมทุกคนกวาดตามองไปยังเวทีประลองอย่างงุนงง เหตุใดกวาดตาทั่วแล้วยังหาเจ้าแมวขาวตัวนั้นไม่เจอ
“โฮกกก!”
ในฉับพลันทันใด เสืออัคคีหงถิงส่งเสียงคำรามยาว ร่างใหญ่ของสัตว์ร้ายหมอบลงกับพื้น
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ?”
“ดูสิพวกเจ้าดู! แมวขาวตัวนั้นอยู่บนหลังของเสืออัคคี สวรรค์โปรดบอก! …เป็นไปได้อย่างไร ?” ใครคนหนึ่งชี้ไปที่จุดขาวกลม ๆ เล็ก ๆ ที่ยืนตระหง่านท่ามกลางขนสีแดงของเสืออัคคี หลายเสียงอุทานก้อง “โอสวรรค์! มันขึ้นไปได้อย่างไร ?”
ใบหน้าของโอวหยางเหว่ยบิดเบี้ยวน่าเกลียด นางหรี่ตามองเสืออัคคีสัตว์พันธสัญญาของตน กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า… “หงถิง เจ้ากําลังเหม่อมองอะไรอยู่ ?! ยังไม่รีบโยนเจ้าแมวขี้โอ่นั่นทิ้งไปอีก”
“นั่นมัน…”
ทันใดนั้น ใครบางคนค้นพบอะไรบางอย่างและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “พลังชีวิตของเสืออัคคีหงถิงราวกับกําลังอ่อนแรงลง”
“ดูเจ้าแมวตัวนั้นสิ!”
— แคร่ก! แคร่ก! แคร่ก! –
เจ้าแมวขาวอู๋ตี้หยิบผลึกวิญญาณสีแดงเพลิงขนาดเท่าตัวมันออกมา ค่อย ๆ เคี้ยวกินเข้าไปส่งเสียงดังดึงสายตาผู้คนให้หันมอง พวกเขาตกใจอุทาน
“โอ้! นั่นมันแกนวิญญาณของเสืออัคคีหงถิง มันเอามาได้อย่างไร ?”
“ตัวเล็กเช่นนี้กินผลึกวิญญาณระดับสาม ไม่กลัวร่างระเบิดรึ ?”
— ปัง! —
หลังจากสูญเสียผลึกวิญญาณไป ดวงตาของเสืออัคคีหงถิงเริ่มหย่อนม่อยลง ร่างใหญ่ทรุดตัวลงกับพื้น เจ้าแมวขาวยิ้มเยาะ กระโดดจากร่างกายของมันเข้าไปในอ้อมกอดของมู่เฉียนซี มันพูดอย่างตื่นเต้น “เป็นอย่างไรนายท่าน อู๋ตี้ร้ายกาจใช่ไหมเล่า ? เจ้าเสือกระจอกนี่ เพียงอู๋ตี้ใช้อุ้งเท้าเล็กแหลมก็จัดการได้แล้ว”
หลายเสียงในหมู่ผู้ชมกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่มันแมวอะไรกัน ?”
“บัดซบ! นั่นแมวเรอะ เก่งกาจเกินไปแล้ว”
เพียงเผชิญหน้ากัน เจ้าแมวตัวนี้ก็สามารถสังหารสัตว์วิญญาณระดับสามตัวใหญ่กว่ามันหลายเท่าได้ในชั่วพริบตา อีกทั้งยังกลืนกินผลึกพลังวิญญาณของเสืออัคคีนั้นเข้าไปอีก
“มู่เฉียนซี เจ้า… เจ้า…” สัตว์พันธสัญญาของตนมาตายเช่นนี้ โอวหยางเหว่ยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วขึ้น กล่าวยั่วเย้า “ทำไมรึเหว่ยเหว่ยที่รัก ? เจ้าอยากสู้อีกไหมล่ะ ? หึ ๆ”
“ข้า… ข้ายอมแพ้…” หลานสาวตระกูลโอวหยางหลุบตา กล่าวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางเห็นประกายเย็นชาจากดวงตาสีดําดุจหมึกคู่นั้น ก็รู้สึกขาดความมั่นใจ การต่อสู้ครั้งนี้ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว
ทว่าในขณะที่ทุกคนกําลังถอนหายใจด้วยความโล่งอก กริชรูปมังกรสีดําหลุดออกจากแขนเสื้อของโอวหยางเหว่ยมาอยู่บนฝ่ามือของนาง ดวงตานางส่องแสงประกายเย็นเยือก ความคิดครุ่นแค้นลุกท่วมจิตใจราวเปลวไฟร้อน
‘มู่เฉียนซี ตายซะเถอะ!’
โอวหยางเหว่ย สตรีชุดแดงตกที่นั่งลำบากอย่างไม่คาดคิด นางหมายจะเอาชีวิตผู้นำตระกูลมู่ที่ตนเกลียดแสนเกลียดแบบไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัว ทว่า…
“ผนึกมังกรวารี!” มู่เฉียนซีโพล่งออกมา นางเตรียมพร้อมไว้แล้ว หญิงร้ายที่แฝงไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างโอวหยางเหว่ยจะยอมรับความพ่ายแพ้ง่าย ๆ เป็นไปไม่ได้!
โอวหยางเหว่ยยังไม่ทันได้เข้าใกล้มู่เฉียนซี ทันใดนั้นมังกรยักษ์สีน้ำเงินพุ่งเข้ามาหานาง!
“อ๊า!”
ร่างสีแดงลอยขึ้นไปในอากาศ ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อร่างสีแดงกําลังจะร่วงลง เสียงเย็นชาของมู่เฉียนซี สตรีผู้นำตระกูลก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ผนึกมังกรวารี!”
“พรวด!” โอวหยางเหว่ยที่ลอยอยู่กลางอากาศกระอักเลือดกบปาก สภาพน่าสมเพชเวทนา แทบดูไม่ได้
ผู้ชมนิ่งอึ้งตะลึงลาน มุมปากกระตุกเผยอตาม ๆ กัน นี่มันน่าสังเวชเกินไป!
“ผนึกมังกรวารี!” มู่เฉียนซีตะเบ็งเสียงซ้ำอีก
— ตูม! —
โอวหยางเหว่ยยังคงถูกโยนขึ้นไปในอากาศครั้งแล้วครั้งเล่า ลอยขึ้น ๆ ลง ๆ กลางอากาศ ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับหญิงสาวไม่มีเงินซื้อหวี
ทุกคนล้วนงุนงง “ยังไม่หมดอีกรึ ?! มู่เฉียนซีเป็นผู้ใช้พลังธาตุวารี เมื่อพลังวิญญาณของนางถูกใช้จนหมด จะยังมีพละกำลังอยู่ได้อย่างไร ?”
“ดูสิ มู่เฉียนซีกําลังกินอะไรอยู่ ?”
“ยาลูกกลอนระดับสอง มันช่วยคืนพลังวิญญาณ ไม่แปลกใจเลย”
ผู้ชมทุกคนแทบกระอักเลือด ผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้มีเงินก็ไม่ควรใช้จ่ายเช่นนี้ นางหยิบยาลูกกลอนระดับสอง ยาคืนพลังวิญญาณมากินเป็นลูกอมถั่ว จากนั้นฟื้นฟูพลังวิญญาณและออกกระบวนท่าไม่หยุด พวกเขาชื่นชมทั้งห้าร่างที่โรยตัวลงสู่พื้นจริง ๆ
มู่เฉียนซีเหลือบมองกริชสีดําเล่มนั้นอย่างรังเกียจ นางคุณหนูนั่นแสร้งทําเป็นยอมแพ้ กลับทายาพิษคุณภาพต่ำเช่นนี้เพื่อลอบโจมตีนาง โอวหยางเหว่ย… เจ้าช่างโง่เขลาเบาปัญญา ไร้เดียงสาเสียจริง!
เวลานี้ร่างคุณหนูตระกูลโอวหยางลอยอยู่กลางอากาศ ใกล้สิ้นลมหายใจแล้ว
— ปัง! —
ผู้นำตระกูลโอวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว เขาทุบโต๊ะลุกยืนพลันพุ่งขึ้นไป กัดฟันกล่าวเสียงเหี้ยมเกรียม “มู่เฉียนซี เจ้าหยุดได้แล้ว หยุด!”
มู่เฉียนซีหลบไปอยู่ด้านหลังซวนหยวนจือ นางกล่าวกับซวนหยวนจือว่า… “ฝ่าบาท ท่านก็เห็นว่าการประลองครั้งนี้ ข้าไม่ได้ฆ่าโอวหยางเหว่ย เพียงแต่ไม่ทันระวังพลั้งมือทำร้ายนางเท่านั้น ตอนนี้ท่านผู้นำตระกูลโอวหยางจะลงมือกับข้า นี่มิถือว่าผู้ใหญ่รังแกเด็กหรือ ? ท่านต้องหยุดเขา โอวหยางเหว่ยได้รับการคุ้มครองจากบิดาของนาง ถึงบิดาข้าจะหายสาบสูญไป แต่ข้าผู้นำตระกูลมู่มิใช่ใครจะมารังแกได้ตามใจชอบ ฝ่าบาทคิดเห็นเช่นนั้นหรือไม่ ?”
.