ซวนหยวนหลี่เทียนเจ็บจนหน้าเขียว ใจเย็นยะเยือกไปหมด เขากล่าว
“มู่เฉียนซี ข้ายังมีจิตคิดสงสารเจ้า แต่เจ้ากลับไร้ซึ่งจิตใจเช่นนั้นต่อข้า เจ้าไม่มีความรู้สึกอะไรสักนิดต่อข้าบ้างเลยรึ ?”
“หลี่อ๋อง ข้าเพียงแค่อยากคุยเรื่องเงินกับท่าน ไม่ได้มาคุยกับท่านเรื่องความรักพวกนี้ ต่อให้ข้าเกิดใหม่เป็นร้อยครั้ง ก็จะไม่ทำเรื่องพวกนี้” มู่เฉียนซีกล่าว ใส่น้ำเสียงเย้ยหยันเต็มสิบส่วน
ซวนหยวนหลี่เทียนเกือบกระอักเลือดอีกหน โมโหจนตัวสั่นเทิ้ม ในสายตาของนาง เขาเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเชียวหรือ ?
“ชดใช้รถม้าข้ามาหนึ่งล้านเหรียญ จ่ายเงินโดยตรงหรือว่าจ่ายเป็นตั๋วเงิน มิฉะนั้นเข็มข้านี้จะปักตรงลงคอไป”
สิ้นวาจาหญิงสาว เงาแห่งความตายครอบงำเข้ามา ซวนหยวนหลี่เทียนรู้ได้ว่ามู่เฉียนซีสตรีแข็งกร้าวนี้เอาจริง
“ตอนนี้ข้ามีมากสุดหนึ่งแสนเหรียญ”
“นำออกมา!” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงแข็ง
ซวนหยวนหลี่เทียนนำเงินออกมาหนึ่งแสนเหรียญจากแหวนมิติของเขา เวลาเดียวกันมู่เฉียนซีกวักมือเรียก “เยวี่ยเจ๋อ เก็บเงินนั่นมา”
เยวี่ยเจ๋อถือตั๋วเงินที่มีน้ำหนักก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้ สมแล้วที่เป็นผู้มั่งคั่งอันดับหนึ่ง ทำเงินได้อย่างรวดเร็ว หนึ่งแสนเหรียญทองคำมิใช่น้อย ๆ ตระกูลเยวี่ยของพวกเขากลัวว่า… ทำเงินมาสิบปียังไม่ได้ถึงเท่านี้เสียด้วยซ้ำ
มู่เฉียนซีหันมองมู่หรูอวิ๋น กล่าวยักคิ้วหลิ่วตาปั้นหน้าเจ้าเล่ห์ “หลี่อ๋องมีแค่หนึ่งแสน ยังขาดอีกมาก ฮูหยินน้อยของท่านคงจะมีอยู่ไม่น้อย ท่านไม่ลองยืมนางมาสักหน่อยล่ะ”
สามปีที่ผ่านมา มู่หรูอวิ๋นได้เงินจากเจ้าของร่างเดิมไปไม่น้อย ใครอย่าได้มองว่ามู่หรูอวิ๋นที่ดูช่างอบอุ่นอ่อนโยนจะโง่เขลาเบาเล่ห์กล ที่ผ่านมาปัญญานางทำให้เงินที่กำอยู่ในมือนาง มีมากกว่าซวนหยวนหลี่เทียน ท่านอ๋องคนนี้มากมาย
“อวิ๋นเอ๋อร์” ซวนหยวนหลี่เทียนหันไปมองมู่หรูอวิ๋น กล่าวเรียกอย่างไม่แน่ใจ
มู่หรูอวิ๋นแสนจะเกลียดมาก! ให้ตายเถอะมู่เชียนซี! มาทำให้นางดูหมดสภาพแบบนั้นแล้วยังไม่ยอมปล่อยนางไป นางมู่นั่นเหตุใดจึงเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้ ?
“อวิ๋นเอ๋อร์ หากเจ้ารักข้าก็จงนำเงินในแหวนมิตินั้นออกมาเถอะ มู่เฉียนซีสตรีเสียสตินี่ หากเกิดลงมือลงไม้ขึ้นมาจริง ๆ แล้วละก็ ไม่ใช่เรื่องดีเลย เจ้าอยากให้ข้าตายหรือ ?”
ตาย! เพียงคิดถึงคำนี้ มู่หรูอวิ๋นหวาดกลัว
ทุกวันนี้ที่นางพึ่งพาได้มีเพียงซวนหยวนหลี่เทียนเท่านั้น นอกจากซวนหยวนหลี่เทียนแล้ว ชายคนอื่นในแคว้นจื่อเยี่ยคงไม่มีใครยอมรับนางได้
หากซวนหยวนหลี่เทียนถูกมู่เฉียนซีสตรีบ้าระห่ำผู้นี้ทำให้เสียชีวิต หากเป็นเช่นนั้น… กลัวว่านางคงจะไร้ที่พึ่งแล้ว
มู่หรูอวิ๋นนำเงินของนางออกมาทั้งหมด รวมกันแล้วมีถึงสองแสนกว่าเหรียญทองคำ
แม้แต่ซวนหยวนหลี่เทียนก็ยังไม่อยากที่จะเชื่อว่า นางมีเงินมากมายถึงเพียงนี้เชียว อันที่จริงเหมือนจะมีมากกว่าเขาเสียอีก
แต่ว่าหญิงสาวที่อ่อนโยนช่างเอาใจคนนี้ กลับไม่เคยพูดบอกกับเขามาก่อน
ซวนหยวนหลี่เทียนโกรธขึ้งขึ้น เรื่องการถูกหลอกลวงนี้ทำให้เขาว้าวุ่นใจนัก
“สองแสนกว่า มีเงินเยอะมากเกินไปหรือเปล่า ?”
“เจ้าไม่รู้หรือไร ? เมื่อก่อนมู่หรูอวิ๋นคอยตามรับใช้ผู้นำตระกูลมู่ ท่านผู้นำเป็นคนใจกว้าง ให้แต่ละครั้งหลายหมื่น สองสามปีรวมกันมันก็เยอะได้ บางทีนางอาจจะแอบเก็บไว้อีกไม่น้อยเลยล่ะข้าว่า”
“เป็นคนคอยรับใช้ท่านผู้นำตระกูลมู่ได้ประโยชน์ถึงเพียงนี้เชียวรึ ?! แต่ว่าสตรีมู่หรูอวิ๋นคนนี้ ตอนที่ท่านผู้นำตระกูลมู่กับท่านหลี่อ๋องยังไม่ยกเลิกหมั้นหมาย ก็ไปให้ท่าท่านอ๋อง มันช่างเป็นเสมือนหมาป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่อง น่าขยะแขยง!”
เงินมากมายขนาดนี้ ทำให้สายตาของทุกคนจ้องมองมู่หรูอวิ๋นด้วยความอิจฉาริษยา แน่นอน ปากยังเปิดเผยข่าวจำนวนมากออกมา สาดวาจาดูแคลนจนมู่หรูอวิ๋นอยากจะหาหลุมมุดเข้าไปหลบความอับอาย
เยวี่ยเจ๋อนิ่งอึ้ง คลื่นความรู้สึกอัศจรรย์ใจโถมเข้าสู่สมอง แต่เดิมพี่ใหญ่นำเม็ดยาขั้นสูงกินแทนข้าวไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เป็นน้องชายของนางซึ่งเป็นผู้มั่งคั่งอันดับหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์มากมายจริง ๆ
“ท่านพี่หลี่เทียน” มู่หรูอวิ๋นมองซวนหยวนหลี่เทียนด้วยสายตาน่าสงสาร ต้องการให้ซวนหยวนหลี่เทียนช่วยนางพูดหาความเป็นธรรม
แต่ในสายตาอันเย็นเยือกของซวนหยวนหลี่เทียน ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าสตรีนางนี้เจ้าเล่ห์น่ารังเกียจ ร้อยมารยา
มู่เฉียนซีนำกระดาษพู่กันขึ้นมาเขียนสัญญาหนี้ไว้
“โดยรวมแล้ว ซวนหยวนหลี่เทียนติดหนี้มู่เฉียนซีเจ็ดแสนเหรียญทองคำ จะต้องจ่ายให้หมดภายในหนึ่งเดือน ถ้าเกินไปแม้เพียงหนึ่งวัน ให้เพิ่มอีกหมื่นเหรียญในทุกหนึ่งวัน”
เห็นบรรทัดนี้แล้ว ซวนหยวนหลี่เทียนแทบอยากจะเป็นลมล้มพับดั่งสตรี ‘ให้ตายเถอะมู่เฉียนซี! เจ้าทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการปล้นข้าเลย’
“ลงชื่อได้แล้ว” มู่เฉียนซีสั่งเสียงกร้าว
ซวนหยวนหลี่เทียนกัดฟัน ในใจมีความไม่พอใจอัดแน่นอยู่มากมาย ท้ายที่สุดก็จำต้องลงชื่อในสัญญาหนี้นี้
มู่เฉียนซีเก็บสัญญาใบนั้นไว้ เงินค่ารถม้าคันใหม่ของนางได้รับถึงมือแล้ว สำหรับนาง แม้ว่าตระกูลมู่จะไม่ขาดแคลนเงิน แต่มีคนมาเสนอเงินจำนวนมากให้ถึงหน้าประตู ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี อย่างไรก็ต้องรับไว้
“มู่เฉียนซี ตอนนี้เจ้าจะปล่อยข้าไปได้แล้วหรือยัง ?”
“ตอนนี้ยัง องครักษ์อารักขาวังหลวงพวกนี้แต่ละคนดุดันน่ากลัว ทำให้ข้าหวาดกลัวไปหมดแล้ว คงต้องรบกวนหลี่อ๋องส่งข้าเข้าวังเสียหน่อย” กล่าวจบ มู่เฉียนซีก็จับตัวหลี่อ๋องเข้าไปในพระราชวังทั้งแบบนี้ กลุ่มคนด้านหลังก็ตามเข้าไป ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร
ชีวิตของท่านหลี่อ๋องอยู่ในกำมือของมู่เฉียนซี โอวหยางสือหลงอยากจะลงมือสั่งสอนนางเต็มแก่ แต่ก็ทำอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมองดูนาง
สถานที่จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำในวันเทศกาลจื่อหยวน จัดที่ตำหนักจื่อจีในวังหลวงจื่อเยี่ย
เหล่าขุนนางที่ถูกเชิญมา ผู้นำจากตระกูลต่าง ๆ ก็ล้วนมาถึงกันหมดแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ของแคว้นจื่อเยี่ย ซวนหยวนจือก็นั่งลงบนบัลลังก์แล้ว
ถึงแม้วัยเขาจะล่วงเลยมาห้าสิบกว่า แต่ดูจากรูปหน้ายังพอมองเห็นได้ว่าตอนยังหนุ่มหล่อเหลาคมคายยิ่งนัก ยิ่งวันนี้ ชุดเสื้อคลุมมังกรสีทองทำให้เขาดูน่าเกรงขามขึ้นมาก
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ รวมถึงเหล่าผู้นำตระกูลทั้งหลายที่นั่งอยู่ต่างตะลึงอึ้งมอง เอ่ยถามกัน
“เด็กพวกนั้นมัวทำอะไรกันอยู่ ? เหตุใดยังไม่เห็นมา หากช้ากว่านี้สักนิดก็สายแล้ว”
ถ้าไม่มีใครมาสักคนดูเป็นเรื่องปกติ แต่นี่ นอกจากลูกหลานตระกูลโอวหยางแล้ว คนอื่น ๆ ก็ยังไม่มีใครมา ทำให้รู้สึกไม่ใช่เรื่องปกติ
ในตอนนี้เองที่มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา ลูกหลานของแต่ละตระกูลต่างเข้าไปนั่งข้างผู้ใหญ่ของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
มันไม่มีพิธีการอะไร วันนี้เกิดเรื่องที่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนก ใจของพวกเขารับไม่ไหว ต้องการท่านพ่อและผู้ใหญ่ทั้งหลายปลอบประโลม พวกเขาแต่ละคนทำหน้าตาแปลกประหลาดขณะมองดูกัน
“ตกลงเกิดเหตุการณ์อะไรกันขึ้น ?”
ตอนนี้ที่เงาสามคนปรากฏกายยังกลางตำหนักจื่อจี มู่เฉียนซีกับหลี่อ๋องปรากฏตัวพร้อมกัน เดินเข้ามาพร้อม ๆ กัน
แต่ไม่น่าประหลาดใจ เพราะเมื่อก่อนมู่เฉียนซีชอบตามติดหลี่อ๋องเช่นนี้อยู่เป็นทุนเดิม …ทว่าตอนนี้ สถานการณ์มันไม่ถูกต้อง เพราะว่ามู่เฉียนซีนำวัตถุแหลมคมที่ดูอันตรายกดไว้ที่คอของหลี่อ๋อง ข้างกายนางยังมีเยวี่ยเจ๋อที่ร่างกายแข็งแรงคอยปกป้องนางจากรอบนอก
ที่นอกตำหนักใหญ่ มีทหารองครักษ์รักษาพระราชวังสามร้อยนายยืนอยู่ พวกเขามีฐานะไม่สูง เมื่อไม่มีคำสั่งของฮ่องเต้ ก็ไม่สามารถเข้ามาในตำหนักได้
เมื่อเห็นมู่เฉียนซี ฮ่องเต้แคว้นจื่อเยี่ยนี้ สายตาก็พลันเป็นประกายฉายแววความซับซ้อน ยิ้มกล่าวขึ้นมา “เทียนเอ๋อร์ ซีเอ๋อร์ พวกเจ้าทำอะไรกัน ?”
มู่เฉียนซีขยับมือนิดหน่อย เข็มยาที่ไว้ฆ่านั้นก็ถูกนางเก็บไว้
หลังจากนั้น มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น หน้าตาไร้เดียงสามิรู้หนาวรู้ร้อน “ฝ่าบาท ข้ากับหลี่อ๋องเพียงแค่หยอกล้อกันเล่น ๆ”
กล่าวเช่นนั้นออกไป มู่เฉียนซีรีบแสดงอาการไร้เดียงสาออกมา
“แค่ก ๆ ๆ” คนในที่นี้มีจำนวนไม่น้อยที่ฟังคำพูดของมู่เฉียนซีก็เกิดอาการสำลักขึ้นมาไม่หยุด อันที่จริง พวกเขาหยุดไม่ได้ นี่มันจะเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว
พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ท่านผู้นำตระกูลมู่ ท่านมีความสามารถในการพูดผิดให้เป็นถูกเช่นนี้ คงฝึกฝนจนถึงระดับสูงแล้ว
ซวนหยวนหลี่เทียนที่เพิ่งได้รับอิสระ ใบหน้าของเขาก็แทบจะเป็นสีเขียว หยอกล้อรึ ? เขาเกือบจะตายด้วยน้ำมือของนางที่หยอกเล่น นางยังกล้าพูดออกมาได้
มู่หรูอวิ๋นที่อยู่ข้างกายซวนหยวนหลี่เทียนไม่ยินยอมปล่อยโอกาสที่จะทำให้มู่เฉียนซีดูย่ำแย่ให้พลาดไป นางกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางประหนึ่งปวดร้าวจิตใจเหลือแสน “ซีเอ๋อร์ เจ้าจะหลอกลวงฮ่องเต้อย่างนั้นได้อย่างไร แท้จริงแล้วเจ้า…”
“เยี่ยอ๋องเสด็จมาถึง…”
ยังไม่ทันที่มู่หรูอวิ๋นจะพูดฟ้องร้องจบ ก็มีน้ำเสียงแสบแก้วหูดังแทรกขึ้นมา
.