“นำของของจวนอ๋องของข้าไป ไม่ทิ้งอะไรไว้ ก็จะไปแล้วงั้นรึ ?”
เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ อาจเป็นเพราะเพิ่งอาบน้ำ น้ำเสียงเลยแหบเล็กน้อย เหมือนดั่งเหล้าดีที่เก็บบ่มเพาะอย่างดีพร้อมรสชาติที่กลมกล่อมทำให้คนคิดถึงไม่มีที่สิ้นสุด
มู่เฉียนซียิ้ม “เยี่ยอ๋อง ข้าเพียงแค่กลับมาเยี่ยมชมสถานที่เดิมเท่านั้น ท่านบอกว่าข้านำสิ่งของในจวนไปท่านมีหลักฐานหรือไม่ ?”
ตอนนี้เองที่ซวนหยวนจิ่วเยี่ยเคลื่อนไหว
มู่เฉียนซีไม่รู้ว่าเขาลงมือตอนไหน ในพริบตาข้อมือของนางก็ถูกเขาจับไว้แน่น
ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนใกล้กันมาก ทันทีที่มู่เฉียนซีก้มหน้าลง นางก็สามารถเห็นช่วงอกในชุดคลุมที่เปิดออก มันช่างเป็นภาพที่เย้ายวนสายตาชวนให้ผู้คนที่จับจ้องเลือดกำเดาไหลได้
แต่น้ำเสียงที่เยือกเย็นทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกสั่นสะท้าน ไม่กล้าคิดลึก
“หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าผู้นี้ค้นตัว ?”
ดวงตาสีฟ้าเยือกเย็นไร้ก้นบึ้งทำให้ผู้คนสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูก
ถ้าหากเป็นผู้อื่นเอ่ยวาจาเช่นนี้ นางคงคิดว่าคนผู้นั้นกำลังแอบกินเต้าหู้นางเป็นแน่ แต่บุรุษเย็นชาอย่างมัจจุราชผู้นี้จะมากินเต้าหู้ผู้อื่นคงเป็นแค่เพียงเรื่องตลกเท่านั้น
ดวงตาที่เย็นชาของเขา ทำให้มู่เฉียนซีไม่สามารถสบสายตาเขาได้ มู่เฉียนซีมองหนังสือยืมในมือของเขาและพูดออกไปว่า… “ข้า… ข้าแค่อยากจะยืมสิ่งของจากท่าน ก็เลยจะทิ้งหนังสือยืมไว้ไง ท่านไม่ต้องกลัวว่าข้าจะไม่จ่ายคืน”
“ข้ามู่เฉียนซีผู้เป็นผู้นำตระกูลมู่ อย่างอื่นขาดแคลนได้ แต่เงินทองมิเคยขาดอย่างแน่นอน ข้าสามารถจ่ายสิ่งที่ข้ายืมจากท่านได้” มู่เฉียนซีตบอกให้คำมั่นสัญญา
ซวนหยวนจิ่วเยี่ยเพียงแค่ขยับปลายนิ้ว สิ่งที่เรียกว่าหนังสือขอยืมของมู่เฉียนซีก็กลายเป็นผุยผงในทันที
“นี่ไม่นับ”
“ถ้าเช่นนั้นเยี่ยอ๋อง ท่านบอกข้ามาเถอะว่าท่านต้องการสิ่งใด” มู่เฉียนซีโบกมือไปมา
ท่าทางของมู่เฉียนซีที่ไม่ใส่ใจทำให้เยี่ยอ๋องรู้สึกไม่พอใจ อุณหภูมิรอบตัวต่ำลงทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกชันขึ้นมา
ซวนหยวนจิ่วเยี่ยก้มหน้าลง ริมฝีปากของเขาชิดเข้าใบหูของนาง ไออุ่นที่แผ่ซ่านทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกว่าใบหูของนางกำลังร้อนผ่าว
ยังดีที่น้ำเสียงอันเยือกเย็นของจิ่วเยี่ยช่วยลดอุณหภูมิให้นาง “จิ่วเยี่ย ชื่อของข้า”
“เอ่อ…” มู่เฉียนซีมองไปที่ซวนหยวนจิ่วเยี่ยด้วยสีหน้าสับสน
ดวงตาสองคู่สบประสานกัน มู่เฉียนซีที่ยังคงสับสน สายตาของซวนหยวนจิ่วเยี่ยยิ่งดูอันตรายมากขึ้น
พ่อบ้านไป๋ที่แอบมองอยู่ข้าง ๆ รู้สึกร้อนรน นายท่านช่วยพูดให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้ไหม ท่านอยากให้นางเรียกชื่อของท่าน ท่านก็เพียงแค่บอกออกไปตรง ๆ นายท่านพูดแบบนี้ใครจะไปรู้ได้ ?
ดูแล้วนายท่านคงจะชอบนางมาก ไม่เช่นนั้นนายท่านคงจะไม่ยอมให้นางเอ่ยนามของท่าน
สายลมพัดผ่านยามค่ำคืน พวกเขาก็ยังคงอยู่เช่นเดิมไม่มีเคลื่อนไหว
ซวนหยวนจิ่วเยี่ยยังคงเย็นชาเหมือนเคย มู่เฉียนซีไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
บุรุษผู้นี้จะยังคงจับนางอยู่เช่นนี้ไปจนถึงฟ้าสางหรือไม่ ?
เขาต้องการอะไร ? ต้องทำอย่างไรเขาถึงจะปล่อยตนไป
“เยี่ยอ๋อง สายลมยามค่ำคืนหนาวเย็น ท่านสวมใส่ชุดบางเช่นนี้คงจะรู้สึกเย็น ไม่สู้ท่านปล่อยข้าแล้วพวกเราต่างคนต่างกลับห้องไปอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ ดีหรือไม่” มู่เฉียนซีหัวเราะแห้งๆ
“จิ่วเยี่ย” คิ้วงามขมวดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นมาสองคำช้า ๆ อีกครั้ง
มู่เฉียนซีไม่ได้โง่ เพียงแค่หลังจากถูกลมหายใจเย็นๆของเขาเข้าปะทะ สมองของนางก็พลันคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
แต่หลังจากที่เขาเอ่ยมาสองครั้ง ในที่สุดมู่เฉียนซีก็เข้าใจ
ปรากฏว่าแท้ที่จริงแล้วเขาไม่ชอบให้คนอื่นเรียกเยี่ยอ๋อง!
“จิ่ว… เยี่ย”
หลังจากที่ได้ยินสองคำนี้ จิ่วเยี่ยก็ยอมปล่อย
“ขอบคุณสำหรับจินอวี่ซูหวงจือ ข้าจะคืนให้กับท่านในภายหลัง”
เมื่อมู่เฉียนซีกำลังจะถอยกลับไป แขนของนางก็ถูกรั้งอีกครั้ง
มู่เฉียนซีจ้องมองเขาด้วยความโกรธ บุรุษผู้นี้เขาชอบจับนางจนชินรึไง
ด้วยแรงเพียงเล็กน้อย เขาดึงตัวมู่เฉียนซีเข้ามาที่อ้อมแขนเขาโดยตรง เงาร่างของเขาก็กะพริบออกไปจากจุดเดิม
“ท่านพาข้าไปที่ไหน ?”
เขาคงไม่หาสถานที่ทำลายหลักฐานซากศพหรอกนะ!
แต่เส้นทางนี้ทำไมดูคุ้น ๆ
— ปัง! —
ประตูถูกผลักให้เปิดออก มู่เฉียนซีรับรู้ได้ในทันทีว่าที่นี่คือห้องยาที่นางต้องการมาเอาสมุนไพรวิญญาณ
เขาพานางมาทำอะไรที่นี่ ?
เยี่ยอ๋องมองไปที่นางพักหนึ่งก่อนเอ่ยปากพูดขึ้น “ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใดก็เอาไปให้หมด”
การกระทำของเขาทำให้มู่เฉียนซีเดาใจไม่ถูกอีกครั้ง นี่เขาเป็นอะไรไป ? ถึงแม้ว่าเขาจะมีเงินแต่เขาก็ไม่ควรให้สิ่งของตลอดเช่นนี้
มู่เฉียนซีหันไปมองซวนหยวนจิ่วเยี่ย “ท่าน…”
ก่อนที่นางจะทันได้พูดจบประโยคก็มีน้ำเสียงอันเยือกเย็นแทรกเข้ามา
“จิ่วเยี่ย!”
มู่เฉียนซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ การเรียกชื่อเยี่ยอ๋องโดยตรงก็ต้องมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง
หลังจากผ่านไปสักพักนางก็เอ่ยขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย ข้าต้องการทราบจุดประสงค์ในการกระทำของท่าน ข้ามู่เฉียนซีไม่เคยรับสิ่งของผู้อื่นโดยไร้เหตุผล”
บุรุษผู้นี้ลึกลับมาก เพียงแค่พ่อบ้านก็ทำให้ซวนหยวนหลี่เทียนเกรงกลัวได้ แน่นอนว่าเขาคงไม่ใช่คนใจดี
ดวงตาคู่สีฟ้าเยือกเย็นราวน้ำแข็งยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ “ข้าหวังว่าเจ้าจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว”
หัวใจของมู่เฉียนซีเต้นช้าลงไปเกือบครึ่งจังหวะ ความต้องการของเขาตรงกับเป้าหมายของนางเช่นกัน
ตนเองเติบโตขึ้นมีประโยชน์กับเขาอย่างไร ? หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับอาถิง ?
มู่เฉียนซีไม่ได้ถามถึงเหตุผล ถึงแม้ว่านางจะไม่คุ้นเคยกับเขา หากเขาอยากพูดก็จะพูดออกมาเอง หากเขาไม่อยากพูด นางไม่สามารถบังคับให้เขาพูดได้
มู่เฉียนซีพยักหน้าและพูดว่า… “ข้ารู้แล้ว สมุนไพรวิญญาณนี้ข้าจะรับไว้แล้วกัน ท่านพูดถูก ข้าควรรีบโตไว ๆ”
มู่เฉียนซีเหมือนกับโจรห้าร้อยก็มิปาน กวาดเอายาวิเศษทั้งหมดในรวดเดียว
จวนเยี่ยอ๋องสมควรแล้วที่เป็นสถานที่ลึกลับที่สุดในแคว้นจื่อเยี่ย สิ่งของในห้องยามีมากกว่าห้องยาตระกูลมู่ไม่รู้กี่เท่า
หลังจากเก็บกวาดสิ่งของเสร็จเรียบร้อย นางก็รีบออกจากจวนเยี่ยอ๋องอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปยังทิศทางที่เงาเรียวของนางหายไปนั้น มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย
“อาถิง เจ้าบ้าบัดซบเกิดอะไรขึ้น ?” มู่เฉียนซีเรียกอาถิงในระหว่างทาง
อาถิงกลอกตาแล้วพูดออกไปว่า… “ชายผู้นั้นประสาท ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ? เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร ?”
เขายังคงกล่าวต่อ “แต่ความรู้สึกข้ามันบอกข้าว่า มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าแน่นอน เพราะพวกเราสองคนมีพันธสัญญาต่อกัน เขาแย่งข้าไปไม่ได้ เขาเลยเปลี่ยนมาทำดีกับเจ้าแทน ข้าว่าเขาคงไม่สนใจร่างกายของข้าแต่สนใจความงามของข้ามากกว่า ?”
“และยิ่งเจ้าแข็งแกร่งเร็วขึ้นมากเท่าใด ข้าก็สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้เร็วขึ้นเท่านั้น ถึงตอนนั้นข้าคงถูกชิงไป”
ปากของมู่เฉียนซีกระตุก โอ้สวรรค์! ช่วยกำจัดบุรุษจอมหลงตนเองไร้ยางอายผู้นี้ด้วยสายฟ้าที!
“เจ้ากลับเข้าไปในห้วงจิตต่อจะดีกว่า ข้าไม่ต้องการสนทนากับเจ้าแล้ว” ร่างของมูเฉียนซีกะพริบร่างของนางหายกลับเข้าไปในจวนยามค่ำคืนอย่างเงียบ ๆ
ในพื้นที่มิติแห่งห้วงจิต อาถิงมองไปยังผิวน้ำ พึมพำกับตนเอง “สตรีน่าตายมีบางอย่างที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า ถึงแม้ข้าจะบอกเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าจงรีบ ๆ แข็งแกร่งขึ้นเร็ว ๆ เถอะ!”
จุดประสงค์ของบุรุษผู้นั้นน่าจะเป็น…
“โชคไม่ดี ในที่สุดข้าก็ได้พบกับผู้ที่จะปลุกข้าขึ้นมา และได้พบกับตัวตนที่ไม่สามารถหยั่งรู้ได้โดยไม่คาดคิด” อาถิงรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย