“ท่านคือ…”
“ท่านรีบออกไปเถอะ ถ้าหากหมออวิ๋นเข้ามาเห็นเขาต้องไม่ปล่อยท่านไปแน่”
ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมตัวเล็กอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี หน้าตามอมแมม
อวิ๋นเซิ่งคนนี้เจ้าระเบียบ เจ้ากี้เจ้าการ ไม่รู้ว่าผู้ช่วยหมอโดนตบตีด่าทอไปเท่าไร สุดท้ายก็เหลือเพียงเขาแค่คนเดียว
— เพียะ! เพียะ! เพียะ! —
เสียงแส้ดังมาจากข้างนอก มู่เฉียนซีชี้ไปข้างนอก
“ตอนนี้เขาคงจะไม่มีแรงทำอะไรใครได้หรอก”
เด็กหนุ่มเดินออกไปข้างนอกพลันเห็นคนของสกุลมู่ เมื่อก่อนด้วยฐานะของนักปรุงยา อวิ๋นเซิ่งจึงใช้อำนาจบาตรใหญ่ บัดนี้อวิ๋นเซิ่งโดนจับกดเฆี่ยนตีอย่างหนัก เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด
เขาชะงักไปสักพัก นี่…
อวิ๋นเซิ่งฟื้นจากการสลบไสลเพราะความเจ็บปวด พลันได้สติขึ้นมาเขาก็ตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“ผู้นำตระกูล ไว้ชีวิตด้วย! ข้าผิดไปแล้ว”
“ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ”
เด็กหนุ่มตกตะลึง ดวงตากลมโตมองไปที่มู่เฉียนซี คนผู้นี้คือผู้นำตระกูล ? หญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงยาวแพรไหมสีม่วงอ่อน เส้นผมประดับประดาเรียบง่าย มีแค่ปิ่นหยกสีดำดั่งหมึกเสียบอยู่ผิวพรรณขาวนวลผ่องดั่งหิมะ รูปร่างหน้าตางดงามเหมาะเจาะ เส้นผมดำขลับดั่งไหมแพรชั้นดี
ร่างกายของนางรายล้อมไปด้วยกลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่แผ่ขยายจากภายในสู่ภายนอก ความสูงศักดิ์ที่แฝงไปด้วยความเย็นชา
ข่าวลือที่เกี่ยวกับผู้นำตระกูลที่เขาได้ยินมา มันช่างแตกต่างกันมากเสียจริง เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง ความกว้างนั้นสามารถใส่ไข่สัตว์ประหลาดไปได้เลยทีเดียว
มู่เฉียนซียิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นคนรับใช้ของที่นี่ใช่ไหม ?”
“หลายปีที่ผ่านมา อวิ๋นเซิ่งคงยักยอกยาของสกุลมู่ไปไม่น้อย ถ้าเจ้าทราบจงเขียนออกมาให้ข้า!”
แต่เดิมนางวางแผนว่าโบยเสร็จแล้วก็ให้โยนออกไป แต่พอเข้ามาดูห้องยาที่ใช้สมุนไพรอย่างไร้ค่า นางก็คิดว่าการขับไล่ออกไปมันง่ายเกินไป
ปรุงยาไม่สำเร็จก็ไม่เท่าไหร่ แต่นิสัยแบบนี้คงจะเก็บสิ่งของมีค่าไปไม่น้อย
“ขอรับ ท่านผู้นำตระกูล”
ถึงเขาจะไม่มีความสามารถพิเศษด้านอื่น แต่ว่าเป็นคนที่รอบคอบถี่ถ้วน อีกทั้งมีความจำเป็นเลิศ อวิ๋นเซิ่งนำสิ่งของไป เขาจดจำได้หลายอย่าง
มู่เฉียนซีเห็นใบรายการที่เขียนออกมา นางยกยิ้มที่มุมปาก บรรยากาศรอบ ๆ เต็มไปด้วยไอเย็นทำให้คนรู้สึกถึงอันตราย แต่ก็เหมือนมีแรงดึงดูดน่าค้นหา
หลิงซือหลินหัวใจของเขาตอนนี้เต้นช้าไปเกือบครึ่ง ท่านผู้นำสูงส่งสง่างามเช่นนี้ ไม่รู้ใครตาบอดใส่ร้ายป้ายสีนาง
องครักษ์เงาลงมืออย่างรวดเร็วฉับไว โบยใกล้เกือบสามร้อยครั้งแล้ว เพียงแต่ว่าอวิ๋นเซิ่งสลบไปก่อน
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“สลบไปแล้วก็ทำให้มันตื่นขึ้นมา”
“จุดไฟ”
“ขอรับ”
หลิงซือหลินไม่รู้ว่าท่านผู้นำนางต้องการทำอะไร แต่ก็ได้จุดไฟที่เตา
มู่เฉียนซีหยิบยาบางชนิดจากหีบเก็บยาใส่ลงไปในหม้อ และเติมน้ำใส่เข้าไป ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ได้น้ำยา
มู่เฉียนซีออกคำสั่ง “นำน้ำในหม้อนี้ไปราดบนร่างของมันให้หมด”
“ขอรับ”
องครักษ์เงารับคำสั่ง นำหม้อน้ำนี้ราดลงไปตั้งแต่หัวของอวิ๋นเซิ่ง
“อ๊า…!”
เสียงร้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวดดังไปทั้งจวนมู่
เป็นความเจ็บปวดที่แสนทรมาน มากกว่าโดนเฆี่ยนด้วยแส้ร้อยครั้ง เจ็บปวดเป็นร้อยเท่า ความเจ็บปวดทรมานที่ทำให้คนตื่นขึ้นจากการสลบไสล
อวิ๋นเซิ่งมองร่างในชุดสีม่วงนั้นราวกับมองเห็นผีก็ไม่ปาน
“เจ้ามันปีศาจ เจ้าไม่ใช่คน เจ้าไม่ใช่มู่เฉียนซี… ”
ตอนนี้บาดแผลบนเรือนร่างโดนน้ำยาราดเข้าไปก็เริ่มเละเปื่อยยุ่ย สภาพไม่น่ามอง
มู่เฉียนซีนำกระดาษใบรายการนั้นโยนใส่ข้างตัวอวิ๋นเซิ่ง
“นี่เป็นบางส่วนที่เจ้านำวัตถุดิบตัวยาของสกุลมู่ของข้าไป กล้าที่จะทำเรื่องเช่นนี้ในสกุลมู่ ถึงเจ้าจะออกไป ข้าจะยึดถือตามรายการนี้ เจ้าจงนำของกลับคืนมาให้ข้าสามร้อยเท่า”
สามร้อยเท่า! ถึงเขาขายตัวเองก็คืนไม่หมด ถึงแม้เขาจะเป็นนักปรุงยาที่หาได้ยาก แต่สิ่งของพวกนี้ราคาแพงไม่ใช่น้อย
สามร้อยเท่าใช้ทั้งชีวิตก็คืนไม่หมด หากวันนี้ยังมีชีวิตออกไป เขาจะกลับไปหาท่านอาจารย์ ให้ท่านอาจารย์คุ้มครอง สกุลมู่ยังไงก็คงไม่กล้าไปทวงที่สำนักตานจี้เป็นแน่
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าจะไม่คืนก็ได้ แต่ว่าร่างกายของเจ้าชโลมไปด้วยยาพิษ ถ้าเจ้าไม่หามาคืนภายในเจ็ดวัน เจ้าจะไม่ได้ยาแก้พิษ ร่างกายของเจ้าจะเน่าเปื่อย”
ร่างกายอวิ๋นเซิ่งสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ทุกส่วนของร่างกายเปื่อยเน่า เพียงแค่คิดก็น่ากลัวจนแทบหมดสติไปอีกครั้ง
มู่เฉียนซีพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “นำกระดาษใบนี้และคนไร้ค่าไปทิ้งนอกจวนสกุลมู่
“ขอรับ”
ถึงตอนนี้หลิงซือหลินยังไม่ทันได้ตั้งตัว นักปรุงยาเพียงคนเดียวของสกุลมู่ก็ได้ถูกลากตัวออกไป
มู่เฉียนซีหันไปพูดกับหลิงซือหลิน
“วันนี้เจ้าทำได้ดี เจ้ามีชื่อว่าอะไร ?”
เขาตอบกลับไปด้วยท่าทีเกรงกลัว “ข้าน้อยชื่อหลิงซือหลิน”
“เสี่ยวซือหลิน ต่อไปห้องยาข้าให้เจ้าคอยดูแล”
“แต่ว่าข้าเป็นเพียงผู้ติดตามคอยรับใช้ ไม่รู้จักวิธีการปรุงยา อายุก็ยังน้อยนัก กลัวว่า…”
คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นมา “ข้าเป็นผู้นำของตระกูลมู่ ข้าพูดอะไรก็เป็นอย่างนั้น ข้าพูดว่าได้ก็ต้องได้”
“ขอรับ”
เขาพยักหน้ารับ ท่านผู้นำตระกูลกับคำที่เล่าลือมานั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงไม่ไร้ความสามารถ แต่นางยังตัดสินใจเด็ดขาด มีความเป็นผู้นำ เป็นแบบอย่างของผู้มีอำนาจ
เขาถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านผู้นำ ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะเรียนถามท่าน”
.