ซวนหยวนหลี่เทียนพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อถอนหมั้น เพราะหากฮ่องเต้ทรงยอมก็คงจะถอนหมั้นไปนานแล้ว
แต่จุดประสงค์ที่เขาพูดเช่นนี้ก็เพื่อบอกกับมู่เฉียนซีว่าเขาเป็นคู่หมั้นของนาง และการที่เขาเสียหน้าไม่ได้เป็นผลดีต่อนางเลย
อีกทั้งเพื่อเป็นการย้ำเตือนกับนางว่า ถึงแม้ในวันนี้นางจะเปลี่ยนไปมาก แต่เขา ซวนหยวนหลี่เทียน ก็เคยเป็นบุรุษที่นางยอมทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้แต่งงานด้วย
สิ่งเหล่านี้เจ้าของร่างเดิมนั้นใส่ใจมากมายนัก แต่กับมู่เฉียนซีคนใหม่กลับไม่คิดจะแยแสเลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีเผยยิ้มมุมปาก
“พวกเจ้า! มาเชิญท่านหลี่อ๋องเข้าไปในโลงศพที่เขาจัดเตรียมด้วยความประณีตที ส่วนหนังสือถอนหมั้นนั้นไม่ต้องรอให้ท่านไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในพระราชวังหรอก ข้าจะเขียนให้ท่านเดี๋ยวนี้เอง”
ซวนหยวนหลี่เทียนเบิกตาโพลงจนดวงตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า
“มู่เฉียนซี เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าจะถอนหมั้นอย่างนั้นหรือ ?”
เขารู้ดีว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มู่เฉียนซีชอบพอเขา จนต้องเสียผลกำไรอันมหาศาลของตระกูลมู่ไปเพราะนำสมบัติมากมายเหล่านั้นออกมาเพื่อแลกกับหนังสือสัญญาหมั้นหมายเพียงฉบับเดียวจากเสด็จพ่อ
แต่วันนี้นางกลับบอกว่าจะถอนหมั้น นี่เป็นสิ่งที่เขาอยากได้มาโดยตลอด แต่มาวันนี้ใกล้จะได้สมดังใจแล้ว เขากลับโมโหเสียนี่
มีแต่เขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทิ้งผู้อื่น มู่เฉียนซีถือดีอย่างไรมาเขี่ยเขาทิ้ง
“หลี่อ๋อง เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์เงาของตระกูลมู่ทำตามคำสั่งของผู้นำตระกูล มาเชิญหลี่อ๋องเข้าโลงศพมรกตของเขา
“ถอยไป…”
เขาไม่อยากเข้าไปสักนิด องครักษ์เงาเหล่านี้มีหรือจะฟังคำสั่งของเขา ดังนั้นเขาจึงถูกองครักษ์เงาสี่คนแบกหามขึ้นมา
— ครืด! —
ฝาโลงถูกเปิดออก พวกเขาโยนหลี่อ๋องเข้าโลงอย่างรุนแรงโดยไม่คิดจะเกรงใจ
— พลั่ก! —
“โอ้ย!”
หลี่อ๋องถูกโยน ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บ พร้อมตะโกนลั่นอย่างเกรี้ยวกราด
“พวกเจ้า… พวกเจ้ากล้ามาทำกับข้าเยี่ยงนี้ ข้า…”
เขาคิดจะปีนออกมาแต่ทันใดก็พบว่าร่างกายของตนที่นอนอยู่ในโลงศพ แข็งทื่อจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ นอกจากปากที่ยังพูดได้แล้ว ยามนี้เขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนตายเลยสักนิด ในใจของเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา รีบร้องตะโกนเป็นการใหญ่
“มู่เฉียนซี เจ้าทำอะไรข้ากันแน่ ทำไมข้าขยับตัวไม่ได้”
“มู่เฉียนซี เจ้าไม่ได้ตายดีแน่”
เขากล้ามาว่าซีเอ๋อร์เช่นนี้ ดวงตาของมู่อวู่ซวงก็พลันฉาบด้วยแววอันตราย ทว่ามู่เฉียนซีกลับเอ่ยแกมหัวเราะ
“ท่านอาอย่าได้โมโหเลย คนเช่นนี้ฆ่าไปก็ไม่สนุกหรอก”
“ผู้เฒ่าใหญ่ เจ้ายังยืนบื้ออะไรอยู่ตรงนั้น รีบไปเตรียมของเร็วเข้า ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าข้าจะมอบหนังสือถอนหมั้นที่เขาคร่ำครวญหาทุกเช้าค่ำให้น่ะ”
มู่เฉียนซีเอ่ยพลางชี้ไปที่ผู้เฒ่าใหญ่
“มู่เฉียน… เอ่อท่านผู้นำตระกูล ท่านจะถอนหมั้นจริง ๆ หรือ เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาหมั้นนี้ ท่านถึงกับนำ…”
ผู้เฒ่าใหญ่เหลือบไปมองมู่อวู่ซวง หวังว่าเขาจะช่วยห้ามมู่เฉียนซี
“ความเสียหายของตระกูลมู่ ข้าจะนำกลับคืนมาเอง แต่วันนี้ข้าจะต้องถอนหมั้นให้ได้ ข้าไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนเลวไร้ค่าผู้นี้เลยสักนิด น่าอับอายที่สุด”
มู่เฉียนซีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ารังเกียจ
“ซีเอ๋อร์พูดอะไร พวกเจ้าเพียงแค่ทำตามก็พอ ตระกูลมู่เลี้ยงพวกเจ้าไว้ไม่ใช่ให้มาสงสัยในการตัดสินใจของนาง ของพวกนั้นต่อให้นำกลับมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงซีเอ๋อร์สบายใจก็พอแล้ว”
“ขอรับ ๆ”
ผู้เฒ่าใหญ่สั่งคนให้เตรียมพู่กันน้ำหมึก กระดาษและแท่นฝนหมึก แต่ปรากฏว่าพอมู่เฉียนซีหยิบของทั้งสี่ชิ้นได้ ก็ขว้างใส่ผู้เฒ่าใหญ่ทันที
— พลั่ก! —
ใบหน้าและร่างกายของผู้เฒ่าใหญ่ยามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำหมึก ส่วนแท่นฝนหมึกก็ขว้างโดนหน้าผากของเขาจนบวมเป่ง ผู้เฒ่าใหญ่กำลังจะระเบิดโทสะตำหนิผู้นำตระกูล แต่กลับได้รับคำด่าทออย่างรุนแรงจากมู่เฉียนซีแทน
“ข้าจะเขียนหนังสือถอนหมั้น บอกหรือว่าจะเขียนลงกระดาษ ข้าจะเขียนลงแผ่นกระดานต่างหากเล่า เรื่องแค่นี้ยังจะต้องให้ข้าบอกอีก ผู้เฒ่าใหญ่ นับวันเจ้าก็ยิ่งจะไร้ประโยชน์ขึ้นทุกทีแล้ว”
บรรดาผู้เฒ่าพวกนี้ เมื่อครู่นางมัวแต่จัดการกับชายชั่วจนไม่ทันได้เผื่อแผ่มาถึงพวกเขา ยามนี้ก็ถึงเวลาที่จะสั่งสอนพวกผู้เฒ่าที่ไร้มารยาท คิดคดทรยศต่อผู้นำตระกูลให้ได้เห็นดีกันหน่อยแล้ว
ผู้เฒ่าใหญ่ถูกด่าทอไปยกหนึ่ง ก็มีความโมโหเกรี้ยวโกรธอยู่เต็มอกจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
มู่เฉียนซีในวันนี้ช่างดุดันข่มขวัญ ชั่งแตกต่างกับนางในอดีตที่ขลาดกลัวการมีเรื่องมากนัก
อีกทั้งบัดนี้ยังมีมู่อวู่ซวงคอยให้ท้ายอยู่ข้างๆ เขาเลยต้องอดทนไว้ก่อน
“พวกเจ้า ไปเตรียมพู่กัน หมึก และแผ่นกระดานมา”
“ขอรับ”
เมื่อของที่มู่เฉียนซีต้องการถูกเตรียมพร้อมแล้ว จากนั้นนางก็หยิบพู่กันเพื่อเริ่มเขียน เริ่มด้วยคำว่า
‘หนังสือถอนหมั้น’
พ่อบ้านไป๋ที่คอยดูละครอยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“ลายมือของท่านผู้นำตระกูลมู่ช่างดูใจกว้างตรงไปตรงมา เด็ดขาดไร้แววลังเล เยี่ยมนัก”
มู่เฉียนซีกระตุกมุมปากแม้ว่าลายมือของนางจะไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ก็ไม่ได้เลิศเลอเกินจริงดั่งคำชมของพ่อบ้านไป๋
ในตำหนักอันวังเวงแห่งนั้น พ่อบ้านไป๋จัดการทุกเรื่องได้อย่างเป็นระบบระเบียบ แต่นางกลับไม่รู้เลยว่า ชายชราผู้นี้ยังถนัดด้านการพูดประจบอีกด้วย
ในฐานะที่นางเป็นสตรีคนแรกและคนเดียวที่เข้าไปในจวนของนายท่านแล้วยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ พ่อบ้านไป๋จึงปฏิบัติกับมู่เฉียนซีดั่งนายหญิงของตนเองแล้ว สำหรับนายหญิงแล้วเขาก็ต้องกล่าวชมให้มากสิถึงจะเป็นการดี
มู่เฉียนซีถือพู่กันเขียนต่อพร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“หลี่อ๋อง ซวนหยวนหลี่เทียน แม้ว่าเขาจะหมั้นหมายกับข้าเพราะพระราชโองการของฮ่องเต้ ทว่าเขามีใบหน้าธรรมดา ไร้ความสามารถ ขาดสัจจะ โหดเหี้ยมไร้ความปรานี ทั้งยังหยอกล้อยั่วเย้าหญิงอื่น พัวพันกับสตรีมากมาย ดังนั้นข้า มู่เฉียนซีขอประกาศว่านับแต่นี้ไป จักขอถอนสัญญาหมั้นหมายกับซวนหยวนหลี่เทียน”
มู่เฉียนซีเขียนไปพร้อมทั้งอ่านออกมาเสียงดังจนซวนหยวนหลี่เทียนที่ถูกโยนลงไปในโลงก็ได้ยินอย่างชัดเจน
“เอือก!”
ซวนหยวนหลี่เทียนถูกยั่วโทสะจนกระอักเลือดออกมาคำโต
.