“ไม่สิครับ ต่อให้มันจะเป็นเรื่องจริง ทำไมไห่รุ่ยถึงเลือกที่จะมาตรวจสอบเอาตอนที่เราเซ็นสัญญากันไปแล้วล่ะครับ กำลังล้อเราเล่นอยู่หรือยังไง” ประธานหวังเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
ริมฝีปากลู่เช่อยกขึ้นเป็นรอยยิ้มท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน “ประธานหวังครับ ช่วยมีเหตุผลหน่อยสิครับ ไห่รุ่ยเองก็เป็นบริษัทที่มีเรื่องต้องสะสางมากมาย ไม่แปลกที่เราจะมาจัดการเรื่องนี้เอาป่านนี้หรอกครับ อีกอย่างจู้ซิงมีเดียก็ดำเนินกิจการอย่างราบรื่นมานาน ตอนนี้คุณผู้หญิงดูแลอยู่เธอก็ส่งตัวศิลปินให้กับไห่รุ่ยอยู่ตลอด ดังนั้นผมมั่นใจว่าคุณก็ดูออกว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงไหนกันแน่…
ที่สำคัญที่สุดคือจู้ซิงมีเดียเป็นของเรา เราจะทวงกลับไปเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ เราต้องมาคอยรอฤกษ์ดีหรืออะไรทำนองนั้นด้วยเหรอครับ”
คำพูดของลู่เช่อเหมือนกันการตบหน้าฉาดใหญ่ เพราะหลังจากประธานหวังได้ยินดังนั้น ใบหน้าเขาพลันขึ้นสี อย่างกับลิงที่ถูกบังคับให้เล่นละครสัตว์
“พูดตามตรงเลยนะครับ ประธานหวัง ผมคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้ควรโทษคุณหม่าที่ทรยศจู้ซิงมีเดีย ยังไงเธอเองก็เป็นคนที่ถือหุ้นเยอะที่สุด เธอไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างไห่รุ่ยกับจู้ซิงมีเดียเลยเหรอครับ ถ้าคุณจะโกรธใครสักคน ผมว่าน่าจะไปบอกคุณหม่าแล้วถามว่าเธอรู้เรื่องนี้หรือเปล่าดีกว่านะครับ”
พูดจบ ลู่เช่อหันกลับไปบอกทีมทนายความของเขา “อย่าทำเรื่องนี้ให้ยืดเยื้อ หลังจากจัดการที่นี่เสร็จแล้วรายงานกลับไปที่ไห่รุ่ยด้วยนะครับ!”
สุดท้ายสัญญาในมือหม่าเวยเวยกับประธานหวังจึงเป็นเพียงกระดาษที่ไม่ได้มีค่าใดๆ
แน่นอนว่าลู่เช่อจงใจปั่นหัวให้ประธานหวังเข้าใจผิดกับหม่าเวยเวย อยู่ๆ สายตาที่ประธานหวังมองไปที่เธอจึงฉายแววอ่านไม่ออก
“คุณหม่า ช่วยอธิบายกับผมได้ไหมครับ”
“ประธานหวัง อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของลู่เช่อเลยนะคะ ฉันไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไห่รุ่ยกับจู้ซิงมีเดียจริงๆ นะคะ ไม่อย่างนั้นทำไมฉันต้องขายหุ้นให้คุณด้วยล่ะ” หม่าเวยเวยอธิบาย “คุณต้องเชื่อฉันนะคะ…”
ผู้จัดการของหม่าเวยเวยที่มองมาจากหลังเวทีได้แต่พูดว่า “เราถูกเล่นงานซะแล้ว!”
เกมจึงพลิกไปด้วยเหตุนี้ เดิมทีหม่าเวยเวยเซ็นสัญญาไปแล้ว จึงดูเหมือนว่าคงไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ได้อีก ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าไห่รุ่ยจงใจทำทุกอย่าง พวกเขาจับตามองหม่าเวยเวยจนกระทั่งเธอเซ็ฯ สัญญาก่อนที่จะออกมาตบหน้าเธอและทวงจู้ซิงมีเดียคืนไป
“หม่าเวยเวย ช่วยอธิบายหน่อยเถอะ คุณรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไห่รุ่ยกับจู้ซิงมีเดียหรือเปล่าครับ”
“หม่าเวยเวย คุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับการออกมาแสดงอำนาจของไห่รุ่ยในวันนี้ไหมครับ”
การแสดงอำนาจที่แม้แต่นักข่าวยังดูออกว่าไห่รุ่ยกำลังทำกับหม่าเวยเวย ตอนนี้เธอต้องการเพียงหาที่ซ่อนตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องอับอายขนาดนี้
ในขณะที่ถูกสื่อมวลชนรุมล้อมจนล้มลงไปบนพื้นในท้ายที่สุด แต่กลับไม่มีใครรู้สึกสงสารเธอแม้แต่น้อย
“บ้าเอ๊ย ฉันล่ะลุ้นจนเหงื่อแตกพลั่ก! ว่าแล้วว่าหนิงของฉันต้องไม่ปล่อยเรื่องแบบนี้ไป!”
“เธอพลิกเรื่องให้กลับตาลปัตรได้หลังจากสัญญาถูกเซ็นไปแล้ว ยอมใจเธอจริงๆ วิธีที่ไห่รุ่ยใช้จัดการเรื่องนี้ก็น่าทึ่งมาก!”
“ถึงจะดูเหมือนเธอรังแกรุ่นน้องไปบ้างแต่ก็ทำถูกแล้วล่ะ”
ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการตัดสินใจของโม่ถิงเพียงคนเดียว มันยังเป็นการตัดสินใจของถังหนิงด้วย ต่อให้จะไม่ใช่เช่นนั้น พวกเขาก็ต้องปรึกษาเรื่องนี้ร่วมกันอย่างแน่นอน ในสายตาคนภายนอก การที่ไห่รุ่ยลงมือย่อมหมายถึงการลงมือของถังหนิงเช่นกัน…ทว่าหากจะว่ากันตามจริงแล้ว ไห่รุ่ยนั้นจัดการได้ ดีกว่า ถังหนิงเสียด้วยซ้ำ มันนับว่าเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่กว่า! ดูทีมทนายความที่ตามลู่เช่อมาสิ หม่าเวยเวยจะอับอายขายหน้าขนาดไหนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นข่าวเรื่องที่หันซิวเช่อได้หุ้นของจู้ซิงมีเดียมาด้วยวิธีการที่มิชอบยังเริ่มถูกขุดขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง…
แน่นอนว่าตอนนี้เมื่อมีหันซิวเช่อติดร่างแหไปด้วย เขาจึงจำต้องเล่นบทเหยื่อผู้ถูกกระทำอีกครั้ง “ผมอธิบายไปหลายครั้งแล้วว่าผมไม่ได้สนิทสนมกับหม่าเวยเวย ผมแค่ต้องการอาศัยชื่อเสียงของเธอเท่านั้น…”
“หันซิวเช่อ ตรรกะคุณมันพังไปแล้ว พยายามหลอกตัวเองอยู่เหรอ
“ข้อแรกทำไมหลงเจี่ยต้องยอมทิ้งจู้ซิงมีเดียเพราะว่าศิลปินติดยาด้วย เธอก็บอกเองว่าคุณเป็นคนที่บังคับให้เธอโอนหุ้นให้ แล้วสิ่งที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล ไม่งั้นเธอจะยกหุ้นให้คุณเปล่าๆ โดยที่ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยทำไมล่ะ
“สอง คุณบอกว่าตัวเองกับหม่าเวยเวยไม่ได้สนิทสนมกันและไม่เคยสมรู้ร่วมคิดกัน ที่โอนหุ้นของคุณให้เธอก็แค่ต้องการอาศัยชื่อเสียงของเธอ แต่เราทุกคนก็เห็นว่าหลังจากที่คุณยกหุ้นให้ คุณก็ไม่ได้ทำอะไรกับจู้ซิงมีเดีย และไม่ได้โฆษณาตัวเองด้วยซ้ำ มันหมายความว่ายังไงกันล่ะ หมายความว่าคุณไม่เคยสนใจชื่อเสียงเลยไง แล้วสิ่งที่คุณอ้างมาจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะ
“ฉันว่าถ้าเรามองทุกอย่างในภาพรวม มันก็ไม่ได้ยากที่จะเชื่อหลงเจี่ยกับถังหนิงมากกว่าใครบางคนที่พูดจาไร้สาระหรอก
“สุดท้ายฉันจะบอกให้อีกสักอย่างนะ พอมีอะไรขึ้นกับหม่าเวยเวย เธอก็มักจะสร้างกระแสโดยการบอกว่าถังหนิงวางแผนเล่นงานเธอทุกครั้งไป แต่ฉันมั่นใจว่าใครๆ ก็ดูออกว่านอกจากทำให้ถังหนิงต้องนึกรังเกียจ หม่าเวยเวยก็ไม่มีปัญญาทำอะไรเธอได้ แล้วทำไมถังหนิงจะต้องลดตัวลงมายุ่งกับตัวปลอมไร้ราคาด้วยล่ะ
“ยิ่งเธอมีลูกตั้งสามคนและสามีด้วย!
“หันซิวเช่อ ถ้าคุณแก้ตัวเรื่องช่องโหว่เรื่องของคุณไม่ได้ อย่างนั้นคุณก็โกหกหน้าด้านๆ แล้วล่ะ!”
คำถามที่รุนแรงจากแฟนของถังหนิงทำให้ทุกคนที่ได้เห็นถึงกับอึ้ง
นี่เป็นความฉลาดที่แฟนๆ พึงมี พวกเขาจึงสามารถโต้เถียงได้อย่างอยู่หมัด มีเหตุผล และหยามหน้าหันซิวเช่อได้
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมแฟนคนนี้ถึงได้พิมพ์ยาวนัก มันยาวมากจริงๆ นะฉันเลยขี้เกียจอ่านน่ะ ฉันพูดได้แค่ถ้าคุณอยากจะอ้างบางอย่างคุณเองก็ต้องมีหลักฐาน!”
ดูเหมือนว่าหันซิวเช่อจะต้องการยกระดับความหน้าด้านของตัวเองขึ้นไปอีกขั้น
เขาทำได้แค่พ่นคำพูดน่าขยะแขยงออกมา
มองข้ามคำถามที่แท้จริงไปเสียสนิทและเลือกที่จะเป็นไอ้คนสารเลว!
แต่แฟนๆ จะทำอะไรเขาได้กันล่ะ
พวกเขาเองก็ไม่มีหลักฐานเช่นกัน
เป็นโชคร้ายสำหรับหันซิวเช่อ เพียงเพราะว่าแฟนๆ ไม่มีหลักฐานไม่ได้หมายความว่าถังหนิงไม่มีหลักฐานเสียหน่อย
ผู้จัดการของหม่าเวยเวยรู้ว่าทุกอย่างมันจบแล้วหลังจากที่ได้เห็นข่าวของหันซิวเช่อ เธอจึงพยายามกำจัดหม่าเวยเวยให้พ้นตัวทันที อย่างไรเสียเธอก็รู้ว่าถังหนิงมีหลักฐานที่หันซิวเช่อกำลังพูดถึงอยู่
ความจริงแล้วมันเป็นหลักฐานที่มัดตัวแน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด!
ไม่แปลกที่ถังหนิงจะยังคงอยู่เฉย เธอมีหลักฐานในมืออยู่แล้วและเตรียมการมาอย่างดี เธอสามารถทำลายหม่าเวยเวยกับหันซิวเช่อที่ยากเกินจะถอนตัวโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรด้วยซ้ำ
ทว่าหันซิวเช่อไม่ได้สนใจอนาคตของตัวเอง ไม่สิ ว่ากันตามจริงแล้วเส้นทางของนักวาดการ์ตูนนั้นแตกต่างกับดารามากโขต่างหาก
ผู้จัดการของหม่าเวยเวยจึงเข้าใจว่าสถานการณ์ของหม่าเวยเวยนั้นต่างกับหันซิวเช่ออยู่มาก…
เธอถึงทำได้แต่เฝ้ารอการโจมตีครั้งต่อไปของถังหนิง…