“แล้วเป็นยังไงบ้างคะ” ถังหนิงถามอย่าหวั่นใจ
“มันเหนือความคาดหมายของผมไปอีกครับ…” โม่ถิงเอ่ยก่อนหันกลับไป จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว อย่างไรก็ตามแค่คำพูดพวกนี้ก็เพียงพอแล้ว
เพราะนี่เป็นการให้การยอมรับที่ดีที่สุดสำหรับถังหนิง
เมื่อเธอได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะออกมา ด้วยนิสัยของโม่ถิงที่คาดหวังกับทุกอย่างไว้สูง เขาจึงคงไม่มีทางเอ่ยชมใครตรงๆ ดังนั้น เกินความคาดหมายของเขา จึงนับว่าเป็นคำชมที่ดีที่สุดแล้ว มันหมายความว่าเขายอมรับในตัวเธอแล้ว!
แล้วการที่โม่ถิงให้การยอมรับหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ
เขาเป็นถึงนักธุรกิจชั้นแนวหน้าจึงทั้งสามารถตัดสินใจได้ดี คุ้นเคยกับภาพยนตร์ และมีทักษะในการประเมินคุณค่า
ถังหนิงจะไม่มีความสุขได้อย่างไรกันล่ะ
เมื่อคิดเช่นนั้น ถังหนิงกระโดดลงจากเตียงก่อนเดินทั้งเท้าเปล่ามาด้านหลังโม่ถิงและกอดเขาไว้แน่น “คุณพูดจริงเหรอคะ”
โม่ถิงก้มหน้ามองเท้าเปลือยเปล่าของเธอ ด้วยเกรงว่าเธอจะหนาวเขาจึงหันไปอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน “ถึงคุณจะอยู่ที่บ้านก็ต้องห้ามลืมใส่รองเท้าสิครับ”
“ที่คุณพูดจริงหรือเปล่าคะ”
“เดี๋ยวคุณได้ดูก็จะรู้เองนั่นแหละครับ” โม่ถิงตอบ “หลังจากตัวอย่างหนังแรกถูกปล่อยออกไป คุณจะลองเปิดดูสักหน่อยก็ได้ครับ ตั้งใจกับการทำตัวอย่างหนัง ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไว้นะครับ! ”
“โอเคค่ะ! ” ถังหนิงพยักหน้ารับอย่างขึงขัง
ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรในสายตาคนภายนอก ต่อหน้าโม่ถิงแล้วเธอก็เป็นผู้หญิงที่ต้องการความรักและการปกป้องจากเขาเสมอ
โม่ถิงดีใจกับปฏิกิริยาตอบรับของถังหนิง เขาจึงวางเธอบนโซฟาและกลับไปที่ห้องนอนเพื่อเอารองเท้ามาให้เธอ จากนั้นจึงวางมันตรงหน้าเธอ
ด้วยการให้กำลังใจของโม่ถิง ในที่สุดถังหนิงก็คลายกังวลได้สักที
ทว่าก่อนที่โม่ถิงจะออกจากบ้านไป ถังหนิงรีบรั้งเขาไว้ก่อนเอ่ยถาม “ฉันลืมถามคุณก่อนหน้านี้ไปว่าไห่รุ่ยมีสิทธิ์ทวงจู้ซิงมีเดียคืนมาได้ไหมคะ”
“สัญญาระหว่างจู้ซิงมีเดียกับไห่รุ่ยระบุไว้ชัดเจนแล้วครับว่าทุกปีหลังจากก่อตั้งบริษัท ต้นสังกัดต้องส่งตัวศิลปินที่มีศักยภาพให้ไห่รุ่ยได้จัดการต่อ ซิงหลานกับลัวเซิงเป็นความสำเร็จของคุณ จากนั้นไห่รุ่ยจะทำการประเมินในทุกๆ 6 เดือน หากบริษัทประสบความยากลำบากในการดำเนินกิจการได้ตามปกติ และไม่สามารถสร้างศิลปินที่ดีได้ ไห่รุ่ยเองก็มีสิทธิ์ที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวครับ”
“ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ก็ตามน่ะเหรอคะ”
“ใครจะถือหุ้นอยู่ก็ไม่สำคัญหรอกครับ ไห่รุ่ยเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจอยู่แล้ว” โม่ถิงตอบ “นี่เป็นเหตุผลที่คณะกรรมการบริหารอนุญาตให้คุณเริ่มตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมาตั้งแต่ทีแรกไงครับ”
“พูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า…”
“พูดอีกอย่างได้ว่าคุณอยากจะทวงจู้ซิงมีเดียกลับมาตอนไหน มันก็ง่ายพอๆ กับการจัดประชุมคณะกรรมการบริหารแหละครับ แต่ถ้าเราทวงมันกลับคืนมาได้ ต้นสังกัดก็จะอยู่ไม่ได้อีกต่อไปนะครับ คุณต้องคิดเรื่องนี้ให้ดีๆ ” โม่ถิงตอบด้วยท่าทีจริงจัง
ในความเป็นจริงหากถังหนิงไม่ได้พูดอะไร โม่ถิงเองคงไม่มีทางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของจู้ซิงมีเดีย ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงยังอยู่ต่อไปได้ตราบใดที่ผู้ถือหุ้นของไห่รุ่ยไม่รู้เรื่องนี้
“ถ้าอย่างนั้นขอฉันคิดให้รอบคอบก่อนแล้วกันค่ะ” ถังหนิงบอกกลับ
โม่ถิงส่งยิ้มให้และลูบศีรษะเธอแผ่วเบา
แม้ว่าทั้งคู่จะเข้าวัยสามสิบแล้ว การแสดงความรักต่อกันกลับทำให้พวกเขายังดูเหมือนยังคงคบกันใหม่ๆ
“ตามใจคุณเลยครับ! ”
นึกถึงตอนที่หม่าเวยเวยกับหันซิวเช่อพยายามอย่างหนักเพื่อแย่งจู้ซิงมีเดียไป พวกเขาช่างไม่รู้แม้แต่น้อยว่าบริษัทนี้ถูกก่อตั้งขึ้นมาภายใต้ข้อตกลงกับไห่รุ่ย
ครั้งที่ถังหนิงสร้างจู้ซิงมีเดียมาตั้งแต่แรก เธอไม่ได้มีเจตนาที่จะแยกตัวเป็นอิสระจากไห่รุ่ยแต่อย่างใด เพียงแค่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเฟ้นหาศิลปินที่มีความสามารถเท่านั้น ทุกสิ่งที่เธอทำมีจุดประสงค์เพื่อช่วยศิลปินให้พัฒนาทักษะจนถึงระดับที่เธอสามารถส่งต่อให้กับไห่รุ่ยได้ในท้ายที่สุด
เธอจึงนึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เธอทำข้อตกลงเอาไว้เมื่อครั้งก่อตั้งบริษัทในตอนแรก จะกลายเป็นอาวุธที่ใช้ในการตอกกลับได้
อย่างไรก็ตามเธอไม่รู้ว่าหลงเจี่ยกับหลินเฉี่ยนจะยอมรับการยุติบทบาทของจู้ซิงมีเดียได้หรือไม่
จู้ซิงมีเดียเคยมีคืนวันอันรุ่งโรจน์ ต่อให้มันจะไม่ได้ยาวนานมากนักก็ยังคงมีผลงานสร้างชื่ออย่างซิงหลานและลัวเซิง ส่วนลัวอิงหง เธอเป็นคนที่ทุ่มเทมาตลอด และยิ่งเห็นได้ชัดในยามที่จู้ซิงมีเดียเริ่มไม่มั่นคง ทว่าเธอไม่เคยต้องพึ่งพาต้นสังกัดแต่อย่างใด หากแต่กลับคุยงานได้ด้วยตัวเอง
เพียงแค่ถังหนิงจัดการอย่างรอบคอบ ไม่มีเหตุผลที่ลัวอิงหงจะไม่พอใจกับการล่มสลายของจู้ซิงมีเดีย
…
เช้าวันถัดมาหลงเจี่ยมาถึงไฮแอทรีเจนซี ถังหนิงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างไห่รุ่ยกับจู้ซิงมีเดียกับเธอก่อนถามความคิดเห็น “ถ้าเธอตกลง ไห่รุ่ยจะชดเชยหุ้นส่วนที่เธอเคยมีให้ แล้วพวกเขาก็จะชดเชยให้หลินเฉี่ยนเหมือนกัน”
“แต่ว่าฉันยกหุ้นของตัวเองให้หันซิวเช่อไปแล้วนะคะ…” หลงเจี่ยเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยกับถังหนิง “ชดใช้ให้กับหลินเฉี่ยนก็พอค่ะ ฉันไม่มีสิทธิ์รับอะไรทั้งนั้นหรอกค่ะ”
“หมายความว่าเธอตกลงเหรอ…”
“ฉันคิดว่าตัวเองคงเหมาะกับการเป็นผู้ช่วยของคุณมากกว่า ส่วนหลินเฉี่ยน คุณเองก็รู้ถึงสถานการณ์ของเธอดี เธอกำลังจะกลายเป็นคุณแม่และตระกูลหลี่ก็ถนัดในการเลี่ยงเรื่องเดือดร้อน ฉันว่าหลินเฉี่ยนคงเปลี่ยนไปทำงานด้านอื่นได้ตลอดอยู่แล้วล่ะค่ะ
“ฉันเลยเห็นด้วยกับคำแนะนำของคุณไงคะ…” หลงเจี่ยตอบ “อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการถูกคนชั่วช้าสองคนนั้นทำให้ช้ำใจ”
ถังหนิงมองหน้าอีกฝ่าย แม้เธอจะพยายามอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองไว้อย่างถึงที่สุด ถังหนิงก็ยังเห็นน้ำตาที่คลออยู่
“ก็จริง ถ้าเธอไม่มีปัญหาอะไร ทำไมไม่มาเป็นผู้ช่วยของฉันล่ะ มันเป็นบทบาทที่น่าจะเติมเต็มเธอได้นะ ฉันมีบางอย่างให้เธอดู”
พูดจบถังหนิงก็เปิด มดราชินี ให้หลงเจี่ยดู
ครั้งนี้หลงเจี่ยได้เป็นตัวแทนของผู้ชมที่ต่างออกไป
หากโม่ถิงได้แสดงความเห็นในฐานะผู้เชี่ยวชาญ หลงเจี่ยคงเป็นภาพสะท้อนที่ทำให้เห็นปฏิกิริยาของผู้ชมได้ดีกว่า
ความสนใจของหลงเจี่ยได้พุ่งเข้าไปอยู่ที่หน้าจอทันที
เพียงแค่ฉากแรกก็ทำให้ถึงกับเบิกตากว้าง “นี่…นี่คือหนังที่คุณทำกับเฉียวเซินเหรอคะ คุณไม่ได้บอกว่ามีแค่ตัวอย่างหนังเหรอ หนังเสร็จแล้วเหรอคะ”
“เดี๋ยวเธอดูจบก็รู้เองแหละน่า นี่เป็นแค่ฉบับตัดต่อแรกน่ะ”
หลงเจี่ยลิงโลดด้วยความยินดี หลังจากรอคอยมานานและผ่านความยากลำบากมามาก ในที่สุดพวกเขาก็จะได้เห็นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์เสียที เธอจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรกัน
เธอรู้สึกเช่นเดียวกับถังหนิง!
ถังหนิงสบตามองเธอก่อนพยายามปลอบใจเพราะรู้ว่าหลงเจี่ยเสียสละเพื่อจู้ซิงมีเดียมามาก เธอทุ่มเทเหลือเกิน ดังนั้นถึงไห่รุ่ยจะทวงจู้ซิงมีเดียกลับมา เธอก็จะเข้าร่วมประชุมกรรมการบริหารและช่วยหลงเจี่ยสู้เพื่อค่าชดเชย อย่างไรก็ตามเธอเองไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะไปเจรจาต่อรอง จึงไม่อยากพูดให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับหลงเจี่ย
หลงเจี่ยนับได้ว่าเป็นผู้ชมภาพยนตร์ทั่วไปคนหนึ่ง
เธอไม่ได้สนใจเส้นเรื่องหรือประเภทภาพยนตร์ แค่ตามดูเรื่องที่มีผลตอบรับดี ทั้งยังไม่ได้มีประเภทภาพยนตร์ที่ไม่ชอบ
ดังนั้นการให้หลงเจี่ยดูมดราชินีจึงเป็นเหมือนการได้รับอีกหนึ่งคำวิจารณ์ที่ซื่อตรง
ตลอดภาพยนตร์ทั้งเรื่อง หลงเจี่ยคอยลุ้นอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเธอถึงกับเหงื่อตกและจับตัวถังหนิงไว้ระหว่างฉากสำคัญ “มันน่ากลัวเป็นบ้าเลยค่ะ…”
หลงเจี่ยหันไปมองหน้าถังหนิงก่อนยกนั้นชื่นชมให้โดยไม่มีคำพูดใดๆ เมื่อภาพยนตร์เดินทางมาถึงฉากสุดท้าย…
ก่อนลูบอกตัวเองเบาๆ คล้ายจะบอกว่าหัวใจเธอแทบจะรับความหวาดผวานั้นไม่ไหว
“น่าทึ่งมากเลยล่ะค่ะ…”
Related