ภาพของเฟเรสที่ได้กินอาหารที่สมกับเป็นอาหารอย่างคนอื่นเขาหลังจากที่ไม่ได้กินมาเสียนาน มันดูน่าสงสารมากเกินไป
ฟีเรนเทียส่งแซนด์วิชส่วนของเธอไปตรงหน้าเด็กหนุ่มพลางเอ่ยพูด
“ต่อไปก็กินของที่อยากกินให้ตามใจอยากเลยนะ ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว”
กึก
การเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มที่หยิบของกินใส่ปากอย่างไร้สติหยุดชะงัก และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าแล้วลงมือต่อ
ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เริ่มลงมือกินอาหารต่อเงียบๆ ดูสดใสกว่าแต่ก่อน ถึงแม้จะแค่น้อยนิดก็ตาม
คงจะดื่มด่ำกับรสชาติอาหารที่ไม่เคยได้กิน
เธอเองก็เริ่มกินอาหารต่ออย่างเชื่องช้าอยู่ข้างกายเฟเรส
กว่ามื้ออาหารกลางวันจะจบลงก็เป็นตอนที่เด็กหนุ่มกินอาหารสำหรับสามที่หมดคนเดียว
ท่าทางของเฟเรสที่ตบท้องตัวเองที่แน่นตึงด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจ ทำให้แคทเธอรีนและคาอิลรัสต่างก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
หลังจากนั้นจานอาหารว่างเปล่าก็ถูกเก็บไป บนโต๊ะอาหารมีของหวานง่ายๆ ถูกจัดเตรียมให้แทน
จู่ๆ เฟเรสก็เอ่ยถามแคทเธอรีน เมื่อเห็นน้ำชากับของหวานหรูหราที่ตนไม่เคยได้เห็นมาก่อนถูกเสิร์ฟต่อจากมื้ออาหาร
“ปกติแล้วเจ้าชายใช้ชีวิตกันแบบนี้เหรอครับ”
ไม่ว่าจะเป็นแคทเธอรีนหรือคาอิลรัสที่เอาแต่ยิ้มไม่หยุด ไม่ว่าใครก็ไม่อาจตอบมันออกไปได้ง่ายๆ
“เดิมทีเขาใช้ชีวิตกันอย่างสะดวกสบายแบบนี้เหรอครับ”
แต่เฟเรสเองก็ไม่ได้เร่งเร้าเอาคำตอบจากทั้งสองคน
เขาไม่ได้ยื่นมือออกไปแตะถ้วยชาด้วยซ้ำ ได้แต่เหม่อมองอะไรบางอย่างที่สะท้อนบนน้ำชาใสในแก้วเท่านั้น
ครั้งนี้เธอเองก็ไม่อาจหาคำพูดดีๆ ที่จะพูดตอบออกไปได้เหมือนกัน
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น
ในตอนนี้น้ำชาเริ่มเย็นตัวลง ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเธอดังขึ้น
“ฟีเรนเทีย!”
“ท่านปู่!”
เธอกระโดดลงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ วิ่งเข้าไปหาท่านปู่
ท่านปู่ลูบศีรษะของเธอที่วิ่งเข้ามาหาพลางเอ่ยพูด
“ได้เวลากลับบ้านกันแล้วละนะฟีเรนเทีย ป่านนี้พ่อของเจ้าคงจะเป็นห่วงน่าดู”
หากเป็นท่านพ่อละก็ บางทีอาจจะไม่ยอมไปทำงาน เอาแต่นั่งรอเธออยู่ที่บ้านจริงๆ ก็ได้
พระราชวังเป็นสถานที่ที่ท่านพ่อต่อต้านและกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก การส่งเธอมากับท่านปู่ในสถานที่แบบนี้ ท่านย่อมไม่รู้สึกวางใจได้ง่ายๆ แน่
เธอไม่ทันได้คิดถึงความรู้สึกของท่านพ่อเลย
ในตอนนั้นท่านปู่ก็เดินเข้าไปหาเฟเรส
“อีกไม่นานจะมีอาจารย์มาสอนเจ้า ขยันเรียนรู้เข้าล่ะ”
“…ครับ”
“จะหย่อนยานไม่ศึกษาวิชาการหรือวิชาดาบด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้”
“ครับ”
ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเฟเรสกับท่านปู่จะแห้งเหี่ยวกว่าที่คิด
เพราะเฟเรสไม่แม้แต่จะมองหน้าท่านปู่ตรงๆ ส่วนท่านปู่เองก็ปฏิบัติกับเฟเรสด้วยความเย็นชา แตกต่างจากตอนที่ปฏิบัติกับเธอสุดๆ
เธอกระตุกชายเสื้อของท่านปู่ก่อนที่จะช่วยพูดสนับสนุนเฟเรส
“ท่านปู่! เฟเรสฉลาดมากเลยนะคะ! เขาอ่านหนังสือสมุนไพรเองคนเดียว แถมยังใช้ดาบได้เก่งมากเลยละค่ะ!”
“อย่างนั้นหรือ”
“ค่ะ! เพราะฉะนั้นเฟเรสจะต้องทำได้ดีแน่ค่ะ! บางทีอาจารย์คนใหม่อาจจะตกใจเลยก็ได้นะคะ เรียนก็เก่ง ฟันดาบก็เก่งด้วยนี่คะ!”
แตกต่างจากเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอาสทาน่าที่ไร้ซึ่งความสามารถในการฟันดาบ แม้แต่ศีรษะก็มีไว้แค่ใช้สวมหมวก!
ถึงจะยังเด็กแต่เฟเรสก็ดูมีแววเป็นอย่างมาก
ขนาดชีวิตก่อนที่ต้องเติบโตขึ้นมาในวังเล็กที่ตั้งอยู่ในป่าลึกตามลำพังเหมือนสุนัขข้างทางที่ถูกทิ้ง เขายังเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่และกล้าแกร่งได้ถึงขนาดนั้น
คราวนี้ถ้าหากได้อาจารย์ผู้มากความสามารถที่ท่านปู่เลือกสรรมาให้คอยประกบอยู่ข้างกายแล้วละก็ เฟเรสจะกลายเป็นคนที่เก่งกาจขนาดไหนกันนะ
แค่ลองคิดดูก็ใจเต้นไปหมดแล้ว
นอกจากนั้นเธอยังรู้สึกเฝ้ารออยากเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวไม่น่ามองของจักรพรรดินีกับอาสทาน่าชะมัด
“ใช่มั้ยล่ะเฟเรส”
“…อื้อ”
เฟเรสกะพริบตาอย่างเชื่องช้าในขณะที่เอ่ยตอบ
“จะตั้งใจเรียน”
อนาคตของอัจฉริยะผู้ขยันหมั่นเพียรย่อมต้องสดใสอย่างแน่นอน
เธอเดินเข้าไปลูบหัวของเด็กน้อยไปพลางกล่าวลา
“ไว้ข้าจะเขียนจดหมายส่งหานะ ไว้พบกันคราวหน้า”
ถึงเวลาแยกจากกันเสียแล้ว
เด็กคนนี้ อย่างน้อยช่วงระยะหนึ่งเขาก็จะเติบโตขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย จนถึงเวลาที่เขาต้องเติบใหญ่และเดินทางไปพบกับคนฝ่ายเขาที่อะคาเดมี
เติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัย เติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี
และถ้าคอยรับส่งจดหมายติดต่อกันเป็นระยะ อย่างน้อยเฟเรสก็คงจะไม่ลืมเธอหรอกใช่มั้ย
เธอยื่นมือข้างหนึ่งออกไปเพื่อจับมือลา
“ดูแลตัวเองด้วยนะ เฟเรส กินข้าวเยอะๆ โตไวๆ …!”
หมับ!
เด็กหนุ่มจับมือของเธอที่ยื่นออกไปดึงเข้าหาตัว แล้วกอดเธอเอาไว้แน่น
“อย่าบอกลา”
“วะ…ว่าไงนะ”
“บอกว่าอย่าบอกลา”
“ขะ…เข้าใจแล้ว ถ้างั้น…”
แต่ในความสัมพันธ์ที่จะไม่ได้พบกันอีกสักระยะนี่ จะให้พูดอะไรได้อีกล่ะ
เธอผลักเขาออกเล็กน้อยพลางครุ่นคิด
เด็กหนุ่มที่โอบกอดเธอราวกับจะไม่มีวันยอมปล่อยยอมถอยห่างออกไปอย่างว่าง่ายตามแรงผลักของเธอ
ใช่แล้ว ยังมีคำพูดกล่าวลาอีกแบบสำหรับคนที่จะได้กลับมาพบกันอีกนี่นะ
เธอมองนัยน์ตาเศร้าหมองของเฟเรส ก่อนจะเอ่ยพูด
“ไว้พบกันใหม่นะ เฟเรส”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มสดใสขึ้นในพริบตา
ลักยิ้มบุ๋มลึกที่เคยถูกเก็บซ่อนอยู่ในแก้มถูกเผยออกมาให้เห็น มุมปากของปากที่มักจะพูดแต่เรื่องน่าเศร้าอยู่เรื่อยค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ข้างในนัยน์ตาสีแดงไร้อารมณ์ความรู้สึกคู่นั้น มันมีแม้กระทั่ง ‘ความดีใจ’ เกิดขึ้นมา
เด็กหนุ่มเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเบิกบานราวกับดอกกุหลาบดอกเล็กที่เพิ่งแตกหน่อ
“อื้อ ไว้เจอกัน”
แม้แต่ในระหว่างทางตอนที่จับมือท่านปู่เดินออกมาจากวังโฟอิรัคหรือตอนที่ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์
และแม้แต่ในค่ำคืนนั้น หลังจากแช่น้ำในอ่างอาบฟองสบู่นุ่มๆ จนกระทั่งนอนฝังใบหน้าลงบนหมอนนุ่มอยู่บนเตียง
ตอนนี้พอลองมองย้อนกลับไป รอยยิ้มของเด็กคนนั้น รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นหอมหวานของดอกกุหลาบที่เพิ่งเคยได้ลองสูดดมเป็นครั้งแรก มันยังคงฝังลึกอยู่ในหัวสมองของฟีเรนเทียเป็นระยะเวลาอันแสนเนิ่นนาน