ตอนที่ 405
ปากพล่อย
แม้จะเกิดเรื่องนิดหน่อย แต่หลังจากจัดการปัญหาอื่นๆออกไปในที่สุดพิธีหมั้นของชิงชิวและไป๋หลินก็จบลงไปด้วยดี บัดนี้ชิงชิวกลางเป็นว่าที่ราชบุตรเขยอย่างเป็นทางการ ทั้งแม่และน้องๆต่างได้ฐานะที่ดีขึ้นและกำลังจะย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงเก่าของอาณาจักรไป๋แล้ว ที่นั่นเป็นต้นกำเนิดเทคโนโลยีที่ใช้กันทั้งอาณาจักร ในบางด้านสะดวกสบายกว่าเมืองหลวงใหม่เสียอีก
“ชินอี้ หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา”ไป๋หลินถามพลางมองใบหน้าของน้องชายหลังจากจบพิธีหมั้นแล้ว
“ข้าเล่นกับพวกอสูรมาเลยพลาดนิดหน่อยขอรับ”ชินอี้ตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมาเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา แน่นอนด้วยวัยขนาดนี้ไป๋หลินไม่คิดว่าชินอี้จะมีเรื่องให้ต้องโกหกอยู่แล้ว
“เจ้าต้องระวังให้มากกว่านี้สิ”ไป๋หลินว่าพลางนั่งลงข้างๆน้องชายพลางลูบตรงใบหน้าที่ยังเหลือรอยช้ำอยู่นิดหน่อย เหล่าอสูรในวังหลวงต่างเป็นอสูรระดับสูง พวกมันออกแรงพลาดนิดหน่อยก็อาจจะทำชินอี้บาดเจ็บได้ไม่ยาก
“แค่พี่หญิงลูบให้ข้าก็หายเจ็บแล้ว”ชินอี้ยิ้มพลางหลับตาลง
“ข้าหวังว่าพี่หญิงจะอยู่กับข้าไปตลอดแท้ๆ”ชินอี้ทำเสียงหงอยๆออกมาพลางเปลี่ยนรอยยิ้มเป็นใบหน้าเศร้าสร้อยในทันที ทำเอาไป๋หลินใจหายวาบ
“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ไม่ไปไหนทั้งนั้น”ไป๋หลินตอบพลางยิ้มบางๆออกมาหมายจะปลอบใจน้องชาย
“ท่านแน่ใจนะ ถ้าท่านแต่งงานไป ท่านจะไม่ไปไหนนะ”ชินอี้ถามออกมาพลางดึงชายเสื้อไป๋หลินเอาไว้
“ถึงข้าจะแต่งงานข้าก็จะอยู่ที่นี่ ข้าจะทิ้งเจ้าไปไหนกัน”ไป๋หลินตอบพลางลูบหัวชินอี้เบาๆ
“ข้าอยากอยู่กับพี่หญิงไปตลอดเลย ถึงพี่จะหมั้นแล้วแต่พี่ก็ยังเป็นพี่หญิงของข้านะ”ชินอี้ว่าพลางโน้มตัวเข้าไปกอดไป๋หลินเอาไว้ สำหรับไป๋หลินแล้วการกอดของน้องชายไม่ใช่เรื่องประหลาดใจอะไร นางจึงสวมกอดชินอี้อย่างอบอุ่นในทันที
“เจ้านี่ขี้กังวลจริงๆเลย หรือเจ้ากลัวว่าพี่ชิวจะมาแย่งข้าไปกันแน่”ไป๋หลินยิ้มพลางลูบหัวน้องชายตนเอง ชินอี้มักจะเข้ามาขวางผู้ชายคนอื่นๆเสมอ แต่ในสายตาไป๋หลินและคนอื่นๆแล้วก็ไม่ได้เห็นชินอี้ทำอะไรชิงชิวนัก
“ไม่หรอก ถ้าเป็นความสุขของพี่หญิงละก็ ข้าก็จะไม่ห้าม”ชินอี้ตอบพลางทำหน้าตาใสซื่อตรงกันข้ามกับการกระทำก่อนหน้านี้คนละเรื่อง ตอนนี้มันหยุดพิธีหมั้นไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ไม่ควรให้พี่สาวและชิงชิวเห็นว่ามันมีแผนอะไร
“องค์หญิง ท่านอยู่นี่เอง”อยู่ๆชิงชิวที่พึ่งกลับมาออกมาจากงานฉลองก็เข้ามาหาไป๋หลินเสียที เพราะกลิ่นของมีดสั้นที่เอวชินอี้กลบกลิ่นของไป๋หลินจนหมดทำให้ชิงชิวหาตัวไป๋หลินไม่เจอเลย
“พี่ชิว…ยินดีด้วยขอรับ”ชินอี้ว่าพลางมองไปทางชิงชิวด้วยท่าทีใสซื่อ
“ขอบพระคุณขอรับองค์ชาย”ชิงชิวยิ้มพลางนั่งลงข้างๆไป๋หลินบ้าง
“พี่ชิว…ท่านยังแค่หมั้นกับพี่หญิงของข้านะ ห้ามทำอะไรเกินเลยกับพี่สาวข้าจนกว่าจะแต่งงานด้วย”ชินอี้ทำแก้มป่องพลางกอดเอวของไป๋หลินเอาไว้แน่น ทำเอาชิงชิวได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมา
“ข้ารู้อยู่แล้ว”ชิงชิวตอบพลางหัวเราะเจื่อนๆออกมา คำพูดเมื่อครู่เหมือนน้องชายที่ห่วงพี่สาวเท่านั้น แต่ชินอี้กลับพูดออกมาเพื่อถ่วงไม่ให้ชิงชิวทำอะไรก่อนที่มันจะล่มพิธีแต่งงานในอนาคตของชิงชิวเท่านั้น
.
.
โครม!!! ร่างของชายคนหนึ่งถูกโยนออกมากระแทกพื้นถนนที่หน้าหอนางโลมแห่งหนึ่งด้วยแรงมหาศาลของชายร่างใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันของหอนางโลมแห่งนี้
“ไอ้บ้าเอ้ย แค่จับนิดจับหน่อยทำเป็นหวงไปได้”ชายคนนั้นบ่นออกมาพลางถุยน้ำลายลงพื้นอย่างอารมณ์เสีย ดูเหมือนมันจะเข้าไปก่อเรื่องในร้านแล้วโดนเตะออกมาเข้าสินะ
“ขายเสียงไม่ขายตัวอะไรกันวะ แค่ข้าเสนอเงินน้อยไปเท่านั้นล่ะ ลองเป็นเถ้าแก่สักที่โยนเงินให้ทั้งถุงดูสิ จะเสียงจะตัวก็ขายหมดละว้า”ชายขี้เมาท่าทางโทรมๆพูดพลางเดินกลางถนนอย่างอารมณ์เสีย
“ถ้าข้าเป็นจักรพรรดิละก็ ข้าจะซื้อหอนางโลมทั้งหมดเลยคอยดู”ชายคนนั้นตะโกนออกมาโดยไม่ได้สนใจว่าใครจะได้ยิน แต่ถึงมันจะไม่สนใจแต่คนอื่นๆกลับเลี่ยงไม่ได้ที่จะหันไปมอง แต่เมื่อเห็นสภาพของชายขี้เมาคนนั้นแล้วทุกคนที่มองก็ได้แต่หัวเราะกับสิ่งที่มันพูด ขี้เมาท่าทางไม่ได้เรื่องแบบมันจะเป็นจักรพรรดิงั้นหรือ แม้ตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืนแต่จะฝันก็เข้านอนก่อนเถอะ
ตุบ…ขณะกำลังเดินอยู่กลางถนน อยู่ๆชายขี้เมาก็ชนเข้ากับร่างของชายคนหนึ่งที่ออกมาขวางเอาไว้ ตัวมันไม่มีพลังวิญญาณมองเห็นคนข้างหน้าไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณอย่างแน่นอน
“อะไร เจ้าจะอัดข้าอีกคนงั้นเหรอ มาสิ ข้าไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว”ชายขี้เมาตะโกนด่าพลางโยนถุงเงินของมันลงไปบนพื้นข้างหน้า ทำให้เห็นได้ว่าในถุงนั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
“เปล่าข้าแค่สนใจสิ่งที่เจ้าพูดออกมานิดหน่อย”ชายหนุ่มท่าทางดูดีพูดพลางมองไปทางชายขี้เมาด้วยท่าทีสนใจ
“สนใจอะไรวะ หรือเจ้าเป็นเถ้าแก่ใหญ่จะมาซื้อบริการที่นี่”ชายขี้เมาถามทั้งๆที่ตัวเองยังยืนไม่ไหว กลิ่นสุราบนตัวมันโชยมาถึงจมูกของคนรอบๆเลยทีเดียว
“เปล่า ข้าสนใจเรื่องที่เจ้าบอกว่าอยากเป็นองค์จักรพรรดิ”ชายหนุ่มว่าพลางยิ้มออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ฮ้าๆ เจ้าจะหาว่าข้าลบหลู่จักรพรรดิเพราะคำพูดประชดงั้นหรือ เจ้านี่มันคิดเล็กคิดน้อยจริงๆ”ชายขี้เมาหัวเราะออกมา สำหรับประชาชนธรรมดาแล้วการพูดถึงจักรพรรดิในทางที่ไม่ดีถือเป็นเรื่องต้องห้าม ปกติสมควรโดนทหารลากไปทุบตีได้เลย แต่เพราะเห็นๆกันอยู่ว่าเมื่อครู่เป็นเพียงคำพูดประชดประชันเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายลบหลู่องค์จักรพรรดิโดยตรง แต่หากอีกฝ่ายจะคิดเล็กคิดน้อยก็ช่วยไม่ได้ และชายขี้เมาก็ไม่สนด้วยว่าอีกฝ่ายจำทำอะไร
“เปล่า…..ข้าแค่จะทำให้สิ่งที่เจ้าพูดเป็นจริงเท่านั้น”ชายหนุ่มตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีมั่นใจ นี่มันกล้าประกาศโค่นล้มอำนาจโต้งๆเลยงั้นหรือ ต่อให้ชายขี้เมาจะไม่มีสติแค่ไหนก็ไม่กล้าพูดเช่นนี้ออกมาแน่ๆ
“ฮ้าๆ เจ้าไม่มีกลิ่นเหล้า ทำไมถึงดูเมามายกว่าข้าอีกเล่า”ชายขี้เมาหัวเราะเพราะแม้แต่คนบ้าก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนกล้าชิงบัลลังก์จักรพรรดิ
“ไม่ต้องห่วง ข้ามีสิ่งที่ต้องใช้เพียงพอแล้ว ขาดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”ชายหนุ่มตอบพลางยิ้มออกมา
“ขาด? ขาดอะไรวะ”ชายขี้เมาถาม เจ้านี่เป็นใครถึงกล้าบอกว่าตนสามารถชิงบัลลังก์ได้
“ขาดคนที่จะมานั่งบัลลังก์ยังไงล่ะ”ชายหนุ่มตอบพลางยิ้มออกมา ตัวมันไม่สามารถออกหน้าได้ ถึงชิงบัลลังก์มาก็ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิไม่ได้ มันกำลังหาคนมาเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดพอดี กะว่าจะมาหาขอทานสักคนไปใช้แต่อยู่ๆเจ้าขี้เมานี่กลับตะโกนเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมาชายหนุ่มเลยหันมาเลือกเจ้าขี้เมาคนนี้ทันที
“เจ้าบอกว่าจะชิงบัลลังก์มาให้ข้า….ห้าๆเป็นเรื่องเล่าที่น่าขันที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมา”ชายขี้เมาหัวเราะจนตัวงอ แบบนี้ให้คนมาบอกว่าจะยกบ้านหลังใหญ่ให้มันยังจะน่าเชื่อกว่า
“หรือเจ้าไม่อยากเป็นจักรพรรดิแล้ว”ชายหนุ่มถามพลางยิ้มบางๆออกมา แต่ไม่ทราบทำไมรอยยิ้มนั้นถึงได้ดูน่ากลัวนัก
“เอาสิ ถ้าเจ้าชิงมาได้ข้าจะเป็นจักรพรรดิให้ดู”ชายขี้เมาหัวเราะพลางทำท่าจะเดินผ่านชายหนุ่มไป ไม่คิดว่าจะมีคนเพ้อเจ้อไร้สาระแบบนี้ด้วย
“เจ้าตกลงแล้วนะ”ชายหนุ่มพูดจบร่างของชายอีก 2 คนก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า ก่อนจะจับตัวชายขี้เมาเอาไว้ทันที
“ได้คนแล้ว ไปกันเถอะ”ชายหนุ่มพูดจบร่างทั้ง 4 ร่างก็ทะยานขึ้นฟ้าหายวับไปในพริบตา ปล่อยให้เหล่านักเที่ยวกลางคืนมองตาปริบๆโดยไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คนที่งุนงงที่สุดคงหนีไม่พ้นชายขี้เมาที่โดนพาตัวไปนั่นเอง
“อะไรวะ”ชายขี้เมาถามพลางมองใต้เท้าตนเอง นี่มันโดนอุ้มมางั้นหรือ แถมนี่มันสูงมากอีกด้วย เจ้าพวกนี้เป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับใดกันแน่
ตุบ…ไม่นานชายที่พาตัวชายขี้เมามาก็หยุดลงที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งกลางเมืองหลวง
“ลูกพี่ ท่านหัวหน้ารออยู่”ชายคนหนึ่งตรงเข้ามารายงานทันทีที่พวกมันมาถึง เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินนำคนของตนเข้าไปในอาคาร
“หัวหน้า ข้าได้คนมาแล้ว”ชายหนุ่มตอบพลางพาตัวชายขี้เมาที่พามาโยนลงไปที่พื้นกลางห้องขนาดใหญ่ที่มีเหล่าผู้คนล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก
“เจ้านี่นะเหรอองค์จักรพรรดิองค์ใหม่”ชายที่เป็นหัวหน้ายิ้มพลางก้มมองชายขี้เมาด้วยท่าทีสนใจ ขนาดร่างกายของมันใหญ่โตมากจนน่ากลัว ทำให้ชายขี้เมาเริ่มจะสร่างเสียแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน ที่พวกมันพูดมาไม่ใช่เรื่องล้อเล่นงั้นหรือ
“เจ้ามีครอบครัวหรือเปล่า”หัวหน้าของกลุ่มๆนี้ถามพลางมองชายขี้เมานิ่ง
“ถามทำไม”ชายขี้เมาที่เริ่มจะได้สติแล้วถามด้วยท่าทีหวาดๆ นี่มันอันตรายแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร อย่าบอกนะว่าพวกมันคือพวกที่จะชิงบัลลังก์กันจริงๆ แล้วมันก็โดนลากเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว
“ถ้าเจ้ามีข้าจะได้ส่งคนไปรับตัวมาไงล่ะ”หัวหน้ากลุ่มตอบพลางยิ้มออกมา
“มะ ไม่มี ข้าไม่มีญาติพี่น้องอะไรทั้งนั้น”ชายขี้เมาตอบ แม้จริงๆแล้วมันจะมีพี่ชายอยู่ แต่หากตอบออกไปมีหวังพวกมันเอาพี่ชายมันมาร่วมซวยไปด้วยแน่ๆ
“งั้นก็ดี แต่คงให้เจ้านั่งบัลลังก์ด้วยสารรูปแบบนี้ไม่ได้หรอก”หัวหน้ากลุ่มว่าพลางเรียกหญิงสาวเข้ามานับสิบนาง แต่ละนางงดงามยิ่งกว่าหญิงในหอนางโลมที่มันหมายจะครอบครองเสียอีก
“พามันไปล้างน้ำซะ พรุ่งนี้เราจะเริ่มกัน”หัวหน้ากลุ่มว่าพลางสั่งให้สาวๆพาชายขี้เมาไปอาบน้ำ ไม่นานหลังจากนั้นชายขี้เมาที่โดนจับแต่งตัวเสียใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิมก็กลับออกมาพร้อมหญิงสาวทั้งหลาย แม้หน้าตามันจะบ้านๆธรรมดาๆ แต่ด้วยชุดที่หัวหน้าเตรียมเอาไว้ให้กลับทำให้มันดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่าเดิมนับร้อยนับพันเท่า
“ก็พอดูได้”ชายหนุ่มที่จับตัวชายขี้เมามาตอบ แม้จะดูเป็นจักรพรรดิที่ไร้บารมีโดยสิ้นเชิง แต่สำหรับจักรพรรดิหุ่นเชิดเท่านี้ก็คงพอ
“พี่น้องทุกท่าน เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เราจะบุกวังหลวง”หัวหน้ากลุ่มประกาศลั่น ก่อนที่เหล่าคนในห้องจะตะโกนโห่ร้องพร้อมปล่อยพลังออกมาจนอากาศในห้องหนักอึ้งไปหมด