กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาอดเหน็บแนมเจียงป่าวชิงด้วยวาจาไม่ได้ “เจียงป่าวชิง เจ้านี่ทนเจ็บเก่งจริง ๆ”
น้ำเสียงเหน็บแนมชัดเจน แต่เขากลับจับมือเจียงป่าวชิงไว้แน่นโดยที่ระมัดระวังคอยหลบหลีกไม่ให้เผลอไปโดนบริเวณบาดแผลตรงฝ่ามือนาง จากนั้นเขาก็สั่งไป๋จีโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “ไป๋จี ไปหยิบยาขี้ผึ้งมา”
ก่อนหน้านี้ที่เขาให้น้ำมันยู่เหยียนกับนาง หลัก ๆ คือให้นางใช้เพื่อกำจัดรอยแผลเป็น แต่เขาเห็นว่าตรงฝ่ามือของเจียงป่าวชิงมีแผลถลอกบ้างบางจุด จึงคิดว่าจัดการให้ดี ๆ หน่อยจะดีกว่า
ไป๋จีรีบไปหยิบยาขี้ผึ้งกลับมาอย่างรวดเร็ว มือของเจียงป่าวชิงยังคงถูกกงจี้กุมไว้ นางรู้สึกหน้าร้อนแปลก ๆ “ขะ… ข้าทาเองได้”
กงจี้ได้ทีถลึงตาใส่นางบ้าง ‘หึ ๆ ๆ เจ้าถลึงตาใส่ข้าดีนัก ถึงทีข้าบ้างแล้ว’
หากอิงตามนิสัยของเจียงป่าวชิง นางคงถลึงตาสู้เขากลับไปแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่รู้ทำไม นางถึงได้ขาดความมั่นใจ นี่มันแปลก แปลกแล้วจริง ๆ
และไหนจะไอ้ความรู้สึกร้อน ๆ ที่ใบหน้านี้อีก
เจียงป่าวชิงหลบสายตาเขาในที่สุด
กงจี้ไม่สนใจคำพูดที่ว่าจะทายาเองของเจียงป่าวชิง เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สีหน้าที่เขาแสดงออกมามันเหมือนกับว่าเขาหงุดหงิดที่เจียงป่าวชิงไม่รู้จักว่าอะไรควรอะไรไม่ควรอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าน่าแปลกนัก ตอนที่เขาทายาให้นาง เขาเบามือมาก
แต่ต่อให้เขาจะทายาให้อย่างเบามือเพียงใด จังหวะที่เขาสัมผัสถูกบาดแผลนางเพราะความจำเป็น เจียงป่าวชิงก็สูดปากและกลั้นหายใจตามสัญชาตญาณ
“นั่นแหละ เจ็บก็ทนไว้” กงจี้พ่นลมออกมาทางจมูก น้ำเสียงของเขาผสมรวมความหงุดหงิดกับความรำคาญใจเอาไว้ แต่การกระทำของเขายังคงสวนทางกับสีหน้าที่เขาแสดงออกมาให้นางเห็น
เจียงป่าวชิงส่งเสียง ‘อุ๊’ ออกมาเบา ๆ แต่ก็รีบเงียบเสียงลง
เมื่อทายาเสร็จ ตอนที่กงจี้กำลังจะพันแผลให้เจียงป่าวชิง นางก็ขัดขืนเล็กน้อย “อ๊ะเดี๋ยวข้าทำเอง!”
เจียงป่าวชิงชะงักเมื่อนางเห็นสายตาอาบยาพิษที่กงจี้มองมาหลังจากที่ได้ยินนางบอกว่าจะทำเอง จากนั้นนางพูดอย่างยอมจำนน “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพันจนหนาเกินไป มันจะส่งผลต่อการฝังเข็มของข้า ถ้าหากว่าฝังเข็มไม่ดีขึ้นมาจะทำยังไงเล่า ?”
กงจี้เป็นฝ่ายชะงักบ้าง เขายิ้มมุมปาก “พอเถอะ เจ้าสนใจตัวเองก็พอแล้ว”
เจียงป่าวชิงกลับยืนหยัดที่จะไม่ยอมอ่อนข้อให้กงจี้ “ไม่มีทาง ถ้าเจ้าพันจนหนาเกินข้าก็จะแกะมันออกไป ร่างกายของเจ้ากับขาของเจ้าอุตส่าห์ฟื้นคืนสภาพไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ข้าไม่เสี่ยงประมาทหรอก”
กงจี้เงยหน้าขึ้นมองเจียงป่าวชิงนิ่ง ๆ
เจียงป่าวชิงถูกกงจี้มองด้วยสายตาแทงทะลุ ไม่รู้ทำไมหัวใจของนางถึงได้เต้นถี่รัวอย่างน่าประหลาด
ตึกตัก… ตึกตัก…
ราวกับหัวใจของนางกระโดดขึ้นมาถึงคอหอยอย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงชักมือกลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้าวถอยหลังและยิ้มแห้ง ๆ “คุณชายกง ให้ข้าทำเองเถอะนะ”
กงจี้มองฝ่ามือตัวเองอย่างเงียบ ๆ อยู่พักใหญ่
เจียงป่าวชิงจึงต้องเรียกอย่างลองเชิง “คุณชายกง”
กงจี้ดึงสติกลับมา เขาเงยหน้ามองเจียงป่าวชิงนิ่ง ๆ สีหน้าของเขาในตอนนี้ซับซ้อนมาก บอกไม่ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
เจียงป่าวชิงไม่กล้าไปสืบสาวถึงความหมายในสายตานั้น จึงรีบหยิบผ้าพันแผลมาทำการพันแผลให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว “แผลข้าก็เล็กนิดเดียว มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลย… นี่ก็ใกล้จะถึงเวลารักษาขาของเจ้าแล้ว”
ไป๋จีที่อยู่ข้าง ๆ ไปหยิบเข็มเงินมาอย่างรู้จังหวะจะโคน
บรรยากาศระหว่างนายท่านของเขากับแม่นางเจียงแปลกประหลาดเกินไป เขาที่อยู่ข้าง ๆ ทั้งเก้อเขินทั้งรู้สึกเป็นส่วนเกิน
เฮ้อ! ไป๋จีล่ะกลุ้มใจจริง ๆ
……
เจียงป่าวชิงกลับมาที่บ้าน ก็พบว่าเจียงหยุนชานทำอาหารรออยู่ก่อนแล้ว นางรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย “พี่กินเถอะ เมื่อสักครู่ข้ากินมาจากบ้านคุณชายกงเรียบร้อยแล้ว”
ตอนที่ฝังเข็มเสร็จ กงจี้สั่งให้คนจัดวางอาหารสองสามอย่างให้นาง ที่น่าแปลกใจคือทุกอย่างล้วนเป็นของชอบของนางทั้งนั้น นางกินอย่างคนอัดอั้นมานานจนลืมฝากให้คนมาบอกพี่ชายของตัวเองเลย
เจียงหยุนชานพยักหน้า เขาแลดูเงียบ ๆ เศร้า ๆ
เจียงป่าวชิงนึกถึงเรื่องของฝูฉูขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เฮ้อ… พี่ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องความรู้สึกของพี่ แต่ฝูฉูนางไม่ใช่คู่ครองที่เหมาะสมกับพี่จริง ๆ แต่ถ้าหากว่าพี่ชอบนางจริง ชอบถึงขั้นสามารถมองข้ามข้อเสียทุกอย่างของนางได้ ข้าก็จะสนับสนุนพี่เต็มที่”
เจียงหยุนชานเหลือบมองไปที่อาหารบนโต๊ะ สีหน้าของเขาดูงุนงงเป็นอย่างยิ่ง “ข้า… ข้าไม่รู้…”
หัวใจของเขาที่เคยพองโตก่อนหน้านี้ ตอนนี้เหมือนถูกเจาะจนเหี่ยวฟีบอย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงถอนหายใจอีกครั้ง นางส่งตะเกียบให้เขา “พี่กินข้าวก่อนเถอะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”
เจียงหยุนชานรับตะเกียบมาโดยไม่รู้ตัว เขาคีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว แต่เอาเข้าจริง เขาไม่นึกอยากอาหารเลย
เจียงหยุนชานถอนหายใจก่อนจะวางตะเกียบลงและลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปอ่านหนังสือสักครู่”
ตอนที่เขารีบออกไป กลับมีของสิ่งหนึ่งหล่นลงมา
“ของหล่นเจ้าค่ะพี่หยุนชาน” เจียงป่าวชิงเรียกเจียงหยุนชาน นางเก็บของสิ่งนั้นขึ้นมาและพบว่ามันคือถุงหอมอันนั้น
ถุงหอมรูปภูเขากับเมฆสีขาวที่ฝูฉูเป็นคนปักให้พี่ชายของนาง
เจียงหยุนชานหันกลับมามอง เมื่อเขาเห็นว่าเป็นถุงหอม ใบหน้าเขาก็ซีดเผือดทันที เรื่องราวในอดีตแล่นเข้ามาในจิตใจ ทั้งสีหน้าทั้งแววตาทอความเจ็บปวดอย่างที่สุด
“ป่าวชิง เจ้าทิ้งมันไปเถอะ” พูดเสร็จ เขาก็เดินเข้าห้องโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามองอีก จากนั้นเจียงป่าวชิงก็ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ออกมาจากห้องของพี่ชายนางเลย
เจียงป่าวชิงถือถุงหอมรูปภูเขากับเมฆสีขาวไว้และยังยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ขยับไปไหนสักพัก
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ มือของนางค่อย ๆ กำเข้าหากันอย่างช้า ๆ หากว่าเป็นดอกไม้ร่วงหล่นอย่างจงใจให้น้ำไหลอย่างเรียบง่ายก็คงแล้วกันไป แต่คำพูดกับการกระทำของฝูฉู มันทั้งน้ำไหลทั้งไร้ความเมตตา หากนางไม่ได้คิดอะไรกับเจียงหยุนชาน แล้วจะปักถุงหอมที่ดูมีความหมายแบบนี้มามอบให้เขาเพื่ออะไร ?
นางไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว โตขนาดนี้ฝูฉูไม่รู้หรือว่าถุงหอมแบบนี้เป็นสัญลักษณ์ของอะไร ?
เจียงป่าวชิงหัวเราะพลางโยนถุงหอมไปในเตาและมองดูเปลวไฟกลืนถุงหอมนั้นทีละนิด ๆ จนกลายเป็นขี้เถ้าไปในที่สุด
……
รุ่งอรุณ
เจียงป่าวชิงหยอกล้อเจ้าเสี่ยวหวงกับเจ้าเสี่ยวป๋ายสองสุนัขซนอยู่ในลานบ้าน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียกนางอย่างไม่เกรงใจเอามาก ๆ
“เจ้า! เจ้าที่อยู่ตรงนั้นน่ะ มานี่หน่อยซิ!”
เจียงป่าวชิงไม่เงยหน้า นางหยอกเจ้าสุนัขสองตัวนั้นต่อไป
“เจียงป่าวชิง ข้าเรียกเจ้าอยู่นะ ยังจะแสร้งทำเป็นโง่ไม่ได้ยินอยู่อีก!” เสียงนั้นไม่มีความเกรงใจขึ้นเรื่อย ๆ
เจียงหยุนชานที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในบ้านก็ได้ยินเสียงแล้วเช่นกัน เขาชะโงกศีรษะออกมาเพื่อถามเจียงป่าวชิง “ป่าวชิง เหมือนมีคนเรียกชื่อเจ้าเลย ไม่ไปดูเขาหน่อยหรือ ?”
เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “พี่ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะไปดูแล้ว” ตอนที่นางหมุนตัวกลับ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็เลือนหายเปลี่ยนกลายเป็นสีหน้าราบเรียบทันที นางมองคนสองคนที่อยู่นอกรั้วตรงข้ามบ้านอย่างเย็นชา นั่นคือเซยู่เสียกับจูฮัวผู้เป็นสาวใช้ของนาง
เจียงป่าวชิงก้าวยาว ๆ เข้าไปหาพวกนาง เข้าไปใกล้รั้วพอสมควรแล้วถึงจะหยุดยืน ตอนนี้เป็นเวลาสำคัญที่พี่ชายของนางต้องใช้พักใจ นางไม่อยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมารบกวนความสงบของเขา
“มาดใหญ่นักนะ ข้าเรียกตั้งนานกว่าเจ้าจะมา” จูฮัวพูดจาเหน็บแนมทันที
“จูฮัว อย่าเสียมารยาท” เซยู่เสียตะคอก
เจียงป่าวชิงไม่หลงกลเซยู่เสียง่าย ๆ ถ้าหากว่ายายคุณหนูเอาแต่ใจคนนี้คิดว่าสาวใช้ของตัวเองเสียมารยาทจริง ๆ แล้วนางมัวทำอะไรอยู่ เจียงป่าวชิงเดินมาถึงที่แล้ว ยายคุณหนูเอาแต่ใจถึงค่อยเอ่ยปากตำหนิสาวใช้ตัวเอง นี่ไม่ใช่ว่าจงใจทำให้เจียงป่าวชิงเห็นหรอกหรือ ?
เซยู่เสียแสดงสีหน้าขอโทษ จากนั้นนางก็พูดกับเจียงป่าวชิงอย่างนุ่มนวลว่า “แม่นางเจียง พวกข้านั้นเผลอเสียมารยาทไป ต้องขอโทษเจ้าด้วยจริง ๆ เมื่อวานเจ้าช่วยเข้ากระดูกให้ข้า ข้าจึงอยากมาขอบคุณเจ้า”
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้วและเผยรอยยิ้มรู้ทันออกมาให้เห็น “แม่นางเซช่างน่าสนใจจริง ๆ จะขอบคุณคนยังต้องเรียกให้คนคนนั้นออกมาหาเอง ไหนจะท่าทางลดเกียรติและถ่อมตัวเช่นนี้อีก คนอื่นเห็นก็คงจะคิดว่าข้าทำผิดต่อเจ้า ไม่ใช่พวกเจ้าจะมาขอบคุณข้า”
เซยู่เสียคาดไม่ถึงว่าเจียงป่าวชิงจะพูดจาไม่ไว้หน้านางแบบนี้ นางโกรธจนหน้าแดง พูดอะไรไม่ออกโดยสิ้นเชิง
จูฮัวทนไม่ไหวจึงตะคอกออกมาเสียงดัง “เจียงป่าวชิง! เจ้ามันก็แค่เด็กสาวชนบท มีสิทธิ์อะไรมาพูดจาไม่ไว้หน้าคุณหนูของข้า ? คุณหนูของข้าสูงส่งมาก การที่นางแสดงความขอบคุณต่อเจ้าก็ถือเป็นการให้เกียรติเจ้ามากแล้ว ทำไมเจ้าถึงไร้ยางอายนักนะ!”
เซยู่เสียตะคอกสาวใช้ของนางอีกครั้ง “จูฮัว! แม่นางเจียงคือผู้มีพระคุณของข้า ถ้าหากเจ้าทำกิริยาต่ำช้าเช่นนี้อีก กลับไปข้าจะลงโทษเจ้าแน่ ๆ”
จูฮัวกระทืบเท้าอย่างเจ็บใจ “คุณหนูเจ้าคะ นางไม่เคารพคุณหนูก่อนนะเจ้าคะ”
ดูพฤติกรรมเสแสร้งของคุณหนูกับสาวใจคู่นี้แล้ว เจียงป่าวชิงก็หัวเราะ “ฮ่า ๆ ๆ หมาข้างกายแม่นางเซตัวนี้นี่เห่าเสียงดังรบกวนมากเลยนะ แม่นางเซไร้ความสามารถมากจริง ๆ แม้แต่หมาตัวเดียวก็ยังคุมไม่อยู่เลย”
.