หานซวนหยวนและหานชางประชันฝีมือกันอย่างสมน้ำสมเนื้อและไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบหรือตกเป็นรองตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ในขณะที่หานโม่ฉือก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิมราวกับสองพี่น้องหานเฟยและหานซื่อไม่คณามือเขาแม้แต่น้อย
ผู้นำตระกูลไป่หลี่เลือกที่จะประจันหน้ากับผู้นำตระกูลหลิวด้วยตัวเอง เขาไม่พอใจกับการกระทำของตระกูลหลิวมานานแล้ว และตอนนี้พวกเขากล้าทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้ แน่นอนว่าผู้นำตระกูลไป่หลี่ไม่สบอารมณ์มากยิ่งกว่าเดิม
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่มิอาจล่วงรู้ของตระกูลไป่หลี่ในตอนนี้ ผู้นำตระกูลอย่างเขาก็ไม่มีทางปรานีอย่างแน่นอนและตัดสินใจต่อสู้กับผู้นำตระกูลหลิวอย่างเต็มที่
ความแข็งแกร่งของผู้นำตระกูลหลิวเหนือกว่าหานชางพอสมควร การต่อสู้ระหว่างเขาและผู้นำตระกูลไป่หลี่ดำเนินไปอย่างสูสีเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งยากที่จะคาดเดาได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะหรือฝ่ายพ่ายแพ้
เนื่องจากไป่หลี่ชิงโร่วและไป่หลี่จิ่นซิ่วเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่จวนตระกูลเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองจึงกล่าวกับฉินอวี้โม่และขอตัวไปจากที่นี่โดยรีบกลับไปที่ตระกูลไป่หลี่ของตนด้วยหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องร้ายแรงกับคนที่นั่น
หลงจื้อและคนอื่นจากหลายขุมกำลังก็ถูกล้อมรอบโดยคนอื่น ๆ และกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้นับว่าไม่สู้ดีนัก
“ฉินอวี้โม่ วันนี้ข้าจะต้องกำจัดเจ้าให้ได้ หากข้าจับตัวเจ้ากลับไปที่นิกายหงส์มังกรได้สำเร็จ มันจะเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของข้า ทุกคนที่สามารถช่วยเจ้าได้ก็ล้วนติดพันอยู่กับคนอื่นทั้งสิ้นแล้ว อยากเห็นนักว่าตอนนี้เจ้าจะหนีได้อย่างไร !”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังฉินอวี้โม่และก็เป็นบุรุษที่นางคุ้นหน้าคุ้นตาดีอยู่แล้ว
“หลงจื้อ ความแข็งแกร่งของเจ้าพัฒนาขึ้นมากทีเดียว แต่ทว่า…เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ที่เจ้าจะจัดการได้ง่าย ๆ เหมือนอย่างในอดีต ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกถึงความฉุนเฉียวหรือความหวาดหวั่นใจ
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงนั้น หลงจื้อสัมผัสได้ว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันและเขาอยู่ท่ามกลางข่ายอาคมบางอย่าง
“เหอะ ลองสัมผัสข่ายอาคมที่ข้าเพิ่งศึกษามาสักหน่อยเถอะ ข่ายอาคมมังกรคชสาร !”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย็นชาและมองตรงไปที่หลงจื้อผู้ซึ่งติดอยู่ในข่ายอาคมของตน
นางคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะต้องมีใครสักคนพยายามโจมตีตนเอง นางจึงได้วางข่ายอาคมในบริเวณนี้ไว้ทันท่วงที ตราบใดที่มีผู้ใดอาจหาญเข้ามาใกล้ คนผู้นั้นจะติดอยู่ในข่ายอาคมดังกล่าวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ข่ายอาคมมังกรคชสารดังกล่าวคือข่ายอาคมใหม่ที่ฉินอวี้โม่เพิ่งศึกษาเมื่อไม่นานมานี้และพลังของมันก็น่าทึ่งจนแม้แต่จอมยุทธ์นภาเซียนก็ฝ่าผ่านมันออกไปได้ยาก
หลงจื้อเพียรฝึกฝนมาตลอดหลายปีและตอนนี้เขาบรรลุขอบเขตนภาเซียนแล้ว เดิมทีหากเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนทั่วไป เขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน ทว่าเคราะห์ร้ายที่จอมยุทธ์พสุธาเซียนที่เขาเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้คือฉินอวี้โม่ผู้ทรงพลังเหนือธรรมชาติ ดูเหมือนว่าดวงของเขาจะถึงฆาตแล้ว
ทันใดนั้น ภายในข่ายอาคมก็มีสิ่งมีชีวิตร่างใหญ่ยักษ์รูปร่างประหลาดปรากฏตัวตรงหน้าหลงจื้อ มันคืออสูรร่างมังกรทว่ามีศีรษะที่คล้ายกับคชสาร ใบหูขนาดใหญ่ทั้งสองข้างและจมูกยาวเหมือนงวงทำให้ผู้พบเห็นต้องรู้สึกหวาดหวั่นไปตาม ๆ กัน
สิ่งมีชีวิตนั้นจ้องหน้าหลงจื้อด้วยแววตาดุดันและอ้าปากใหญ่ของมันก่อนก้อนแสงขนาดใหญ่พุ่งตรงเข้าหาหลงจื้ออย่างรุนแรง
ใบหน้าของผู้อาวุโสจากนิกายหงส์มังกรผู้ทะนงตนเปลี่ยนแปลงไปทันที มือของเขาร่ายขยับอย่างรวดเร็วและก้อนแสงปรากฏในมือเช่นกันก่อนพุ่งตรงออกไปเพื่อพยายามต้านทานก้อนแสงทรงพลังที่สิ่งมีชีวิตประหลาดตรงหน้าปล่อยออกมา
“กรร !”
ด้วยเสียงคำรามของอสูร มังกรเพลิงซึ่งเป็นอสูรมายาระดับพสุธาเซียนขั้นสูงสุดของหลงจื้อก็ปรากฏตัวข้างกายเขา
ทันทีที่มังกรเพลิงปรากฏตัว มันก็สัมผัสถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวทันที มันเงยหน้าขึ้นมองและพบกับมังกรคชสารร่างมหึมาตรงหน้า รวมถึงก้อนแสงขนาดใหญ่ของทั้งสองฝ่ายที่กำลังจะปะทะกันซึ่งทำให้สีหน้าของมันเปลี่ยนแปลงไปทันที
มังกรเพลิงไม่รอช้าและลูกเพลิงขนาดใหญ่พุ่งออกจากปากของมันโดยพุ่งโจมตีเข้าใส่ก้อนแสงของมังกรคชสารด้วยหวังว่าลูกเพลิงของตนจะต้านทานพลังของก้อนแสงนั้นไว้ได้
อย่างไรก็ตาม มังกรคชสารเพียงจ้องหน้ามังกรเพลิงตรงหน้าด้วยแววตาเหยียดหยามและจู่ ๆ น้ำปริมาณมากก็ถูกพ่นออกจากจมูกยาวคล้ายงวงของมันโดยรินรดลงบนลูกเพลิงของมังกรเพลิงทันที ส่งผลให้ลูกเพลิงของมันดับมอดและสลายหายไป
ตูมมม !
ก้อนแสงจากทั้งสองฝั่งปะทะกันอย่างจังจนเกิดเสียงดังสนั่น แสงสว่างเจิดจ้าส่องไปทั่วบริเวณจนทุกคนต้องปิดตาครู่หนึ่งเพื่อหลบแสงจ้านั้น
เมื่อแสงสว่างจ้าดับลงในจุดที่เกิดการปะทะก่อนหน้านี้ ร่างของหลงจื้อและมังกรเพลิงก็หายไปจากจุดเดิมแล้ว ราวกับทั้งสองถูกกลืนกินโดยก้อนแสงของมังกรคชสารเมื่อครู่นี้และหายสาบสูญไปอย่างสิ้นเชิง
“ช่างเป็นข่ายอาคมที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก !”
เสี่ยวโร่วถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงขณะเดินเข้ามาหยุดข้างฉินอวี้โม่พร้อมถอนหายใจเบา ๆ ให้กับความทรงพลังของนาง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เสี่ยวโร่วหมั่นฝึกวิชาวางข่ายอาคมอยู่เสมอและตอนนี้นางก็เป็นผู้ใช้ข่ายอาคมระดับเชี่ยวชาญแล้วซึ่งมีความสามารถมากพอที่จะประจันหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดได้อย่างไม่เสียเปรียบ นางเคยคิดว่าตนเองตามคุณหนูได้ทันแล้ว ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายังห่างไกลอีกมาก
“นั่นเพราะหลงจื้อประมาทเกินไป”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมยิ้มบาง ๆ นางเองก็ไม่คาดคิดว่าข่ายอาคมมังกรคชสารของตนจะทรงพลังถึงเพียงนี้ ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทั้งหลงจื้อและอสูรมายาของเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน พลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้นางตื่นตาอย่างแท้จริง
อันที่จริง สาเหตุที่หลงจื้อถูกกำจัดไปอย่างง่ายดายก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณสมบัติธาตุเช่นกัน
เพราะข่ายอาคมนี้ของฉินอวี้โม่เป็นข่ายอาคมที่เปี่ยมไปด้วยพลังแสง ในขณะที่พลังมายาที่หลงจื้อบ่มเพาะฝึกฝนมามีคุณสมบัติธาตุมืดอยู่ นอกจากนี้ มังกรคชสารร่างมหึมาของฉินอวี้โม่ก็มีธาตุที่สองอยู่ซึ่งก็คือธาตุวารีอันทรงพลังและอสูรมายาของหลงจื้อก็คือมังกรธาตุเพลิง เพียงแค่ธาตุที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันทั้งสองนี้ก็ทำให้หลงจื้อเพลี่ยงพล้ำไปอย่างง่ายดาย
ตูมมม !
เวลานี้หานโม่ฉือก็หมดความอดทนที่จะสู้ต่อไปและเอาชนะสองพี่น้องตระกูลหานภายในกระบวนท่าเดียว
ภายในพริบตา เขาก็ปรากฏตัวข้างกายฉินอวี้โม่อีกครั้ง มุมปากของเขายกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยและไม่เคยกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย
“สถานการณ์ของท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ทว่าเมื่อมองไปที่สถานการณ์ของหานซวนหยวน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่กังวลมากนัก
พลังอำนาจของหานซวนหยวนไม่ด้อยไปกว่าหานโม่ฉืออย่างแน่นอน ไม่อาจทราบได้ว่าเขาฝึกวิชาอย่างไรตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ภายในเวลาสามสิบปี เขาก็ฟื้นฟูความสามารถจนกลับสู่สภาวะสูงสุดในอดีตและแกร่งกล้ามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ พรสวรรค์ของหานซวนหยวนผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
“ไม่ต้องห่วง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่”
หานโม่ฉือยิ้มและกล่าวอย่างไร้กังวล วันนี้คงจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันใด ๆ ขึ้นอีก หนานกงเจี๋ยหนีไปแล้วและแผนการของพวกเขาก็ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์ หานโม่ฉือมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาใดอีกต่อไป
เพียงแต่ยังไม่ทราบว่าสถานการณ์ของตระกูลไป่หลี่และตระกูลเหมยที่ถูกโจมตีในตอนนี้จะเป็นอย่างไร
“คุณหนู ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ตระกูลเหมยมีท่านปู่ของข้าที่คอยดูแลอยู่ ไม่ได้เกิดปัญหาอะไรขึ้นที่นั่น”
เสี่ยวโร่วได้รับข่าวดีและเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มขณะกล่าวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
เมื่อเดินทางออกจากตระกูลเหมยก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ได้มอบอุปกรณ์สื่อสารให้กับท่านปู่ของเสี่ยวโร่วซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเหมย และเมื่อครู่นี้เขาได้ส่งข่าวความคืบหน้ากลับมา
ตระกูลเหมยถูกโจมตีโดยกลุ่มคนที่ทรงพลังจริง ทว่าการที่มีท่านปู่ของเสี่ยวโร่วคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ที่นั่น มันจึงไม่เกิดปัญหาใด ๆ ขึ้น บัดนี้ศัตรูเหล่านั้นได้ถูกขับไล่กลับไปแล้วและตระกูลเหมยก็อยู่ในสภาวะที่ปลอดภัยดี ผู้นำตระกูลเหมยจัดสรรทุกอย่างเป็นอย่างดี แม้ว่าครั้งนี้ตระกูลเหมยจะถูกโจมตี พวกเขาก็ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อทราบว่าตระกูลเหมยปลอดภัย ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ผู้นำตระกูลเหมยเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เมื่อมีเขาคอยอยู่ดูแล ต่อให้เป็นผู้นำฝ่ายมารที่บุกเข้ามา เขาก็ยังสามารถยื้อเวลาได้นาน สิ่งที่พวกนางเป็นกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือสถานการณ์ของตระกูลไป่หลี่
เนื่องจากผู้นำตระกูลไป่หลี่และยอดฝีมือทรงพลังหลายคนของตระกูลล้วนเดินทางมาร่วมงานที่นี่ จวนตระกูลในตอนนี้จึงอ่อนแอพอสมควร พวกเขาไม่ทราบเลยว่าสถานการณ์ของตระกูลไป่หลี่จะเป็นอย่างไร
ตูมมม !
ด้วยเสียงปะทะดังสนั่นอีกครา ผู้นำตระกูลไป่หลี่และผู้นำตระกูลหลิวซึ่งติดอยู่ในสภาวะชะงักงันก่อนหน้านี้ก็แยกออกจากกัน
“แค่ก ๆ !”
ผู้นำตระกูลไป่หลี่ไอออกมาเล็กน้อยและดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บบางส่วน
“เหอะ พวกเราจะจดจำเหตุการณ์วันนี้ไม่มีวันลืม !”
ผู้นำตระกูลหลิวแค่นเสียงเย็นชาและหยิบยันต์บางอย่างออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลและฉีกยันต์นั้นทันทีก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไปต่อหน้าทุกคน
“ยันต์เคลื่อนย้าย !”
ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ในมือผู้นำตระกูลหลิวทว่ามันก็สายเกินไป เขาได้หลบหนีไปจากที่นี่แล้ว
ยันต์เคลื่อนย้ายเป็นวัตถุที่ลึกลับและหายากอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่เพียงน้อยนิดในดินแดนนี้ การที่ใช้ยันต์เคลื่อนย้าย ผู้ใช้จะสามารถเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ใด ๆ ในดินแดนได้ตามต้องการ และด้วยความหายากของมัน หากไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจริง ๆ มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะตัดสินใจใช้มัน
ผู้นำตระกูลหลิวทราบดีว่าหากไม่รีบไปจากที่นี่เสียตอนนี้ เขาคงต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป เพราะเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้ยันต์เคลื่อนย้าย ตราบใดที่ไปจากที่นี่ได้ แน่นอนว่าเขาก็จะปลอดภัย
“บัดซบ !”
เมื่อผู้นำตระกูลจากไป คนของตระกูลหลิวก็หมดกำลังใจทันทีและไม่คิดที่จะสู้อีกต่อไป พวกเขาต่างก็ยอมจำนนและรอรับการตัดสินโทษจากฉินอวี้โม่
ถึงอย่างไรพวกเขาเพียงเชื่อฟังคำสั่งของผู้นำและไม่มีส่วนรับผิดชอบในการตัดสินใจใด ๆ ตราบใดที่พวกเขาแสดงความจริงใจ พวกเขาเชื่อว่าตนจะไม่ถูกลงโทษสำหรับสิ่งที่กระทำลงไป
เวลานี้มีเพียงหานชางและหานซวนหยวนเท่านั้นที่ยังคงต่อสู้กันอยู่ ทว่ายังไม่อาจบ่งบอกได้ว่าฝ่ายใดจะคว้าชัยชนะไป
“หานซวนหยวน เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก !”
จู่ ๆ หานชางก็แสยะยิ้มอย่างผู้ชนะและดาบขนาดใหญ่สีดำก็ปรากฏในมือของเขา
“อาวุธระดับวิจิตรขั้นสุริยะ—ดาบวายุทะลวง !”
หานซวนหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที ดาบเล่มนี้คือสมบัติล้ำค่าของตระกูลหานและถูกเก็บรักษาไว้โดยผู้นำตระกูลมาเสมอ อย่างไรก็ตาม จากที่เขาทราบมา ดาบวายุทะลวงควรเป็นสีทองอร่ามมิใช่สีดำหม่นอย่างที่เห็นในตอนนี้
“ฮ่า ๆ ๆ สิ่งนี้มิใช่ดาบวายุทะลวงธรรมดา หากแต่เป็นดาบวายุทะลวงที่ถูกกัดกร่อนโดยพลังความมืด อยากเห็นนักว่าเจ้าจะต้านทานพลังของมันอย่างไร !”
หานชางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและเหวี่ยงดาบในมืออย่างรวดเร็วเพื่อโจมตีคู่ต่อสู้
“เหอะ หานชาง คิดว่าตระกูลหานเราจะไม่มีสิ่งอื่นนอกจากดาบวายุทะลวงงั้นรึ !”
ทันใดนั้น หานซวนหยวนก็แค่นเสียงและแสยะยิ้มเช่นกัน จากนั้นกระบี่ส่องประกายสว่างเล่มหนึ่งก็ปรากฏในมือของเขา
“นั่นมัน… กระบี่จักรพรรดิอำพัน !”
เมื่อเห็นกระบี่เล่มยาวในมือของหานซวนหยวน สีหน้าของหานชางก็เปลี่ยนแปลงไปทันที ความมั่นใจเต็มเปี่ยมของเขาก่อนหน้านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยและใบหน้ากลายเป็นบิดเบี้ยวเหยเก
กระบี่จักรพรรดิอำพันเล่มนี้เป็นสมบัติประจำตระกูลหานที่ทรงพลังยิ่งกว่าดาบวายุทะลวงเสียอีก อย่างไรก็ตาม ในสงครามครั้งใหญ่ของดินแดนเมื่อพันปีก่อน กระบี่เล่มนี้ได้หายสาบสูญไปและไม่เคยปรากฏให้เห็นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่คิดเลยว่ามันจะอยู่ในมือของหานซวนหยวนได้
“ต้องขอบคุณเจ้าที่ทำลายรากฐานพลังของข้าและกักขังข้าไว้ในหอคอยต้องห้าม แท้ที่จริงแล้วข้าได้รับกระบี่จักรพรรดิอำพันเล่มนี้มาจากหอคอยต้องห้าม มันคือตัวแทนแห่งพลังสูงสุดของตระกูลหาน วันนี้ข้าจะใช้มันเพื่อปราบวิญญาณชั่วร้ายทั้งหมดและสะสางเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมา !”
ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว ร่างของหานซวนหยวนก็พุ่งตรงไปและกระหน่ำโจมตีเข้าใส่หานชางอีกครั้ง