ข้าจัดการเรื่องนี้ได้ ข้าจัดการเรื่องนี้ได้! ฉินมู่ปลอบใจตนเองไม่หยุดขณะที่สีหน้าของเขาซีดเผือดสลับกับมืดคล้ำ “ผู้เฒ่าในหมู่บ้านสอนข้าว่า หากข้าสามารถก่อเรื่องวุ่นวาย ข้าก็ต้องสามารถจัดการมันได้แน่ๆ ครั้งนี้ข้าก็จะต้องจัดการแก้ไขได้เหมือนกัน…”
ถ้าไม่หลอกตัวเอง ครั้งนี้ข้าคงจัดการไม่ได้…
เรื่องวุ่นวายคราวนี้ใหญ่หลวงเกินไป
สวรรค์ไท่หวงไม่มีดวงตะวัน แต่เทพผู้สร้างตะวันได้นำพาผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายเพื่อก่อสร้างครึ่งซีกของมันด้วยความอุตสาหะให้มันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มันกลายเป็นความภาคภูมิใจของผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวง กระนั้นทั้งสองคนก็ได้ทำลายดวงตะวันนี้ไปโดยสิ้นเชิง
ไม่ใช่ว่าฉินมู่ไม่คิดที่จะสร้างตะวันดวงใหม่ชดใช้คืนสวรรค์ไท่หวง แต่ว่าเพราะมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น การสร้างทรงกลมสมบูรณ์แบบไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าจะเปลี่ยนให้มันเป็นดวงตะวันได้อย่างไรล่ะ
เทพสร้างตะวันเป็นพ่อครัวจากสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ชายผู้ซึ่งควบคุมพลานุภาพของไฟเทวะ ดังนั้นต่อให้ฝีมือช่างเขาจะแย่ และเขาได้สร้างดวงตะวันที่มีรูปทรงระคายตา มันก็ยังสามารถส่องสว่างและให้ความอบอุ่นแก่สวรรค์ไท่หวงได้
ไฟเทวะเช่นนี้อาจจะมีระดับสูงส่งเสียยิ่งกว่าไฟหลี ดังนั้นการหาไฟที่ถูกประเภทมาหรือไม่จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในการสร้างดวงตะวันขึ้นมาใหม่
หลังจากแสงสีดำทำลายดวงตะวันครึ่งซีก มันก็แทงทะลุห้วงฟ้าอวกาศ ในพริบตาถัดมา คลื่นกระเพื่อมของห้วงอวกาศก็เห็นขึ้นมาได้ด้วยตาเปล่า พวกมันกระเพื่อมไปและแผ่ขยายไปยังทิศรอบข้าง
“ตะวันอีกซีก!”
เทพเสือขนดำสะท้านใจเมื่อเขามองไปยังคลื่นกระเพื่อมอันเดินทางไปยังสิ่งก่อสร้างอื่นบนท้องฟ้า
ข้างล่างแท่นสังเวย ผู้ฝึกวิชาเทวะนับพันแห่งสวรรค์ไท่หวงและเทพเจ้าที่ลอยเลื่อนอยู่บนนภาากาศต่างก็รู้สึกหัวใจกระดอนขึ้นมาถึงคอหอย พวกเขากำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว เล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ
คลื่นนั้นกระเพื่อมและพุ่งไปยังดวงตะวันอีกซีก เมื่อพวกมันปะทะกัน ดวงตะวันก็ถูกบีบเค้นราวกับเป็นไข่แดงรูปทรงรี เมื่อส่วนโค้งของคลื่นกระเพื่อมซัดผ่านมัน ดวงตะวันก็ยืดยาวออกไปมากกว่าสิบเท่า
ทุกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความหวาดผวา แต่หลังจากคลื่นซัดผ่านไป ดวงตะวันก็ยังคงห้อยอยู่บนท้องฟ้า ทุกคนที่ว้าวุ่นใจก็พากันระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก
ทันใดนั้น ดวงตะวันที่ดูครบสมบูรณ์ก็พลันลั่นดังเปรี๊ยะ และชิ้นส่วนใหญ่มหึมาก็ร่วงลงจากพื้นผิวของมัน
ชิ้นส่วนที่ร่วงลงมานั้นใหญ่เท่าภูเขา และทิ้งหางไฟเป็นทางยาวจากบนฟากฟ้า ควันโขมงคละคลุ้งไปหมดเมื่อมันร่วงตกลงในแนวดิ่งและถล่มลงใส่ที่ไหนสักแห่งอันห่างออกไป
เดิมทีดวงตะวันบนฟ้าก็ไม่กลมดิกอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันดูเหมือนกับถูกปากอะไรกัดแหว่งไป
“ศิษย์น้อง พวกเราหนีเอาชีวิตรอดกันไหม” เสือเทพยดาขนดำถามด้วยด้วยเสียงแผ่ว
“สุภาพชนทั้งหลาย ข้ามีข่าวดีสองเรื่องจะบอกกับพวกท่าน!” ฉินมู่สะบัดแขนเสื้อเพื่อเช็ดเหงื่อเย็นเยียบของเขาออกไป พลางยืนนิ่งอยู่บนแท่นสังเวย เขาทำท่วงทีดูเที่ยงธรรมและมั่นอกมั่นใจก่อนที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ข่าวดีแรกก็คือสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณได้เชื่อมต่อแล้ว!”
“สะพานนี้เชื่อมต่อสวรรค์ไท่หวงกับสันตินิรันดร์ ดังนั้นทุกคนที่นี่จึงมีเส้นทางล่าถอย ต่อให้พวกเราต้านการรุกรานของเผ่ามารไม่สำเร็จ พวกเราก็สามารถล่าถอยไปยังสันตินิรันดร์ เพื่อกอบกู้ผู้คนของพวกเราเอาไว้!”
ข้างใต้แท่นสังเวย ผู้ฝึกวิชาเทวะหลายพันคนยังมีสีหน้าตะลึงงัน และหันกลับมามองเขาอย่างยากลำบาก
หลังจากที่ฉินมู่ประกาศข่าวดีแรกเสร็จสิ้น เขาก็รอสักพักหนึ่งให้ทุกคนสามารถย่อยข้อมูลนี้ได้
นี่เพื่ออวดความสำเร็จของเขา
สวรรค์ไท่หวงไม่เคยมีเส้นทางล่าถอยมาก่อน หากว่าเทพเจ้าและผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายพ่ายแพ้ ผู้คนที่นี่ก็มีแต่จะต้องกลายเป็นอาหารของเผ่ามาร แต่บัดนี้ฉินมู่ได้ก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เขาได้สร้างเส้นทางล่าถอยให้แก่ทุกๆ คนในสวรรค์ไท่หวง เพื่อรักษามรดกของเผ่าพันธุ์เอาไว้
ความดีความชอบนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน
ฉินมู่เลือกที่จะโอ้อวดมันออกไปเพราะว่ามันยิ่งใหญ่อย่างมหัศจรรย์ แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะและทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวงจะโกรธเกรี้ยว แต่พวกเขาก็จะไม่รุมกระทืบเขาและเทพเสือจนถึงตาย
ผางอวี้เป็นเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา เขาผงกหัวอย่างเชื่องช้า “สหายน้อยฉินและพี่เสือขนดำได้สร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณดั้งเดิม เพื่อให้ผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงของพวกเราได้มีเส้นทางล่าถอย นี่นับว่าเป็นความดีความชอบใหญ่หลวง!”
เทพซังเย่และคนอื่นๆ ก็ผงกหัวเช่นกัน ความสำเร็จนี้ยิ่งใหญ่อย่างเหลือล้นจริงๆ
นอกจากเชื่อมต่อสองโลกและสร้างเส้นทางล่าถอยแล้ว ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ยังสามารถส่งกำลังเสริมเข้ามา เพื่อช่วยให้สวรรค์ไท่หวงต้านยันเอาไว้ได้นานยิ่งขึ้น
ในตอนนั้นเอง ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็ตะกุกตะกัก “ตะ-แต่ว่าดวงตะวันบนท้องฟ้า…”
ฉินมู่ใบหน้าแจ่มใสเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และเขาก็หัวเราะร่า “นี่คือข่าวดีอีกข่าวหนึ่งที่ข้ากำลังจะพูด ข่าวอันควรรื่นเริงยินดี!” เสียงของเขาดังกึกก้องไปทั่วทุกหู “ทุกท่าน ดวงตะวันของท่านทั้งเก่าและซอมซ่อ แต่บัดนี้พวกเราสามารถเปลี่ยนดวงตะวันทั้งสองดวงใหม่ได้แล้ว! ดวงตะวันอันกลมดิก ดวงตะวันอันสมบูรณ์แบบ!”
รอบข้างเงียบงัน
ทันใดนั้น ซังฮั่วก็ตื่นเต้นขึ้นมาและชูสองมือขึ้นสูง “เย้!”
เสียงโห่ร้องนี้ฟังบาดหู และไม่นานเสียงของนางก็แผ่วลงๆ ในที่สุดเด็กสาวเปียยาวก็ตระหนักถึงสถานการณ์รอบๆ และกระแอมไอสองทีเพื่อแก้ขวย นางไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป
“ไม่ต้องพูดอะไร” เทพเที่ยงแท้ผางอวี้รักษารอยยิ้มแข็งทื่อของเขาไว้บนใบหน้าพลางกล่าวกับเทพตนอื่นๆ ด้วยเสียงเบา “ยิ้มเข้าไว้ รักษาท่าทีเข้าไว้ อย่าเผยรังสีเข่นฆ่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกศิษย์ของครูบาสวรรค์ ดังนั้นเราจะต้องรักษาหน้าเอาไว้ก่อน”
“พวกเขาจะช่วยเราสร้างดวงตะวันใหม่จริงหรือ” เทพตนหนึ่งถามด้วยเสียงเบาพลางรักษารอยยิ้มบนใบหน้า
“ข้าไม่รู้เหมือนกัน” เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากว่าพวกเขาไม่สร้างใหม่ พวกเราก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาออกไปจากสวรรค์ไท่หวง แต่ทว่า ดูจากสีหน้าของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ พวกเขาอาจจะสามารถทำได้”
ฉินมู่มองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะและเทพเจ้ามากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงซึ่งมีสีหน้าดำคล้ำ และเหงื่อเย็นเยียบก็ไหลจนโซมหลัง ราวกับว่ามีอุทกภัยที่กำลังจะทลายเขื่อนอยู่ที่นั่น
“ศิษย์น้อง พวกเขาดูไม่ค่อยสบอารมณ์เลย หรือว่าพวกเขารู้ว่าพวกเราไม่รู้วิธีการสร้างไฟเทวะสำหรับจุดดวงตะวัน” เสือเทพยดาขนดำถามด้วยเสียงเบา
“ศิษย์พี่หุบปาก” ฉินมู่ยิ้มแข็งทื่อเอาไว้ และพูดผ่านฟันที่ขบแน่น “รักษารอยยิ้มของท่านเข้าไว้ และทำท่าเหมือนกับว่าพวกเราสามารถสร้างดวงตะวันได้”
เทพเสือขนดำทำตามที่เขาบอก และพูดลอดไรฟัน “นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรากระตุ้นการทำงานของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณดั้งเดิม ดังนั้นพวกเราไม่รู้ว่ามันจะสามารถเชื่อมต่อกับแท่นสังเวยในแดนโบราณวินาศได้จริงไหม หากว่ามันไม่สำเร็จ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะนับหนี้ไปสองกระทงและรุมกระทืบพวกเราจนตายไหมน่ะ”
“ศิษย์พี่ หุบปาก!” ฉินมู่แทบรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ “ตอนนี้สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็ติดตั้งเสร็จแล้ว พวกเราสามารถเข้าแดนโบราณวินาศจากที่นี่ได้ไหม”
“หากว่ามีอะไรผิดพลาดระหว่างพวกเราข้ามสะพาน พวกเราก็อาจจะถูกป่นเป็นชิ้นๆ และส่งกลับไปเป็นเนื้อบดที่อีกฟากหนึ่ง” เทพเสือขนดำเบาอย่างแผ่วเบา
ลมเย็นเยือกพัดผ่านความเงียบรอบข้าง
ในแดนโบราณวินาศ ท้องฟ้ากำลังจะมืด
ยักษ์หินหลายตนกำลังเดินดุ่มผ่านป่าพลางยกค้อนหินยักษ์ฟาดทุบลงไปบนพื้น พวกมันกำลังบดอัดพื้นให้ราบเรียบ ระหว่างการเดินทาง ต้นไม้สูงลิ่วก็ถอนรากออกมาด้วยตนเอง และมีกิริยาราวกับมนุษย์ พวกมันเปิดเส้นทาง และฝังรากปลูกตนเองเข้าไปใหม่ที่สองข้างถนน ก่อเป็นทิวแถวพฤกษาสองแถว
หลังจากที่ยักษ์หินกรุยทางไป หญิงสาวหลายพันคนก็เดินผ่านถนน พวกนางแตกต่างในเสื้อผ้าสีสันต่างๆ นานา อันทำให้ดูสวยสะพรั่งราวมวลบุปผา พวกนางพูดคุยสัพเพเหระกันไปมาระหว่างที่แผ่นหินสีเหลี่ยมลอยผ่านท้องฟ้าและร่วงลงมาปูเบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ
ข้างหลังพวกนาง ยักษ์ต้นไม้กำลังใช้ค้อนไม้เพื่อตอกแผ่นหินปูทางให้เข้าร่องเข้ารอย เชื่อมต่อกันอย่างเป็นระเบียบ และปรับพื้นถนนให้ราบเรียบ
ข้างหลังยักษ์ต้นไม้ หัวหน้าโถงวิศวกรรมได้นำผู้ฝึกวิชาเทวะในโถงของตนจำนวนมากมายตามมาประทับรอยอักษรรูนลงไป แต่ละแผ่นหินจะมีรอบประทับอักษรรูนอันทำให้ถนนแข็งแกร่งทนทานขึ้น ถนนจะไม่ถล่มยุบลงไปแม้ว่าจะมีรถศึกหรือสัตว์ยักษ์สัญจรบนนั้น
การใช้แผ่นหินปูถนนทำให้ง่ายต่อการซ่อมแซมในอนาคต พวกเขาเพียงแต่ต้องนำเอาแผ่นที่ชำรุดออกไปและใส่แผ่นใหม่แทน
ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่เดินเคียงข้างกัน พวกเขากำลังเสาะหารูปสลักหินและเคลื่อนย้ายพวกมันมาที่สองฝั่งถนน ยิ่งพวกเขาเจอหมู่บ้านก็ยิ่งดี เพราะพวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายหมู่บ้านและผู้คนในนั้นให้เข้ามาใกล้ถนน และจะได้กลายเป็นเมืองเล็กๆ ในอนาคต
ก่อนที่พวกเขาจะเคลื่อนย้ายรูปสลักหินใดๆ พวกเขาจะต้องจุดธูปเทียนบูชาเสียก่อน อันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง มันเป็นสิ่งที่ฉินมู่บอกแก่ราชครูสันตินิรันดร์ ดังนั้นความเร็วในการปูถนนจึงล่าช้ากว่าที่ฉินมู่คาดการณ์เอาไว้เล็กน้อย
ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่ เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ มีงานล้นมือมาเป็นเวลานาน พวกเขาได้ปูลาดถนนตลอดทางมาจนถึงเขตแดนโบราณวินาศแล้วในตอนนั้น และในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พวกเขาก็จะไปถึงเมืองเขตมังกร และเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเขาก็จะเข้าใกล้จักรวรรดิสันตินิรันดร์
ฉินมู่รู้จักผู้คนมากมายในแผ่นดินตะวันตก และมีมิตรไมตรีกับตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลทั้งหมด การถางทางปูถนนไปยังแผ่นดินภาคกลางนั้นเป็นโครงการมหึมา แต่ตระกูลใหญ่ทั้งหมดได้สนับสนุนแนวคิดนี้และส่งผู้ฝึกวิชาเทวะค่อนข้างมากมาเสริมกำลังช่วยเหลือ
“พวกเราพักกันก่อน!” ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่ท้องฟ้าและกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ความมืดกำลังจะมาถึงแล้ว ดังนั้นรีบไปที่รูปสลักหิน อย่าเถลไถลออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน!”
ทุกคนทำตามที่เขาบอก และเริ่มก่อกองไฟเพื่อหุงหาอาหาร พวกสาวๆ สนทนากันอย่างออกรสออกชาติถึงหนุ่มๆ แห่งสันตินิรันดร์ พวกนางชม้อยตามองผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโถงวิศวกรรมและหัวเราะคิกคัก ผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นหน้าแดงเขินและไม่กล้าพูดจา
ราชครูสันตินิรันดร์จ้องมองไปยังอาทิตย์อัสดง แม้ว่าฉินมู่จะโยนความรับผิดชอบและงานหนักทั้งหลายมาให้เขาขณะที่ตัวเองออกไปเที่ยวเล่น เขาก็ไม่ปริปากบ่น
ตอนที่ไปยึดครองแผ่นดินตะวันตก เขาเองก็ได้โยนงานหนักทั้งหมดให้แก่ฉินมู่เช่นกัน และเด็กหนุ่มก็ทำออกมาได้สวย
ในตอนนั้นเอง ท้องฟ้าสั่นสะท้าน และลำแสงสีดำก็พวยพุ่งลงมาจากนภากาศ มันหมุนติ้วอย่างรุนแรงและพุ่งปะทะกับพื้นดิน
สีหน้าราชครูสันตินิรันดร์แปรเปลี่ยนเล็กน้อย และเขามองตรงไปยังสถานที่ที่แสงดำนั้นร่วงตกลงมา
ตูม!
มันยิงลงปะทะพื้น และแผ่นดินก็สะท้านหวั่นไหว แรงสั่นสะเทือนส่งกระทบกระทั่งแทบเท้าของพวกเขา มันดูราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดน่าสะพรึงกลัวบางตัวที่กำลังจะฉีกพื้นพิภพพุ่งออกมา!
“ราชครู!” ลำแสงสองลำพุ่งออกมาจากดวงตาของหัวหน้าโถงวิศวกรรม ขณะที่เขามองไปยังการเปลี่ยนแปลงอันผิดประหลาด สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง และเขาตะโกนด้วยเสียงอันดัง “มันมีการเปลี่ยนแปลงในปรากฏการณ์บนฟากฟ้า! พื้นดินปูดโปนขึ้นมากลายเป็นภูเขาใหญ่ อันอาจจะเป็นฝีมือของพวกมาร!”
ราชครูสันตินิรันดร์ลุกขึ้นและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูเอง”
ความมืดพวยพุ่งเข้ามา แต่ราชครูสันตินิรันดร์เดินฝ่ามันไปจนกระทั่งเขามาถึงยังตำแหน่งที่สีทมิฬนั้นตกลงมา พลังงานของมันเหือดแห้งแล้ว และลำแสงสีฟ้าก็พวยพุ่งจากพื้นสวนขึ้นไปบนท้องฟ้า แทงทะลุห้วงอวกาศ แสงสีฟ้าก่อช่องทางเดินอันเป็นแสงไหลรี่
สิ่งที่ปลดปล่อยแสงสีฟ้าออกไปคือแท่นสังเวยขนาดใหญ่พอๆ กับภูเขาลูกหนึ่ง ในตอนนี้ อักษรรูนทั้งหมดบนตัวมันจุดแสงติดไปตามๆ กัน
ราชครูสันตินิรันดร์สำรวจตรวจตราดูแท่นสังเวยที่พลันผุดโผล่ขึ้นมา เขาพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินขึ้นไป และเข้าไปในแสงสีฟ้า
ในสวรรค์ไท่หวง รอยยิ้มของฉินมู่และเสือเทพยดาขนดำเย็นเฉียบ ในท้องฟ้า รอยยิ้มของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ เทพซังเย่ และเทพตนอื่นๆ ก็แข็งทื่อไม่ต่างกัน ทุกคนได้นิ่งขึงไม่กระดิกมาสักระยะหนึ่งแล้ว
ในตอนนั้นเอง จากลำแสงที่ตรงกลางแท่นสังเวย เงาร่างอันเฉื่อยชาของชายกลางคนผู้หนึ่งก็เดินออกมา เขามองไปรอบๆ ด้วยความพิศวงงงวย จากนั้นสายตาของเขาก็ไปตกที่ฉินมู่
“ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน คราวนี้เจ้าทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไรอีกล่ะ และที่นี่คือที่ไหน”
…………………….