“ทักษะสาปวิญญาณงั้นรึ ?”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว หลัวจื้อเลี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องทักษะสาปวิญญาณ แน่นอนว่าเขาเคยทราบเกี่ยวกับศาสตร์ประหลาดดังกล่าวมาก่อน เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าราชินีเอลฟ์จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของทักษะนี้
“เจ้าค่ะ ทักษะสาปวิญญาณ ท่านลุงน่าจะทราบที่มาและความน่าสะพรึงกลัวของมันดี เพราะเหตุนั้น ราชินีเอลฟ์จึงไม่ได้สติและยอดฝีมือจำนวนมากก็ไม่สามารถหาสาเหตุของอาการนี้ได้ ข้าคิดว่าจะต้องเป็นทักษะสาปวิญญาณดังกล่าวแน่ หลัวหมิงซีเองก็บอกเรื่องนี้กับข้าเช่นกัน มิฉะนั้น ข้าก็คงยืนยันไม่ได้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวสิ่งที่ทราบมาจากหลัวหมิงซี
“ครานี้ถือว่าหมิงซีตัดสินใจถูกจริง ๆ”
หลัวจื้อเลี่ยพยักศีรษะก่อนนึกถึงกระถางดอกไม้ทั้งสี่ที่ฉินอวี้โม่เอ่ยขอพร้อมกับกล่าวถามด้วยความสงสัย “แล้วมีอะไรผิดปกติกับกระถางดอกเหยียนฮวาขาวทั้งสี่กระถางนั่นรึ ? ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะยืนกรานที่จะขอมันเช่นนั้น”
เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของหลัวหมิงรุ่ยก่อนหน้านี้ หลัวจื้อเลี่ยก็คาดเดาบางอย่างได้ทันที ทว่าไม่สามารถยืนยันมันได้ ตอนนี้เขาจึงเอ่ยถามด้วยหวังว่าฉินอวี้โม่จะคลายความสงสัยให้กับตน
“เจ้าค่ะ กระถางดอกไม้ทั้งสี่คือพฤกษาที่พิเศษมากและมีกลิ่นหอมที่สามารถสลายสติรับรู้ของผู้ที่หมดสติได้อย่างช้า ๆ เพื่อทำให้เข้าสู่สภาวะหลับใหลอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม พวกมันยังต้องพึ่งพาพลังของข่ายอาคมพิเศษเช่นกัน หลังจากนี้ข้าจะต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อศึกษาดูว่ามันคือข่ายอาคมประเภทใด”
ก่อนหน้านี้มารยาก็ได้ศึกษากระถางดอกไม้เหล่านั้นแล้วและสรรพคุณของกระถางดอกไม้เหล่านั้นก็ได้รับการยืนยันจากฉินอวี้โม่เช่นกัน พวกเขาจึงไม่ได้นึกสงสัยสิ่งใด เพียงแต่กลิ่นหอมของดอกไม้นั้นเดิมทีมีฤทธิ์เพียงทำให้จิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน ทว่าด้วยข่ายอาคมที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะทำให้จิตของผู้ที่หมดสติค่อย ๆ สลายไป ในเวลานี้มารยาก็ยังศึกษาข่ายอาคมนั้นได้ไม่สำเร็จและยังต้องใช้เวลาศึกษาอย่างละเอียดเพิ่มเติม
หลัวจื้อเลี่ยไม่สงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย เวลานี้ไม่ว่าราชินีเอลฟ์จะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่นั้น ความหวังทั้งหมดก็อยู่ที่ฉินอวี้โม่ผู้นี้
“อวี้โม่ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เราควรทำอย่างไรต่อไป ? เราจะทำลายทักษะสาปวิญญาณนั่นได้อย่างไร ? แล้วจะทำอย่างไรให้น้องสาวของข้าฟื้นขึ้นมา ?”
หลัวจื้อเลี่ยเอ่ยถามคำถามชุดใหญ่อย่างกระตือรือร้น เขากังวลใจยิ่งนักว่าจะดำเนินแผนการต่อไปอย่างไร เพราะถึงอย่างไรสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนมีผลต่อความเป็นความตายของชนเผ่าเอลฟ์และเขาไม่อาจสงบจิตใจของตนเองได้เลย
“ตอนนี้เรายังไม่มีวิธีลบล้างทักษะสาปวิญญาณ เกรงว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ราชินีเอลฟ์ฟื้นขึ้นมาในระยะสั้น ๆ นี้ เราต้องรีบตามหาต้นโพธิ์ให้พบเท่านั้นจึงจะมีวิธีทำให้นางฟื้นขึ้นมา สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือมิให้สถานการณ์ของนางเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมและต้องจับตาดูคนของหลัวหมิงรุ่ยอย่างใกล้ชิด”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไปเช่นนี้ นางจำได้ว่าวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายทักษะสาปวิญญาณก็คือต้นโพธิ์
ตราบใดที่พบต้นโพธิ์ที่ตามหาและนำของเหลวใกล้กับหัวใจของมันมาให้ราชินีเอลฟ์ดื่มกิน แน่นอนว่านางก็จะสามารถฟื้นขึ้นมาได้
อีกวิธีหนึ่งคือการขอให้ผู้ที่ใช้ทักษะสาปวิญญาณกับราชินีเอลฟ์คลายมันด้วยตัวเอง ทว่าในเมื่อคนผู้นั้นใช้ทักษะดังกล่าวกับราชินีเอลฟ์แล้ว แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมคลายมัน เพราะเหตุนั้นวิธีนี้จึงไม่ถูกนำมาพิจารณาด้วยซ้ำ
“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น ระหว่างนี้ข้าจะส่งคนไปจับตาดูข้างกายน้องสาวข้า หลัวหมิงรุ่ยไม่มีทางหยุดแผนการที่วางไว้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างนี้เจ้าก็สามารถหาวิธีทำลายข่ายอาคมนั่น ส่วนข้าก็จะพยายามกดดันหลัวหมิงรุ่ยและทำให้เขาตระหนักได้ว่าเขาจะต้องคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะลงมือทำสิ่งใด หวังว่าพวกเราจะยื้อเวลาหนึ่งเดือนนี้ไว้ได้และตามหาต้นโพธิ์จนพบจริง ๆ”
หลัวจื้อเลี่ยพยักศีรษะเบา ๆ เขาจะหาทางจับตาดูและควบคุมความปลอดภัยให้กับราชินีเอลฟ์อย่างแน่นอน ชาวเอลฟ์จะไม่มีทางพ่ายแพ้ต่อคนชั่วร้ายเหล่านั้น
“เอาล่ะ พรุ่งนี้เราไปพบหลัวหมิงเฟยกันเถอะ หากเป็นไปได้ เราก็ควรร่วมมือกับพวกเขา หลัวหมิงหล่างและหลัวหมิงเฟยควบคุมกองทัพของเอลฟ์ทั้งหมด หากเราทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน เราจะมีความมั่นใจมากขึ้นในอนาคตต่อไป”
ฉินอวี้โม่เห็นด้วยและกล่าวแผนการต่อไป นางจะไปพบสองพี่น้องหลัวหมิงหล่างและหลัวหมิงเฟยเพื่อหารือเรื่องการร่วมมือกัน หากการร่วมมือกันดำเนินไปด้วยดี พวกนางก็จะมีไพ่ตายเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
“ดีเลย หมิงหล่างและหมิงเฟยเป็นคนที่อุทิศตัวให้กับผลประโยชน์ส่วนรวม คงไม่ยากที่พวกเขาจะตกลงร่วมมือด้วย”
หลัวจื้อเลี่ยสนับสนุนการตัดสินใจของฉินอวี้โม่อย่างเต็มที่ เขารู้จักหลานชายทั้งสองเป็นอย่างดีและทราบว่าทั้งสองเป็นผู้ที่สามารถร่วมมือด้วยได้ เขาเองก็คาดหวังสิ่งนี้ไว้แล้วเช่นกัน
“ข้าจะอยู่ในพระราชวังสักพักและจะส่งคนออกไปสืบเบาะแสเกี่ยวกับต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้เบาะแสแล้วข้าจะรีบบอกเจ้าทันที ระหว่างนี้เจ้าก็จัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ตามต้องการ”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวบอกแผนการต่อไปของตน
“เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นเราจะไปพูดคุยกับหลัวหมิงเฟยและหลิวหมิงหล่างเกี่ยวกับการร่วมมือก่อน จากนั้นก็จะไปที่โรงประมูลและที่อื่น ๆ เพื่อลองสืบหาเบาะแสเพิ่มเติม”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบตกลง จากนั้นทุกคนก็ออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวและแยกย้ายไปจัดการเรื่องของตนเอง
ภายในโถงกว้างของเรือนบรรทมขององค์ชายใหญ่ หลัวหมิงรุ่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักด้วยสีหน้าหม่นหมองเป็นกังวล
หลัวหมิงซีผู้ซึ่งออกไปส่งฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ก็กลับมาพบกับสีหน้าที่ไม่ปกติของพี่ชายจึงเดินตรงเข้ามาหาและแสร้งแสดงสีหน้าความเป็นห่วง “พี่ใหญ่ เป็นอะไรไปหรือขอรับ ?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเป็นห่วงของหลัวหมิงซี หลัวหมิงรุ่ยก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าว “น้องสี่ คนพวกนั้นสงสัยอะไรหรือไม่ ?”
หลัวหมิงซีส่ายศีรษะทันทีและกล่าวตอบ “พี่ใหญ่ ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกเขาหรอก พวกเขาไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ มือสังหารในตอนนั้นก็คงจะไม่ได้ปริปากบอกอะไรพวกเขา มิฉะนั้นคนพวกนั้นคงไม่นิ่งเฉยถึงเพียงนี้แน่”
เขากล่าววาจาปลอบใจหลัวหมิงรุ่ยทว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงแผนการเพื่อหลอกสืบข้อมูลจากปากของผู้เป็นพี่ชายเท่านั้น
และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ องค์ชายใหญ่ทอดถอนหายใจก่อนกล่าวอย่างจนปัญญา “ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วน้องชายของข้าก็ไว้วางใจได้มากกว่า”
เมื่อได้ยินวาจาคลุมเครือของพี่ชาย หลัวหมิงซีก็คาดเดาบางอย่างได้ทันทีและครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไป “พี่ใหญ่กำลังคิดถึงเรื่องท่านหยางรึ ?”
“ดูเหมือนว่าน้องสี่จะมองทะลุถึงความคิดของข้าได้”
ครานี้หลัวหมิงรุ่ยไม่ปิดบังสิ่งใดซึ่งเป็นการกระทำที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาเพียงพยักศีรษะและกล่าวตอบ
“ฮ่า ๆ ๆ พี่ใหญ่คิดมากเกินไปแล้วขอรับ ท่านหยางเป็นที่ปรึกษาที่ท่านไว้ใจมากที่สุดมาตลอดและเขาก็เคารพท่านไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องกังวลหรือสงสัยในตัวเขาหรอก”
เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนแสร้งขมวดคิ้วเล็ก ๆ อย่างไม่ตั้งใจ “เพียงแต่ท่านหยางก็เป็นบุคคลภายนอกและเราไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของเขา การที่พี่ใหญ่จะระวังเขาไว้บ้างก็มิใช่เรื่องเสียหายใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ท่านหยางจะไม่แข็งแกร่งเท่าเรา ทว่าอำนาจบารมีของเขาในคฤหาสน์องค์ชายใหญ่ก็แทบจะเหนือกว่าเราแล้ว หากเขาคิดไม่ซื่อหรือมีแผนการใดซ่อนอยู่ มันคงมิใช่เรื่องดีสำหรับเราแน่”
วาจาของหลัวหมิงซีจุดชนวนความหวั่นไหวในหัวใจของหลัวหมิงรุ่ยขึ้นมาทันที แท้ที่จริงแล้วน้องชายของเขาก็กล่าวถูกทุกประการ พวกเขาไม่เคยทราบรายละเอียดเกี่ยวกับหยางเสวียนผู้นั้นแม้แต่น้อย ในตอนแรกหยางเสวียนมาที่คฤหาสน์องค์ชายใหญ่ในฐานะจอมยุทธ์อิสระก่อนผันตัวเป็นหัวหน้าองครักษ์ขององค์ชายใหญ่และไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับความไว้วางใจจากหลัวหมิงรุ่ยอย่างเต็มเปี่ยม
เวลานี้หลัวหมิงรุ่ยก็นึกสงสัยอย่างยิ่ง กอปรกับการที่หยางเสวียนเป็นคนนอกมาตั้งแต่ต้น แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมมีความคิดอื่นแฝงอยู่ในใจ
“ขอบใจน้องสี่มากที่เตือนข้า ข้าเข้าใจแล้ว”
ครานี้หลัวหมิงรุ่ยกล่าวขอบคุณน้องชายจากก้นบึ้งของหัวใจ หากมิใช่เพราะคำเตือนของหลัวหมิงซี เกรงว่าเขาอาจไว้ใจหยางเสวียนมากจนเกินไป และเมื่อถึงตอนนั้นมันจะเป็นผลเสียสำหรับตัวเขาเอง
“โธ่ พี่ใหญ่ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
หลัวหมิงซีกล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าภายใต้ใบหน้ายิ้มนั้นซ่อนความคิดอื่นไว้ เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ฉินอวี้โม่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่งจนคาดเดาได้ว่าหลัวหมิงรุ่ยจะต้องนึกสงสัยในตัวหยางเสวียนและสั่งให้เขากล่าวออกไปเช่นนี้ ด้วยการทำเช่นนี้ ความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นของหยางเสวียนและหลัวหมิงรุ่ยจะสั่นคลอนซึ่งจะเป็นผลดีสำหรับฉินอวี้โม่และทุกคน
หลัวหมิงรุ่ยเพียงยิ้มบาง ๆ ทว่ามีแผนการอยู่ในใจแล้ว เห็นทีเขาจะต้องระแวดระวังและจับตาดูหยางเสวียนมากขึ้น ก่อนหน้านี้ตอนที่หยางเสวียนออกคำสั่ง เหล่าผู้พิทักษ์ก็ไม่ลังเลหรือถามเขาด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดแล้วว่าคนเหล่านั้นมองว่าหยางเสวียนเป็นนายโดยที่ไม่รู้ตัว
เขาเป็นถึงองค์ชายใหญ่ของชนเผ่าเอลฟ์และเป็นนายของหยางเสวียน เห็นทีคงถึงเวลาที่จะต้องย้ำเตือนให้คนเหล่าตระหนักว่าผู้ใดกันแน่ที่มีอำนาจสูงสุด…
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางด้านของหลัวหมิงรุ่ย พวกนางเดินทางมาพบกับหลัวหมิงหล่างและหลัวหมิงเฟยในเช้าตรู่ของวันต่อมา
หลัวหมิงเฟยและหลัวหมิงหล่างเป็นพี่น้องที่มีบิดาเดียวกัน ทั้งสองจึงอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เดียวกันเสมอและไม่เคยแยกจากกัน หลัวหมิงหล่างเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้โดยมีบุคลิกที่เย็นชาและตรงไปตรงมาซึ่งเป็นที่เคารพอย่างยิ่ง ส่วนหลัวหมิงเฟยก็เป็นคนอ่อนโยน ชาญฉลาดและมีไหวพริบดี นอกจากนี้เขายังเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ซึ่งเขาก็ได้รับความเคารพจากผู้คนไม่ต่างกัน
สองพี่น้องที่อยู่ร่วมกันมีทั้งมันสมองและพลังอำนาจ อีกทั้งชื่อเสียงบารมีของพวกเขาในกองทัพก็สูงส่งอย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ เพราะเหตุนั้นที่ผ่านมานี้พวกเขาจึงสามารถประจันหน้ากับหลัวหมิงรุ่ยได้อย่างไม่เสียเปรียบ
“ฮ่า ๆ ๆ แขกผู้มีเกียรติมาเยือนถึงคฤหาสน์ของพวกเรา”
เมื่อหลัวหมิงเฟยเห็นกลุ่มของฉินอวี้โม่ เขาก็คลี่ยิ้มกว้างทันทีในขณะที่หลัวหมิงหล่างพยักศีรษะอย่างพอเป็นพิธีเพื่อทักทายเช่นกัน
“พวกเรามิใช่แขกผู้มีเกียรติอะไรหรอก เราเพียงมาเพื่อรบกวนท่านทั้งสองเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวอย่างสุภาพ
“ฮ่า ๆ ๆ เหตุใดจะมิใช่แขกผู้มีเกียรติเล่า ? เทพมายาคนใหม่และหานโม่ฉือจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่มากพรสวรรค์ที่สุดของตระกูลหาน ไม่ว่าไปที่ใด พวกท่านย่อมเป็นแขกคนสำคัญอย่างแน่นอน”
หลัวหมิงเฟยหัวเราะและกล่าวเปิดเผยตัวตนของทั้งสองอย่างตรงไปตรงมา ทว่าน้ำเสียงของเขาก็ไม่มีความเป็นปฏิปักษ์หรือความมุ่งร้ายใด ๆ
“และยังมีสั่วซีหย่าอีกคนซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและเป็นแขกคนสำคัญ เพียงแต่ลูกพี่ลูกน้องเรากลับมาเยือนถิ่นบรรพบุรุษและกลับคืนเผ่าแล้ว เหตุใดจึงไม่คิดมาเยี่ยมเยือนพี่ชายทั้งสองบ้างเล่า ช่างแปลกจริงเชียว”
เมื่อองค์ชายสามเปิดเผยตัวตนของทุกคน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด หลัวหมิงเฟยผู้นี้ชาญฉลาดอย่างแท้จริง คาดว่าเขาคงจะนึกสงสัยตั้งแต่คราก่อนและส่งคนไปสืบข่าวคราว แม้มีคนเพียงไม่มากที่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หลัวหมิงเฟยก็ยังมีหนทางสืบจนทราบได้อย่างชัดเจน เวลานี้จึงไม่แปลกที่เขาจะกล่าวออกมาตามตรง
“ฮ่า ๆ ๆ องค์ชายสาม ไหน ๆ เราก็ไม่คิดปิดบังต่อกันแล้ว วันนี้เรามาที่นี่เพื่อขอความร่วมมือจากพวกท่าน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวจุดประสงค์ของพวกตนออกไปโดยตรง ในการเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้ การเปิดเผยอย่างจริงใจและตรงไปตรงมาย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
.